พระสนทนาหรือแสดงธรรมกับบุคคลอื่นแล้วเคี้ยวหมากไปเป็นอาบัติหรือไม่
.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 7] พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ ๑๖๑
พระพุทธานุญาตมหาปเทส ๔
[๙๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายเกิดความรังเกียจในพระบัญญัติบางสิ่งบางอย่างว่า สิ่งใดหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้ สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาต จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระมีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสประทานสำหรับอ้าง ๔ ข้อ ดังต่อไปนี้
๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย
๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควรหากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
๔. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควรหากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย
ในพระวินัยปิฎก ไม่ได้มีสิกขาบทบัญญัติไว้โดยตรงว่า ภิกษุเคี้ยวหมากเป็นอาบัติอะไร
แต่เมื่อพิจารณาเทียบเคียงกับหลักมหาปเทศ ๔ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า สิ่งใดที่พระองค์ไม่ได้บัญญัติไว้ว่าไม่ควร แต่สิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นก็ไม่ควร จึงเข้าใจได้ว่า การเคี้ยวหมาก ย่อมไม่ควรแก่เพศบรรพชิต ย่อมไม่งามสำหรับเพศบรรพชิต แสดงถึงการไม่ได้ขัดเกลากิเลสเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่ไม่ควร ก็ต้องเป็นสิ่งที่ไม่ควร ไม่ว่าจะเป็นใครทำก็ตาม จะเห็นความบริสุทธิ์ของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ว่า เป็นไปเพือขัดเกลาละคลายกิเลสโดยส่วนเดียว ไม่มีคำสอนแม้แต่บทเดียวที่ส่งเสริมหรือสนับสนุนให้เกิดอกุศลแม้จะเล็กน้อยเพียงใด ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว ผู้ที่เป็นบรรพชิตยิ่งจะต้องศึกษาพระธรรมวินัยและประพฤติตามพระธรรมวินัยขัดเกลากิเลสของตนเอง ให้สมกับที่ปฏิญาณตนว่าเป็นเพศบรรพชิตที่จะมุ่งจะขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นสำคัญ ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...