พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑. เมฆิยสูตร ว่าด้วยตรัสธรรม ๕ แก่พระเมฆิยะ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  8 ส.ค. 2564
หมายเลข  35312
อ่าน  1,015

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 377

เมฆิยวรรคที่ ๔

๑. เมฆิยสูตร

ว่าด้วยตรัสธรรม ๕ แก่พระเมฆิยะ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 377

เมฆิยวรรคที่ ๔

๑. เมฆิยสูตร

ว่าด้วยตรัสธรรม ๕ แก่พระเมฆิยะ

[๘๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ จาลิกบรรพต ใกล้เมืองจาลิกา ก็สมัยนั้นแล ท่านพระเมฆิยะเป็นอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งนั้นแล ท่านพระเมฆิยะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาจะเข้าไปบิณฑบาตในชันตุคาม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเมฆิยะ เธอจงสำคัญเวลาอันควร ณ บัดนี้เถิด ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า ท่านพระเมฆิยะนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังชันตุคามเพื่อบิณฑบาต ครั้นเที่ยวไปในชันตุคามเพื่อบิณฑบาตแล้ว กลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต เข้าไปยังฝั่งแม่น้ำกิมิกาฬา ครั้นแล้วเดินพักผ่อนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำกิมิกาฬา ได้เห็นป่ามะม่วงน่าเลื่อมใส น่ารื่นรมย์ ครั้นแล้วคิดว่า ป่ามะม่วงนี้น่าเลื่อมใส น่ารื่นรมย์จริงหนอ ป่ามะม่วงนี้สมควรแก่ความเพียรของกุลบุตรผู้มีความต้องการด้วยความเพียรจริงหนอ ถ้าว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรงอนุญาตเราไซร้ เราพึงมาสู่อัมพวันนี้เพื่อบำเพ็ญเพียร ลำดับนั้นแล ท่านพระเมฆิยะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เวลาเช้า ข้าพระองค์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังชันตุคาม ครั้นเที่ยวไปบิณฑบาตใน

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 378

ชันตุคามแล้ว กลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต เข้าไปยังฝั่งแม่น้ำกิมิกาฬา ครั้นแล้วเดินพักผ่อนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำกิมิกาฬา ได้เห็นอัมพวันน่าเลื่อมใส น่ารื่นรมย์ จึงได้คิดว่า อัมพวันนี้น่าเลื่อมใส น่ารื่นรมย์จริงหนอ อัมพวันนี้สมควรเพื่อความเพียรของกุลบุตรผู้มีความต้องการด้วยความเพียรจริงหนอ ถ้าว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรงอนุญาตเราไซร้ เราพึงมาสู่อัมพวันนี้เพื่อบำเพ็ญเพียร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงอนุญาตข้าพระองค์ไซร้ ข้าพระองค์พึงไปสู่อัมพวันเพื่อบำเพ็ญเพียร.

[๘๖] เมื่อท่านพระเมฆิยะกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนเมฆิยะ จงรอก่อน เราจะอยู่แต่ผู้เดียวจนกว่าภิกษุรูปอื่นจะมา แม้ครั้งที่ ๒ ท่านพระเมฆิยะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่มีกิจอะไรๆ ที่พึงทำให้ยิ่ง หรือไม่มีการสั่งสมอริยมรรคที่พระองค์กระทำแล้ว แต่ข้าพระองค์ยังมีกิจที่พึงทำให้ยิ่ง ยังมีการสั่งสมอริยมรรคที่ทำแล้ว ถ้าว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงอนุญาตข้าพระองค์ไซร้ ข้าพระองค์พึงไปสู่อัมพวันนั้นเพื่อบำเพ็ญเพียร แม้ครั้งที่ ๒... แม้ครั้งที่ ๓... พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเมฆิยะ เราพึงกล่าวอะไรกะเธอผู้กล่าวอยู่ว่า บำเพ็ญเพียร ดูก่อนเมฆิยะ เธอจงสำคัญเวลาอันสมควร ณ บัดนี้.

[๘๗] ครั้งนั้นแล ท่านพระเมฆิยะลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำประทักษิณแล้ว เข้าไปยังอัมพวันนั้น ครั้นแล้วได้เที่ยวไปทั่วอัมพวัน แล้วนั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ครั้งนั้น เมื่อท่านพระเมฆิยะพักอยู่ในอัมพวันนั้น อกุศลวิตกอันลามก ๓ ประการ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 379

คือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ย่อมฟุ้งซ่านโดยมาก ครั้งนั้นแล ท่านพระเมฆิยะคิดว่า น่าอัศจรรย์หนอ ไม่เคยมีมาแล้วหนอ เราออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา แต่กลับถูกอกุศลวิตกอันลามก ๓ ประการนี้ คือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ครอบงำแล้ว ครั้งนั้นเป็นเวลาเย็น ท่านพระเมฆิยะออกจากที่เร้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เมื่อข้าพระองค์พักอยู่ในอัมพวันนั้น อกุศลวิตกอันลามก ๓ ประการคือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ย่อมฟุ้งซ่านโดยมาก ข้าพระองค์นั้นคิดว่า น่าอัศจรรย์หนอ ไม่เคยมีมาแล้วหนอ ก็เราออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา แต่กลับถูกอกุศลวิตกอันลามก ๓ ประการนี้ คือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ครอบงำแล้ว.

[๘๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเมฆิยะ ธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้า ๕ ประการเป็นไฉน ดูก่อนเมฆิยะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นธรรมประการที่ ๑ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้า.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในพระปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษมีประมาณเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย นี้เป็นธรรมประการที่ ๒ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้า.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 380

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งกถาเครื่องขัดเกลากิเลส เป็นไปเพื่อเป็นที่สบายในการเปิดจิตเพื่อเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความเข้าไปสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน คือ อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา นี้เป็นธรรมประการที่ ๓ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้า.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม นี้เป็นธรรมประการที่ ๔ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้า.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเครื่องพิจารณาความเกิดและความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลสให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ นี้เป็นธรรมประการที่ ๕ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้า ดูก่อนเมฆิยะ ธรรม ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้า

ดูก่อนเมฆิยะ ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังคุณข้อนี้ได้ คือ ตนจักเป็นผู้มีศีล... จักสมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังคุณข้อนี้ได้ คือ ตนจักได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งกถาเครื่องขัดเกลากิเลส... วิมุตติญาณทัสสนกถา ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังคุณข้อนี้ได้ คือ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 381

ตนจักเป็นผู้ปรารภความเพียร... ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังคุณข้อนี้ได้ คือ ตนจักเป็นผู้มีปัญญา... ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ.

[๘๙] ดูก่อนเมฆิยะ ก็แลภิกษุนั้นตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการนี้แล้ว พึงเจริญธรรม ๔ ประการให้ยิ่งขึ้นไป คือ พึงเจริญอสุภะเพื่อละราคะ พึงเจริญเมตตาเพื่อละพยาบาท พึงเจริญอานาปานสติเพื่อตัดวิตก พึงเจริญอนิจจสัญญาเพื่อเพิกถอนอัสมิมานะ ดูก่อนเมฆิยะ อนัตตสัญญาย่อมปรากฏแก่ภิกษุผู้ได้อนิจจสัญญา ผู้ที่ได้อนัตตสัญญาย่อมบรรลุนิพพานอันเป็นที่เพิกถอนเสียได้ซึ่งอัสมิมานะในปัจจุบันเทียว.

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

วิตกอันเลวทราม วิตกอันละเอียด เป็นไปแล้วทำใจให้ฟุ้งซ่าน บุคคลผู้มีจิตหมุนไปแล้วไม่ทราบวิตกแห่งใจเหล่านี้ ย่อมแล่นไปสู่ภพน้อยและภพใหญ่ ส่วนบุคคลผู้มีความเพียร มีสติ ทราบวิตกแห่งใจเหล่านี้แล้ว ย่อมปิดกั้นเสีย พระอริยสาวกผู้ตรัสรู้แล้ว ย่อมละได้เด็ดขาดไม่มีส่วนเหลือ ซึ่งวิตกเหล่านี้ที่เป็นไปแล้วทำใจให้ฟุ้งซ่าน.

จบเมฆิยสูตรที่ ๑

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 382

เมฆิยวรรควรรณนาที่ ๔

อรรถกถาเมฆิยสูตร

เมฆิยสูตรที่ ๑ แห่งเมฆิยวรรค มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า จาลิกายํ ได้แก่ ใกล้เมืองชื่ออย่างนี้. ได้ยินว่า เลยสถานที่ประตูนั้นไป มีเปือกตมไหวอยู่รอบๆ. เพราะตั้งชิดเปือกตมที่ไหว นครนั้นจึงปรากฏแก่ผู้ที่แลดูเหมือนไหวอยู่ เพราะฉะนั้น เมืองนั้นเขาจึงเรียกว่า จาลิกา.

บทว่า จาลิเก ปพฺพเต ความว่า ในที่ไม่ไกลนครนั้น มีภูเขาลูกหนึ่ง แม้ภูเขานั้นก็ปรากฏแก่ผู้แลดูเหมือนไหวอยู่ ในวันอุโบสถข้างแรม เพราะภูเขานั้นขาวปลอด เพราะฉะนั้น ภูเขานั้นจึงได้ชื่อว่า จาลิกบรรพต. ชนทั้งหลายได้พากันสร้างวิหารใหญ่ในที่นั้นถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำนครนั้นให้เป็นโคจรคาม ประทับอยู่ที่มหาวิหารใกล้จาลิกบรรพตนั้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ประทับอยู่ ณ จาลิกบรรพต ใกล้เมืองจาลิกา.

บทว่า เมฆิโย เป็นชื่อของพระเถระนั้น.

บทว่า อุปฏฺาโก โหติ ได้แก่ เป็นผู้บำเรอ. จริงอยู่ ในปฐมโพธิกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่มีอุปัฏฐากประจำ บางคราวได้มีพระนาคสมาละ. บางคราวพระนาคิต. บางคราวพระอุปวาณะ. บางคราวพระสุนักขัตตะ. บางคราวพระจุนทสมณุทเทศ บางคราวพระสาคตะ. บางคราวพระเมฆิยะ. แม้ในคราวนั้น ท่านพระเมฆิยเถรนั่นแหละเป็นอุปัฏฐาก. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็สมัยนั้นแล ท่านพระเมฆิยะเป็นอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า.

บทว่า ชนฺตุคามํ ได้แก่ วิหารนั้นนั่นแหละ ได้มีโคจรคามอื่นซึ่งมีอย่างนั้น. บาลีว่า ชตฺตุคามํ ดังนี้ก็มี.

บทว่า กิมิกาฬาย ได้แก่ แห่งแม่น้ำอันได้ชื่อว่ากิมิกาฬา เพราะมีแมลงสีดำมาก.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 383

บทว่า ชงฺฆาวิหารํ ความว่า เที่ยวไปเพื่อบรรเทาความเมื่อยล้าอันเกิดที่ขาเพราะนั่งนาน.

บทว่า ปาสาทิกํ ความว่า ชื่อว่าน่าเลื่อมใส เพราะนำความเลื่อมใสมาแก่ผู้เห็น เพราะมีต้นไม้ไม่ห่างและมีใบสนิท. ชื่อว่า น่าฟูใจ เพราะมีร่มเงาสนิท และเพราะมีภูมิภาคน่าฟูใจ. ชื่อว่า น่ารื่นรมย์ เพราะทำจิตให้รื่นรมย์ ด้วยอรรถว่าทำผู้เข้าไปภายในให้เกิดปีติโสมนัส.

บทว่า อลํ แปลว่า สามารถ. แปลว่า ควร ก็ได้.

บทว่า ปธานตฺถิกสฺส ได้แก่ ผู้มีความต้องการอบรมความเพียร.

บทว่า ปธานาย ได้แก่ ด้วยการกระทำสมณธรรม.

บทว่า อาคจฺเฉยฺยาหํ ตัดเป็น อาคจฺเฉยฺยํ อหํ. ได้ยินว่า เมื่อก่อนที่นั้นเป็นพระราชอุทยาน ที่พระเถระเคยเป็นพระราชาครอบครองมา ๕๐๐ ชาติ ตามลำดับ ด้วยเหตุนั้น จิตของพระเถระนั้น จึงน้อมไปเพื่อจะอยู่ในที่นั้น ในขณะพอสักว่าได้เห็นเท่านั้น.

บทว่า อาคเมหิ ตาว ความว่า พระศาสดาครั้นทรงสดับคำของพระเถระแล้ว เมื่อทรงใคร่ครวญ จึงทรงทราบว่า ญาณของเธอยังไม่ถึงความแก่กล้าก่อน เมื่อจะตรัสห้าม จึงตรัสอย่างนั้น. ก็เพื่อจะให้เธอเกิดจิตอ่อนโยนขึ้นว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเถระนี้แม้ไปแล้ว เมื่อกรรมยังไม่สำเร็จก็จะไม่ระแวง จักกลับมาด้วยอำนาจความรัก จึงตรัสคำนี้ว่า เราเป็นผู้เดียวอยู่ก่อน.

บทว่า ยาว อญฺโปิ โกจิ ภิกฺขุ อาคจฺฉติ ความว่า เธอจงรอจนกว่าภิกษุไรๆ จะมายังสำนักเรา. บาลีว่า โกจิ ภิกฺขุ ทิสฺสติ ภิกษุไรๆ จะปรากฏ ดังนี้ก็มี. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อาคจฺฉตุ. บางพวกกล่าว ทิสฺสตุ เหมือนกัน.

บทว่า นตฺถิ กิญฺจิ อุตฺตรึ กรณียํ ความว่า เพราะพระองค์ทำกิจ ๑๖ อย่าง มีปริญญากิจเป็นต้น ในสัจจะ ๔

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 384

ด้วยมรรค ๔ หรือเพราะทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณ ชื่อว่ากรณียกิจอื่นอันยิ่งกว่านั้นย่อมไม่มี.

บทว่า นตฺถิ กตสฺส วา ปฏิจโย ความว่า หรือกิจที่ทรงกระทำเสร็จแล้วก็ไม่ต้องสั่งสมต่อไป. ถึงมรรคที่พระองค์ให้เกิดต่อไป หรือกิเลสที่พระองค์ละได้แล้ว ไม่มีกิจที่จะละอีก.

บทว่า อตฺถิ กตสฺส ปฏิจโย ความว่า เพราะข้าพระองค์ยังไม่บรรลุอริยมรรค ข้าพระองค์จึงจำต้องสั่งสมกล่าวคือพอกพูนต่อไป เพื่อธรรมมีศีลเป็นต้น อันสำเร็จในสันดานของข้าพระองค์.

บทว่า ปธานนฺติ โข เมฆิย วทมานํ กินฺติ วเทยฺยาม ความว่า เราจะกล่าวชื่ออะไรอื่นกะเธอผู้กล่าวอยู่ว่า จะทำสมณธรรม.

บทว่า ทิวาวิหารํ นิสีทิ ความว่า พระเถระนั่งพักผ่อนในกลางวัน. ก็พระเถระนั่ง ก็นั่งบนแผ่นศิลามงคล ซึ่งเมื่อก่อนตนเคยเป็นพระราชา ๕๐๐ ชาติตามลำดับ ทรงกรีฑาในพระราชอุทยาน นั่งแวดล้อมด้วยนักฟ้อนต่างๆ. ครั้นตั้งแต่เวลาที่ท่านนั่งแล้ว เป็นเหมือนภาวะแห่งสมณะหายไป เกิดเป็นเหมือนกลายเพศเป็นพระราชาห้อมล้อมด้วยบริวารนักฟ้อน นั่งบนบัลลังก์อันควรค่ามากภายใต้เศวตฉัตร. ครั้นเมื่อท่านยินดีสมบัตินั้น กามวิตกก็เกิดขึ้น. ขณะนั้นเองท่านได้เห็นเหมือนเห็นโจร ๒ คนถูกจับพร้อมด้วยของกลาง เขานำมายืนอยู่ตรงหน้า. ในโจร ๒ คน นั้น พยาบาทวิตกเกิดขึ้นด้วยอำนาจการสั่งให้ฆ่าโจรคนหนึ่ง วิหิงสาวิตกเกิดขึ้นด้วยอำนาจการสั่งให้จองจำโจรคนหนึ่ง. เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านได้เป็นผู้แวดล้อมเกลื่อนกล่นด้วยอกุศลวิตก เหมือนต้นไม้ถูกล้อมด้วยเชิงเถาวัลย์ และเหมือนรวงผึ้งแวดล้อมด้วยตัวผึ้งฉะนั้น. ท่านหมายเอาอาการนั้น จึงกล่าวว่า อถ โข อายสฺมโต เมฆิยสฺส ดังนี้เป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 385

ได้ยินว่า คำว่า อจฺฉริยํ วต โภ นี้ ชื่อว่าอัศจรรย์ในการติเตียน เหมือนท่านพระอานนท์เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระร่างเปลี่ยนไปเพราะรอยย่น จึงได้ทูลว่า น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า เรื่องไม่เคยมี พระเจ้าข้า. แต่อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า สมัยนั้น กามวิตกย่อมเกิดขึ้นแก่ท่านด้วยอำนาจความโลภในเพราะดอกไม้ ผลไม้ และใบอ่อนเป็นต้น พยาบาทวิตกเกิดขึ้น เพราะได้ฟังเสียงนกเป็นต้นที่ร้องเสียงแข็ง วิหิงสาวิตกเกิดขึ้น เพราะประสงค์ห้ามนกเหล่านั้นด้วยก้อนดินเป็นต้น กามวิตกเกิดขึ้น เพราะความมุ่งหมายในที่นั้นว่า เราจะอยู่ที่นี้แหละ พยาบาทวิตกเกิดขึ้น เพราะได้เห็นพรานไพรทั้งหลายในที่นั้นๆ แล้วมีจิตมุ่งร้ายในพรานไพรเหล่านั้น วิหิงสาวิตกย่อมเกิดขึ้น เพราะประสงค์จะเบียดเบียนพรานไพรเหล่านั้น ดังนี้ก็มี. การที่มิจฉาวิตกเกิดขึ้นแก่ท่านอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นแหละ เป็นเหตุน่าอัศจรรย์.

บทว่า อนฺวาสตฺตา แปลว่า ตามติดข้อง คือ เกลื่อนกล่น. การพูดมากแม้ในความเป็นผู้เดียวก็ปรากฏ ทั้งในตนและในครู. บาลีว่า อนฺวาสตฺโต ดังนี้ก็มี.

บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ความว่า พระเถระเกลื่อนกล่นไปด้วยมิจฉาวิตกอย่างนี้ เมื่อไม่อาจทำกรรมฐานให้เป็นสัปปายะ จึงกำหนดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงเห็นกาลไกล ได้เห็นเหตุอันน่าอัศจรรย์นี้หนอ จึงทรงห้าม คิดว่า เราจักกราบทูลเหตุนี้แด่พระทศพล จึงลุกขึ้นจากอาสนะที่นั่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลเรื่องของตนโดยนัยมีอาทิว่า อิธ มยฺหํ ภนฺเต ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยภุยฺเยน ได้แก่ มากครั้ง คือ บ่อยๆ.

บทว่า ปาปกา แปลว่า ลามก.

บทว่า อกุสลา แปลว่า เกิดแต่อกุศล.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 386

อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าลามก เพราะอรรถว่า นำสัตว์ให้ถึงทุคติ ชื่อว่าอกุศล เพราะเป็นข้าศึกต่อกุศล. ชื่อว่าวิตก เพราะตรึก คือ คิด ได้แก่ ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์. วิตกที่เกิดพร้อมกับกาม ชื่อว่ากามวิตก อธิบายว่า วิตกที่สัมปยุตด้วยกิเลสกาม มีวัตถุกามเป็นอารมณ์ วิตกที่เกิดพร้อมกับพยาบาท ชื่อว่าพยาบาทวิตก วิตกที่เกิดพร้อมด้วยวิหิงสา ชื่อว่าวิหิงสาวิตก. ในวิตกเหล่านั้น ธรรมที่เป็นข้าศึกต่อเนกขัมมะอันเป็นไปด้วยอำนาจการยินดีในกาม ชื่อว่ากามวิตก ธรรมที่เป็นข้าศึกต่อเมตตา อันเป็นไปด้วยอำนาจความประทุษร้ายสัตว์ทั้งหลาย ด้วยคิดว่า ขอให้สัตว์เหล่านี้จงเดือดร้อน จงฉิบหาย หรืออย่าได้มี ชื่อว่าพยาบาทวิตก ธรรมที่เป็นข้าศึกต่อกรุณา อันเป็นไปด้วยอำนาจความเป็นผู้ประสงค์จะเบียดเบียนเหล่าสัตว์ด้วยปหรณวัตถุ มีฝ่ามือ ก้อนดิน และท่อนไม้ เป็นต้น ชื่อว่าวิหิงสาวิตก.

ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงอนุญาตให้เธอไปในที่นั้น เพราะพระองค์ทรงอนุญาตด้วยทรงพระดำริว่า เมฆิยะนี้แม้เราไม่อนุญาต ก็ยังละเราไปเสียได้ ทั้งเธอก็จะมีความคิดเป็นอย่างอื่นไปว่า ชะรอยพระผู้มีพระภาคเจ้าจะไม่อนุญาตให้เราไป เพราะประสงค์ให้เป็นผู้ปรนนิบัติ ข้อนั้นพึงเป็นไปเพื่อไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนานแก่เธอ.

เมื่อเธอนั่งกราบทูลเรื่องราวของตนอย่างนี้ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงธรรมอันเป็นสัปปายะแก่เธอ จึงตรัสคำมีอาทิว่า ดูก่อนเมฆิยะ เจโตวิมุตติยังไม่แก่กล้า ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปริปกฺกาย แปลว่า ยังไม่ถึงความแก่กล้า

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 387

บทว่า เจโตวิมุตฺติยา ได้แก่ ใจหลุดพ้นจากกิเลส. จริงอยู่ ในเบื้องต้น ใจย่อมหลุดพ้นจากกิเลสด้วยตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ ภายหลังย่อมหลุดพ้นด้วยสมุจเฉทวิมุตติ และปฏิปัสสัทธิวิมุตติ. ก็วิมุตตินี้นั้น ข้าพเจ้ากล่าวไว้พิสดารแล้วในหนหลังแล. เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบโดยนัยตามที่กล่าวแล้วในอธิการที่ว่าด้วยวิมุตตินั้น. ในข้อนั้น เมื่อเธอบ่ม คือ ปลุกอัธยาศัยให้ตื่นด้วยธรรมอันเป็นเครื่องบ่มวิมุตติ เมื่อวิปัสสนาถือเอาห้องมรรคถึงความแก่กล้า เจโตวิมุตติ ชื่อว่าเป็นอันแก่กล้า เมื่อวิปัสสนายังไม่ถือเอาห้องมรรค ชื่อว่ายังไม่แก่กล้า. ก็ธรรมเป็นเครื่องบ่มวิมุตติเป็นไฉน? คือ พึงทราบธรรม ๑๕ อย่าง โดยทำสัทธินทรีย์เป็นต้นให้หมดจด. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า

เมื่อเว้นบุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เสพ คบ เข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีศรัทธา พิจารณาพระสูตรอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส สัทธินทรีย์ย่อมหมดจด ด้วยอาการ ๓ เหล่านี้.

เมื่อเว้นบุคคลผู้เกียจคร้าน เสพ คบ เข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้ริเริ่มความเพียร พิจารณาสัมมัปปธาน วิริยินทรีย์ย่อมหมดจดด้วยอาการ ๓ เหล่านี้.

เมื่อเว้นบุคคลผู้มีสติหลงลืม เสพ คบ เข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีสติตั้งมั่น พิจารณาสติปัฏฐาน สตินทรีย์ย่อมหมดจดด้วยอาการ ๓ เหล่านี้.

เมื่อเว้นบุคคลผู้มีจิตไม่เป็นสมาธิ เสพ คบ เข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิ พิจารณาฌานและวิโมกข์ สมาธินทรีย์ย่อมหมดจดด้วยอาการ ๓ เหล่านี้.

เมื่อเว้นบุคคลผู้ทรามปัญญา เสพ คบ เข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีปัญญา พิจารณาญาณจริยาลึกซึ้ง ปัญญินทรีย์ย่อมหมดจดด้วยอาการ ๓ เหล่านี้

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 388

ดังนั้นเมื่อเป็นบุคคล ๕ จำพวกเหล่านี้ เสพ คบ เข้าไปนั่งใกล้ บุคคล ๕ จำพวก พิจารณาพระสูตร ๕ สูตร อินทรีย์ ๕ เหล่านี้ย่อมหมดจดด้วยอาการ ๑๕ เหล่านี้. ธรรม ๑๕ ประการแม้อื่นอีก เป็นเครื่องบ่มวิมุตติ คือ อินทรีย์ ๕ มีศรัทธาเป็นต้น สัญญาอันเป็นส่วนแห่งการตรัสรู้ ๕ เหล่านี้ คือ อนิจจสัญญา ทุกขสัญญา อนัตตสัญญา ปหานสัญญา วิราคสัญญา ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร ความสำรวมในศีล ความเป็นผู้ขัดเกลาอย่างยิ่ง ความปรารภความเพียร ปัญญาอันเป็นไปในส่วนแห่งการตรัสรู้.

บรรดาธรรมเหล่านั้น พระศาสดาผู้ฉลาดในการฝึกเวไนยบุคคล เมื่อจะทรงแสดงธรรมอันเป็นเครื่องบ่มวิมุตติมีกัลยาณมิตรเป็นต้น ในที่นี้ ตามอัธยาศัยของพระเมฆิยเถระผู้ควรแนะนำ จึงตรัสว่า ธรรมเหล่านี้ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้า เมื่อจะให้ธรรมเหล่านั้นพิสดาร จึงตรัสคำมีอาทิว่า เมฆิยะ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นกัลยาณมิตร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กลฺยาณมิตฺโต ความว่า ชื่อว่ากัลยาณมิตร เพราะมีมิตรงาม คือ เจริญ ดี. บุคคลผู้มีมิตรสมบูรณ์ด้วยศีลคุณเป็นต้น มีอุปการะด้วยอาการทั้งปวงอย่างนี้ คือ บำบัดทุกข์ สร้างสรรค์หิตประโยชน์ ชื่อว่าเป็นกัลยาณมิตรแท้จริง. ชื่อว่ากัลยาณสหาย เพราะไป คือ ดำเนินไปกับด้วยกัลยาณบุคคลตามที่กล่าวแล้วนั่นแหละ คือ ไม่เป็นไปปราศจากกัลยาณมิตรบุคคลเหล่านั้น. ชื่อว่ามีพวกดี เพราะเป็นไปโดยภาวะที่โน้มน้อมโอนไปทางใจและทางกายในกัลยาณบุคคลนั่นแล. ด้วย ๓ บท ย่อมยังความเอื้อเฟื้อให้เกิดขึ้นในการสังสรรค์กับกัลยาณมิตร.

ในข้อนั้น มีลักษณะกัลยาณมิตรดังต่อไปนี้ กัลยาณมิตรในพระศาสนานี้

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 389

เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา. ในลักษณะกัลยาณมิตรนั้น บุคคลมีศรัทธาสมบัติ ย่อมเชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต กรรมและผลแห่งกรรม ไม่ละทิ้งการแสวงหาประโยชน์เกื้อกูลในเหล่าสัตว์อันเป็นเหตุแห่งพระสัมมาสัมโพธิญาณด้วยการเชื่อนั้น. มีศีลสมบัติ ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่เคารพสรรเสริญ เป็นผู้โจทก์ท้วง เป็นผู้ติเตียนบาป เป็นผู้ว่ากล่าว อดทนต่อถ้อยคำของเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย มีสุตสมบัติ ย่อมทำถ้อยคำอันลึกซึ้งเกี่ยวด้วยสัจจะและปฏิจจสมุปบาทเป็นต้น มีจาคสมบัติ ย่อมเป็นผู้มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ มีวิริยสมบัติ ย่อมเป็นผู้ริเริ่มความเพียร เพื่อปฏิบัติประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย มีสติสมบัติ ย่อมมีสติตั้งมั่น มีสมาธิสมบัติ ย่อมเป็นผู้มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตเป็นสมาธิ มีปัญญาสมบัติ ย่อมรู้สภาวะที่ไม่ผิดแผก. บุคคลนั้นเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคติธรรมอันเป็นกุศลด้วยสติ รู้สิ่งที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์แห่งสัตว์ทั้งหลายตามเป็นจริงด้วยปัญญา เป็นผู้มีจิตแน่วแน่ในกุศลธรรมเหล่านั้นด้วยสมาธิ ย่อมเกียดกันสัตว์ทั้งหลายจากสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ แล้วชักนำเข้าไปในสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วยวิริยะ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า

บุคคลเป็นที่รัก เคารพ ยกย่อง เป็นผู้ว่ากล่าว ผู้อดทนถ้อยคำ ผู้กระทำถ้อยคำอันลึกซึ้ง และไม่ชักนำในฐานะที่ไม่ควร.

บทว่า อยํ ปโม ธมฺโม ปริปากาย สํวตฺตติ ความว่า ธรรมอันหาโทษมิได้นี้ กล่าวคือ ความเป็นผู้มีมิตรอันดีงาม ชื่อว่าเป็นที่ ๑

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 390

เพราะเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจริยาวาส และเพราะตรัสไว้เป็นข้อแรกในธรรม ๕ ประการนี้ โดยมีอุปการะมากแก่กุศลธรรมทั้งปวง และโดยความเป็นประธาน ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติ โดยกระทำศรัทธาเป็นต้นที่ไม่บริสุทธิ์ให้บริสุทธิ์. ก็ในที่นี้ ความที่กัลยาณมิตรมีอุปการะมากและเป็นประธาน พึงทราบโดยสุตตบทมีอาทิว่า อานนท์ ความเป็นผู้มีมิตรดีงาม มีสหายดีงาม นี้เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้น เพราะทรงปฏิเสธท่านพระอานนท์ผู้เป็นธรรมภัณฑาคาริกผู้กล่าวอยู่ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดีงามนี้ เป็นกึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ ถึง ๒ ครั้งว่า มา เหวํ อานนฺท อย่ากล่าวอย่างนี้ อานนท์.

บทว่า ปุน จปรํ แปลว่า ก็ธรรมข้ออื่นยังมีอยู่อีก.

ในบทว่า สีลวา นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ที่ชื่อว่าศีล เพราะอรรถว่าอะไร? ที่ชื่อว่าศีล เพราะอรรถว่า ตั้งไว้มั่น. ที่ชื่อว่าตั้งไว้มั่น คืออะไร? คือ ตั้งมั่นไว้ด้วยดี อธิบายว่า ความที่กายกรรมเป็นต้นเหมาะสม เพราะความเป็นผู้มีศีลดี. อีกอย่างหนึ่ง เป็นที่รองรับไว้ อธิบายว่า ความเป็นที่รองรับไว้ โดยความเป็นที่ตั้งแห่งกุศลธรรมมีฌานเป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าศีล เพราะรองรับไว้ หรือทรงไว้. นี้เป็นอรรถแห่งศีลโดยนัยแห่งลักษณะของศัพท์เป็นอันดับแรก. แต่อาจารย์อีกพวกหนึ่ง พรรณนาอรรถโดยนิรุตตินัยว่า อรรถแห่งศีล มีอรรถว่า ศีรษะ มีอรรถว่า เย็น มีอรรถว่า ตั้งมั่น มีอรรถว่า สังวร. ศีลนี้นั้นมีอยู่กับบุคคลนั้นโดยครบถ้วน หรือโดยดีเยี่ยม เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า สีลวา ผู้มีศีล. อธิบายว่า ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล.

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 391

อนึ่ง เพื่อจะแสดงประการที่บุคคลเป็นผู้มีศีล สมบูรณ์ด้วยศีล จึงตรัสคำมีอาทิว่า ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาติโมกฺขํ ได้แก่ ศีลในสิกขาบท. จริงอยู่ ศีลในสิกขาบทนั้น ชื่อว่าปาติโมกข์ เพราะอรรถว่า ทำบุคคลผู้ปกปักรักษาสีลสิกขาบทนั้นให้หลุดพ้นจากทุกข์ มีทุกข์ในอบายเป็นต้น. การปิดกั้น ชื่อว่าสังวร ได้แก่ การไม่ล่วงละเมิดทางกายและวาจา. สังวร คือ ปาติโมกข์ ชื่อว่าปาติโมกขสังวร. ภิกษุผู้สำรวม คือ มีกายและวาจาปิดด้วยปาติโมกขสังวรนั้น จึงชื่อว่าสำรวมด้วยปาติโมกขสังวร. นี้เป็นการแสดงภาวะที่ภิกษุนั้นตั้งอยู่ในศีลนั้น.

บทว่า วิหรติ เป็นบทแสดงภาวะที่ภิกษุพรั่งพร้อมด้วยการอยู่อันสมควรด้วยปาติโมกขสังวรนั้น.

บทว่า อาจารโคจรสมฺปนฺโน เป็นบทแสดงถึงธรรมอันมีอุปการะแก่ปาติโมกขสังวรในเบื้องต่ำ และแก่ความพากเพียรเพื่อคุณวิเศษในเบื้องสูง.

บทว่า อณุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี เป็นบทแสดงภาวะที่ภิกษุไม่เคลื่อนจากปาติโมกขศีลเป็นธรรมดา.

บทว่า สมาทาย เป็นบทแสดงการยึดเอาสิกขาบทโดยไม่มีส่วนเหลือ.

บทว่า สิกฺขติ เป็นบทแสดงภาวะที่ภิกษุพรั่งพร้อมด้วยการศึกษา.

บทว่า สิกฺขาปเทสุ เป็นบทแสดงธรรมที่ควรศึกษา.

อีกนัยหนึ่ง ชื่อว่า ปาติ เพราะมีปกติตกไปในอบายมากครั้ง เพราะกิเลสรุนแรง เพราะการทำความชั่วทำได้ง่าย และเพราะการทำบุญทำได้ยาก ได้แก่ ปุถุชน. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปาติ เพราะถูกกำลังกรรมซัดไปในภพเป็นต้น โดยภาวะไม่เที่ยง และมีปกติไปโดยการหมุนไปโดยกำหนดไม่ได้ เหมือนโพงน้ำ เหมือนหม้อเครื่องยนต์.

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 392

อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปาติ เพราะมีปกติตกไปแห่งอัตภาพในสัตวนิกายนั้นๆ ด้วยอำนาจมรณะ หรือสันดานของสัตว์คือจิตนั่นเอง. ชื่อว่าปาฏิโมกข์ เพราะยังผู้ตกไปนั้นให้พ้นจากสังสารทุกข์. ก็สัตว์ ที่เรียกว่า วิมุตตะ เพราะจิตหลุดพ้น. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ผู้มีจิตผ่องแผ้วย่อมบริสุทธิ์ และกล่าวไว้ว่า จิตหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ยึดมั่น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปาติ เพราะตกไป คือ ไป ได้แก่ เป็นไปในสงสาร ด้วยเหตุมีอวิชชาเป็นต้น. สมจริงดังกล่าวไว้ว่า สัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก แล่นไป ท่องเที่ยวไป. ธรรม ชื่อว่าปาฏิโมกขะ เพราะเป็นเหตุให้สัตว์ผู้ตกไปนั้นพ้นจากสังกิเลส ๓ มีตัณหาเป็นต้น. พึงทราบความสำเร็จสมาส เหมือนความสำเร็จคำมีอาทิว่า ตณฺหากาโล.

อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปาติ เพราะทำสัตว์ให้ตกไป คือ ให้ตกไปไม่เหลือจากทุกข์ ได้แก่ จิต. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า สัตวโลกถูกจิตนำไป คือ เป็นไปตามจิต. ชื่อว่าปาฏิโมกข์ เพราะเป็นเครื่องทำสัตว์ผู้ตกไปนั้นให้พ้นไป (จากทุกข์). อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปาติ เพราะเป็นเครื่องตกไปในอบายทุกข์และสังสารทุกข์ของสัตว์ ได้แก่ สังกิเลส มีตัณหาเป็นต้น. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ตัณหาย่อมยังบุรุษให้เกิด และกล่าวไว้ว่า บุรุษมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง. ชื่อว่าปาฏิโมกข์ เพราะพ้นจากการตกไปจากตัณหาสังกิเลสนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปาติ เพราะเป็นที่ตกไปของสัตว์ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า สัตวโลกเกิดพร้อมในอายตนะภายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖ ย่อมทำการชมเชยในอายตนะภายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖. ชื่อว่าปาฏิโมกข์ เพราะพ้นจากการตกไป กล่าวคือ อายตนะภายใน ๖

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 393

และอายตนะภายนอก ๖ นั้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปาติ คือ สงสาร เพราะมีการตกไป คือ การทำให้ตกไป ชื่อว่าปาฏิโมกข์ เพราะหลุดพ้นจากสงสารนั้น.

อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ธรรมิศร ชาวโลกเฉลิมพระนามว่า ปติ เพราะเป็นอธิบดีของสรรพโลก. ชื่อว่า โมกขะ เพราะเป็นเครื่องพ้นของสัตว์. ชื่อว่า ปติโมกข์ เพราะเป็นเครื่องพ้นแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ได้นามว่า ปติ เหตุทรงบัญญัติไว้. ปติโมกข์นั่นแหละ เป็นปาฏิโมกข์. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปติโมกข์ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นชื่อว่าเป็นใหญ่ โดยอรรถว่า มีคุณทั้งปวงสูงสุดอันมีคุณนั้นเป็นมูล และชื่อว่าเป็นผู้พ้น โดยอรรถตามที่กล่าวแล้ว. ปติโมกข์นั้นแหละ เป็นปาฏิโมกข์. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า คำว่า ปาฏิโมกข์ นี้เป็นมุข และเป็นประมุข. พึงทราบพิสดารดังต่อไปนี้.

อีกอย่างหนึ่ง ศัพท์ว่า ป ใช้ในอรรถว่า ปการะ ศัพท์ว่า อติ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถว่า อัจจันตะ. เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าปาฏิโมกข์ เพราะพ้นล่วงส่วนโดยทุกประการ. จริงอยู่ ศีลนี้ชื่อว่าปาฏิโมกข์ เพราะตัวศีลทำให้หลุดพ้นได้จริงด้วยตทังควิมุตติ ที่ประกอบด้วยสมาธิและปัญญาทำให้หลุดพ้นได้จริง ด้วยอำนาจวิกขัมภนวิมุตติ และสมุจเฉทวิมุตติ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อปฏิโมกข์ เพราะหลุดพ้นเฉพาะ อธิบายว่า หลุดพ้นจากวีติกกมโทษนั้นๆ เฉพาะอย่าง. ปฏิโมกข์นั้นแหละเป็นปาฏิโมกข์. หรือว่า นิพพาน ชื่อว่าโมกขะ. ชื่อว่าปฏิโมกข์ เพราะเปรียบกับโมกขะนั้น. จริงอยู่ ศีลสังวร เป็นเหตุทำพระนิพพานให้เกิดขึ้น เหมือนพระอาทิตย์ทำอรุณให้เกิด และมีส่วนเปรียบด้วยพระนิพพานนั้น เพราะ

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 394

ทำกิเลสให้ดับตามสมควร. ปฏิโมกข์นั้นแหละเป็นปาฏิโมกข์. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปฏิโมกข์ เพราะแปรไป คือ ทำทุกข์ให้พ้นไป. ปฏิโมกข์นั้นแหละเป็นปาฏิโมกข์ ในข้อนี้ พึงทราบความศัพท์ว่า ปาฏิโมกข์เท่านี้ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.

ชื่อว่า สังวร เพราะเป็นเครื่องปิดกั้น. สังวร คือ ปาฏิโมกข์ ชื่อว่าปาฏิโมกขสังวร. แต่เมื่อว่าโดยความหมาย ได้แก่ งดเว้นจากโทษที่พึงก้าวล่วงนั้นๆ และเจตนา. ภิกษุผู้เข้าถึงประกอบด้วยปาฏิโมกขสังวรนั้น ท่านเรียกว่า ผู้สำรวมด้วยปาฏิโมกขสังวร. สมจริงดังที่ตรัสไว้ในคัมภีร์วิภังค์ว่า ภิกษุเป็นผู้เข้าถึง เข้าถึงพร้อม มาถึง มาถึงพร้อม เข้าใกล้ เข้าใกล้พร้อม ประกอบด้วยปาฏิโมกขสังวรนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ผู้สำรวมด้วยปาฏิโมกขสังวร.

บทว่า วิหรติ ความว่า ย่อมอยู่ คือ ผลัดเปลี่ยน ได้แก่ ผลัดเปลี่ยนไปด้วยอิริยาบถวิหาร.

บทว่า อาจารโคจรสมฺปนฺโน ความว่า ชื่อว่าถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร เพราะเว้นอนาจารทั้งปวง เหตุไม่ทำมิจฉาชีพมีการให้ไม้ไผ่เป็นต้น และการคะนองกายเป็นต้น แล้วประกอบด้วยอาจารสมบัติอันสมควรแก่ภิกษุที่ตรัสไว้อย่างนี้ว่า การไม่ล่วงละเมิดทางกาย ทางวาจา และทั้งทางกายทั้งทางวาจา และเว้นอโคจร มีหญิงแพศยาเป็นต้น แล้วประกอบด้วยโคจร กล่าวคือ ที่อันสมควรเข้าไปบิณฑบาตเป็นต้น.

อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุใดมีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา มีความเคารพยำเกรงในเพื่อนสพรหมจารี ถึงพร้อมด้วยหิริโอตตัปปะ นุ่งห่มเรียบร้อย มีการก้าวไป ก้าวกลับ แลดู เหลียวดู คู้เหยียด น่าเลื่อมใส สมบูรณ์ด้วยอิริยาบถ คุ้มครองทวารในอินทรีย์ รู้จักประมาณในโภชนะ

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 395

ถึงพร้อมด้วยความเพียร ประกอบด้วยสติและสัมปชัญญะ เป็นผู้มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ กระทำความเคารพในอภิสมาจาริกวัตร มากด้วยความเคารพและยำเกรงอยู่ ภิกษุนี้ท่านเรียกว่า สมบูรณ์ด้วยอาจาระ.

ส่วนโคจรมี ๓ อย่าง คือ อุปนิสัยโคจร ๑ อารักขโคจร ๑ อุปนิพันธโคจร ๑ ใน ๓ อย่างนั้น ภิกษุใดประกอบด้วยคุณ คือ กถาวัตถุ ๑๐ มีมิตรดีงาม มีลักษณะดังกล่าวแล้ว ซึ่งอาศัยแล้ว ย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ย่อมทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้ผ่องแผ้ว ตัดความสงสัยเสียได้ ทำความเห็นให้ตรง ทำจิตให้เลื่อมใส ซึ่งเมื่อศึกษาตาม ย่อมเจริญด้วยศรัทธา ด้วยศีล ด้วยสุตะ ด้วยจาคะ และด้วยปัญญา นี้ท่านเรียกว่า อุปนิสัยโคจร. ภิกษุใดเข้าไปสู่ละแวกบ้าน เดินไปตามถนน มีตาทอดลง แลดูชั่วแอก เดินสำรวมจักขุนทรีย์ไป ไม่เดินแลพลช้าง ไม่เดินแลพลม้า ไม่เดินแลพลรถ ไม่เดนแลพลราบ ไม่เดินแลหญิง ไม่เดินแลชาย ไม่แหงนดู ไม่ก้มดู ไม่เดินเหลียวแลดูตามทิศน้อยใหญ่ นี้ท่านเรียกว่า อารักขโคจร. ส่วน อุปนิพันธโคจร ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ อันเป็นที่ซึ่งภิกษุเข้าไปผูกจิตของตนไว้. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นโคจร คือ เป็นอารมณ์ อันเป็นของบิดาของตนของภิกษุ คือ สติปัฏฐาน ๔. ในโคจร ๓ อย่างนั้น เพราะอุปนิสัยโคจรท่านกล่าวไว้ก่อนแล้ว ในที่นี้พึงทราบโคจร ๒ อย่างนอกนั้น. ภิกษุนั้นชื่อว่าผู้สมบูรณ์ด้วยอาจาระและโคจร เพราะประกอบด้วยอาจารสมบัติตามที่กล่าวแล้ว และโคจรสมบัตินี้ ด้วยประการฉะนี้.

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 396

บทว่า อณุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี ความว่า ผู้มีปกติเห็นภัยในโทษ ต่างด้วยเสขิยสิกขาบทที่ภิกษุไม่แกล้งต้อง และอกุศลจิตตุปบาทเป็นต้น ชื่อว่ามีประมาณน้อย เพราะมีประมาณเล็กน้อย. จริงอยู่ ภิกษุใดเห็นโทษมีประมาณน้อย กระทำให้เป็นเหมือนขุนเขาสิเนรุสูง ๑๐๐,๐๖๘ โยชน์ ฝ่ายภิกษุใดเห็นอาบัติเพียงทุพภาษิตซึ่งเป็นอาบัติเบากว่าอาบัติทั้งปวง กระทำให้เหมือนอาบัติปาราชิก ภิกษุแม้นี้ ชื่อว่ามีปกติเห็นภัยในโทษมีประมาณน้อย.

บทว่า สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ ความว่า ภิกษุยึดถือสิกขาบทที่ควรศึกษาอย่างใดอย่างหนึ่งในสิกขาบททั้งหลายทั้งหมด โดยไม่มีส่วนเหลือ โดยประการทั้งปวง ศึกษาอยู่ อธิบายว่า ย่อมประพฤติ คือ ทำให้บริบูรณ์โดยชอบ.

บทว่า อภิสลฺเลขิกา ได้แก่ ผู้มีปกติขัดเกลากิเลสอย่างเข้มงวด คือ เป็นผู้สมควรเพื่อละกิเลสเหล่านั้นโดยทำให้เบาบาง.

บทว่า เจโตวิวรณสปฺปยา ได้แก่ เป็นสัปปายะของสมถะและวิปัสสนา กล่าวคือ เปิดจิต โดยกระทำนิวรณ์อันเป็นตัวปกปิดจิตให้ห่างไกล. สมถะและวิปัสสนานั้นแหละเป็นสัปปายะ คือ เป็นอุปการะแก่การเปิดจิต หรือการกระทำจิตนั้นแหละให้ปรากฏ เหตุฉะนั้น จึงชื่อว่า เจโตวิวรณสัปปยา เป็นสัปปายะในการเปิดจิต.

บัดนี้ เพื่อจะแสดงเหตุเครื่องนำมาซึ่งความเบื่อหน่ายเป็นต้น อันเป็นกถาขัดเกลากิเลสและเป็นสัปปายะในการเปิดจิต จึงตรัสคำมีอาทิว่า เอกนฺตนิพฺพิทาย ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกนฺตนิพฺพิทาย ได้แก่ เพื่อหน่ายจากวัฏทุกข์โดยแท้จริงทีเดียว.

บทว่า วิราคาย นิโรธาย ได้แก่ เพื่อคลายและเพื่อดับวัฏทุกข์นั้นๆ แหละ.

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 397

บทว่า อุปสมาย ได้แก่ เพื่อสงบสรรพกิเลส.

บทว่า อภิญฺาย ได้แก่ เพื่อรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งแม้ทั้งหมด.

บทว่า สมฺโพธาย ได้แก่ เพื่อตรัสรู้มรรคจิต ๔.

บทว่า นิพฺพานาย ได้แก่ เพื่ออนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. ก็บรรดาบทเหล่านี้ ตรัสวิปัสสนาด้วยบท ๓ ข้างต้น. ตรัสมรรคด้วยบททั้ง ๒ ตรัสนิพพานด้วยบททั้ง ๒. ท่านแสดงว่า อุตริมนุสธรรมทั้งหมดนี้ เริ่มต้นแต่สมถะและวิปัสสนา จนถึงนิพพานเป็นที่สุด ย่อมเกิดมีแก่ผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐.

บัดนี้ เมื่อจะทรงจำแนกแสดงกถานั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า อปฺปิจฺฉกกถา ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปิจฺโฉ แปลว่า ผู้ไม่ปรารถนา. กถาแห่งอัปปิจฉะนั้น ชื่อว่าอัปปิจฉกถา หรือกถาที่เกี่ยวด้วยความเป็นผู้มักน้อย ชื่อว่าอัปปิจฉกถา. ก็ในที่นี้ ว่าด้วยอำนาจความปรารถนา มีบุคคล ๔ จำพวก คือ อตฺริจฺโฉ ผู้ปรารถนายิ่งๆ ขึ้น ๑ ปาปิจฺโฉ ผู้ปรารถนาลามก ๑ มหิจฺโฉ ผู้มักมาก ๑ อปฺปิจฺโฉ ผู้มักน้อย ๑. ในบุคคล ๔ จำพวกนั้น ผู้ไม่อิ่มลาภตามที่ตนได้มา ปรารถนาลาภยิ่งๆ ขึ้น ชื่อว่าอัตริจฉะ ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า

ท่านได้เสวยนางเวมาณิกเปรต ๔ นาง ได้ประสบ ๘ นาง ได้เสวยนางเวมาณิกเปรต ๘ นาง ได้ประสบ ๑๖ นาง ได้เสวยนางเวมาณิกเปรต ๑๖ นาง ได้ประสบ ๓๒ นาง เป็นผู้มักมากเกินไป จึงมายินดีจักรกรด จักรกรดย่อมพัดผันบนกระหม่อนของท่าน ซึ่งถูกความอยากนำมา ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 398

และที่ตรัสว่า บุคคลผู้อยากได้เกินส่วน ย่อมเสื่อมจากประโยชน์ เพราะโลภเกินไป และเพราะเมาในความโลภเกินไป. ผู้มีความประสงค์ในการยกย่องคุณที่ไม่มีอยู่ ชื่อว่าผู้ปรารถนาลามก เพราะมีความต้องการในลาภสักการะและเสียงเยินยอ ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า ในบาปธรรมเหล่านั้น การหลอกลวงเป็นไฉน การดำรงอิริยาบถ กิริยาที่ดำรงอิริยาบถ ความดำรงอิริยาบถไว้ด้วยดี ด้วยการเสพปัจจัยหรือด้วยการพูดเลียบเคียงของผู้ปรารถนาลามกถูกความอยากครอบงำ อาศัยในลาภสักการะและเสียงเยินยอ ดังนี้เป็นต้น. ผู้มีความประสงค์ในการยกย่องคุณที่มีอยู่ และไม่รู้ประมาณในการรับ ชื่อว่าผู้มักมาก ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีศรัทธา ปรารถนาว่า ขอคนจงรู้จักเราว่าเป็นผู้มีศรัทธา เป็นผู้มีศีลย่อมปรารถนาว่า ขอคนจงรู้จักเราว่าเป็นผู้มีศีล ดังนี้เป็นต้น. จริงอย่างนั้น แม้มารดาผู้บังเกิดเกล้า ก็ไม่สามารถจะเอาใจเขาได้ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำนี้ไว้ว่า

บุคคลผู้ให้ปัจจัยเป็นอันมากเป็นเล่มเกวียน ก็ไม่พึงยังแม้สภาวะ ๓ เหล่านี้ คือ กองไฟ ๑ มหาสมุทร ๑ บุคคลผู้มักมาก ๑ ให้เต็มได้.

บุคคลเว้นโทษ มีความเป็นผู้ปรารถนาเกินไปเป็นต้นเหล่านี้ให้ห่างไกล แล้วมีความประสงค์ซ่อนคุณที่มีอยู่ และรู้จักประมาณในการรับ ชื่อว่าเป็นผู้มักน้อย. เพราะเขาปรารถนาจะปกปิดคุณแม้ที่มีอยู่ในตน ถึงจะมีศรัทธาก็ไม่ปรารถนาว่า ขอคนจงรู้จักเราว่ามีศรัทธา ถึงจะมีศีล มีสุตะมาก ชอบสงัด ปรารภความเพียร มีสติตั้งมั่น มีใจเป็นสมาธิ มีปัญญา ก็ไม่ปรารถนาว่า ขอคนจงรู้จักเราว่ามีปัญญา.

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 399

บุคคลมักน้อยนี้นั้น มี ๔ จำพวก คือ ผู้มักน้อยในปัจจัย ๑ ผู้มักน้อยในธุดงค์ ๑ ผู้มักน้อยในปริยัติ ๑ ผู้มักน้อยในอธิคม ๑

ใน ๔ จำพวก นั้น ผู้มักน้อยในปัจจัย ๔ ตรวจดูผู้ให้ปัจจัยไทยธรรม และกำลังของตน ก็แม้ถ้าไทยธรรมมีมาก ทายกประสงค์จะถวายน้อย ก็รับแต่น้อย ด้วยอำนาจทายก. ถ้าไทยธรรมมีน้อย ทายกประสงค์จะถวายมาก ก็รับแต่น้อย ด้วยอำนาจไทยธรรม. ถ้าแม้ไทยธรรมมีมาก ทั้งทายกก็ประสงค์จะถวายมาก ควรจะรู้กำลังของตน แล้วรับแต่พอประมาณเท่านั้น. ก็ภิกษุเห็นปานนี้ ย่อมทำลาภที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ย่อมทำลาภที่เกิดขึ้นแล้วให้มั่นคง ยังจิตทายกทั้งหลายให้ยินดี.

ก็ผู้ไม่ประสงค์จะให้รู้ว่า การสมาทานธุดงค์มีอยู่ในตน ชื่อว่าผู้มักน้อยในธุดงค์.

ผู้ใดไม่ปรารถนาเพื่อจะให้ผู้อื่นรู้ว่าตนเป็นพหูสูต ผู้นี้ชื่อว่าผู้มักน้อยในปริยัติ.

ส่วนผู้ใดเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบันเป็นต้นรูปใดรูปหนึ่ง ก็ไม่ปรารถนาจะให้เพื่อนสพรหมจารีรู้ว่าตนเป็นพระโสดาบันเป็นต้น ผู้นี้ชื่อว่าผู้มักน้อยในอธิคม.

กถา อันเป็นไปด้วยสามารถประกาศโทษและอานิสงส์มีอาการเป็นอเนก และด้วยสามารถประกาศโทษของอิจฉาจาร อันมีความเป็นผู้ปรารถนาเกินเป็นต้น เป็นปฏิปักษ์ต่อความมักน้อยนั้น พร้อมกับวิธี มีการชี้ถึงความยินดีความมักน้อยของบุคคลผู้มักน้อยนี้ ชื่อว่ากถาว่าด้วยความมักน้อย ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า สนฺตุฏฺิ ในคำว่า สนฺตุฏฺิกถา นี้ ได้แก่ ความยินดีด้วยของๆ ตน คือ ด้วยของที่ตนได้มา ชื่อว่าสันตุฏฐิ. อีกอย่างหนึ่ง การละความปรารถนาปัจจัยที่ไม่สม่ำเสมอ แล้วยินดีปัจจัยที่สม่ำเสมอ

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 400

ชื่อว่าสันตุฏฐิ. อีกอย่างหนึ่ง ความยินดีด้วยของที่มีอยู่ คือ ปรากฏอยู่ ชื่อว่าสันตุฏฐิ. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า

ผู้ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่เป็นอดีต ไม่บ่นถึงสิ่งที่เป็นอนาคต ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยสิ่งเป็นปัจจุบัน ท่านเรียกว่า ผู้สันโดษ.

อีกอย่างหนึ่ง ความยินดีด้วยปัจจัยโดยวิธีที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้วด้วยญายธรรมโดยชอบ ชื่อว่าสันตุฏฐิ โดยอรรถ ได้แก่ ความสันโดษในปัจจัยตามที่ตามได้. สันโดษนั้นมี ๑๒ อย่าง อะไรบ้าง คือ ความสันโดษในจีวรมี ๓ อย่าง คือ ยถาลาภสันโดษ ๑ ยถาพลสันโดษ ๑ ยถาสารุปปสันโดษ ๑. สันโดษในบิณฑบาตเป็นต้นก็เหมือนกัน.

ในสันโดษเหล่านั้น มีสังวรรณนาโดยประเภทดังต่อไปนี้ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ได้จีวรดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม เธอยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยจีวรนั้นนั่นแหละ ไม่ปรารถนาจีวรอื่น ถึงจะได้ก็ไม่รับ อาการของภิกษุนั้น นี้ชื่อว่า ยถาลาภสันโดษในจีวร. แต่ครั้นเธอทุพพลภาพตามปกติ หรือถูกความเจ็บและชราครอบงำ เธอห่มจีวรหนัก ย่อมลำบาก เธอเปลี่ยนจีวรหนักนั้นกับภิกษุผู้ชอบพอกัน แม้ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยจีวรเบา ก็ชื่อว่าเป็นผู้สันโดษแท้ อาการของภิกษุนั้น นี้ชื่อว่ายถาพลสันโดษในจีวร. ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ได้จีวรมีค่ามากผืนใดผืนหนึ่ง มีจีวรผ้าไหมเป็นต้น คิดว่า นี้สมควรแก่พระเถระผู้บวชนาน นี้สมควรแก่พระเถระผู้เป็นพหูสูต นี้สมควรแก่พระเถระผู้เป็นไข้ นี้สมควรแก่พระเถระผู้มีลาภน้อย จึงถวายแก่พระเถระเหล่านั้น แล้วแสวงผ้าที่มี

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 401

ชายจากกองหยากเยื่อเป็นต้นด้วยตนเองทำสังฆาฏิ หรือรับจีวรเก่าของท่านเหล่านั้นมาครอง ก็จัดว่าเป็นผู้สันโดษโดยแท้. อาการของภิกษุนั้น นี้ชื่อว่า ยถาสารุปปสันโดษในจีวร.

อนึ่ง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ได้บิณฑบาตที่ปอนๆ หรือประณีต เธอยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยบิณฑบาตนั้นนั่นแหละ ไม่ปรารถนาบิณฑบาตอื่น ถึงจะได้ก็ไม่รับ อาการของภิกษุนั้น นี้ชื่อว่า ยถาลาภสันโดษในบิณฑบาต. ก็ครั้นเธอเจ็บไข้ บริโภคบิณฑบาตที่ปอนๆ อันเป็นของแสลงตามปกติหรือแสลงต่อความเจ็บไข้ ถึงความเป็นผู้มีโรคหนัก เธอถวายแก่ภิกษุผู้ชอบพอกัน บริโภคโภชนะอันเป็นสัปปายะจากมือของภิกษุผู้ชอบพอกันนั้น กระทำสมณธรรม ก็ชื่อว่าเป็นผู้สันโดษแท้ อาการของภิกษุนั้น นี้ชื่อว่า ยถาพลสันโดษในบิณฑบาต. ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ได้บิณฑบาตที่ประณีต เธอคิดว่า บิณฑบาตนี้สมควรแก่พระเถระผู้บวชนานเป็นต้น ถวายแก่พระเถระเหล่านั้นเหมือนจีวร หรือถือเอาบาตรอันเป็นของของพระเถระเหล่านั้น เที่ยวไปบิณฑบาตด้วยตนเอง แล้วฉันอาหารผสม จัดว่าเป็นผู้สันโดษแท้ อาการของภิกษุนั้น นี้ชื่อว่า ยถาสารุปปสันโดษในบิณฑบาต.

ก็เสนาสนะที่ถึงแก่ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ จะเป็นที่พอใจหรือไม่พอใจก็ตาม โดยที่สุดกระท่อมที่มุงด้วยหญ้าก็ดี ที่ลาดด้วยหญ้าก็ดี เธอย่อมยินดีด้วยเสนาสนะนั้นนั่นแหละ หรือเสนาสนะอื่นที่ดีกว่าซึ่งมาถึงเข้าอีก ก็ไม่รับ อาการของภิกษุนั้น นี้ชื่อว่า ยถาลาภสันโดษในเสนาสนะ. ก็เมื่อเธออาพาธ มีร่างกายทุรพล ได้เสนาสนะที่แสลงตามปกติหรือแสลงแก่ความป่วยไข้ เมื่ออยู่ก็ไม่มีความผาสุก เธอถวายเสนาสนะนั้นแก่ภิกษุผู้ชอบพอกันเสีย อยู่ในเสนาสนะอันเป็นสัปปายะเป็นของภิกษุผู้ชอบพอกันนั้น

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 402

กระทำสมณธรรม ก็จัดว่าเป็นผู้สันโดษแท้ อาการของภิกษุนั้น นี้ชื่อว่า ยถาพลสันโดษในเสนาสนะ. ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ไม่รับเสนาสนะที่ดี แม้ที่ถึงเข้า ด้วยคิดว่า เสนาสนะนี้เป็นของประณีต เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท หรือได้เสนาสนะอันประณีตมีถ้ำ มณฑป และกูฏาคารเป็นต้นเพราะค่าที่เธอมีบุญมาก เธอถวายเสนาสนะเหล่านั้นแก่พระเถระผู้บวชนานเป็นต้น เหมือนจีวรเป็นต้น ถึงจะอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ก็จัดว่าเป็นผู้สันโดษโดยแท้ อาการของภิกษุนั้น นี้ชื่อว่า ยถาสารุปปสันโดษในเสนาสนะ.

อนึ่ง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ได้เภสัชปอนๆ หรือประณีต เธอยินดีด้วยเภสัชนั้นนั่นแหละ ไม่ปรารถนาเภสัชอื่น ถึงจะได้ก็ไม่รับ อาการของภิกษุนั้น นี้ชื่อว่า ยถาลาภสันโดษในคิลานปัจจัย. ก็ครั้นเธอต้องการน้ำมัน ได้น้ำอ้อย เธอถวายน้ำอ้อยนั้นแก่ภิกษุผู้ชอบพอกัน ประกอบเภสัชด้วยน้ำมันจากมือของภิกษุผู้ชอบพอกันนั้น กระทำสมณธรรม ก็จัดว่าเป็นผู้สันโดษแท้ อาการของภิกษุนั้น นี้ชื่อว่า ยถาพลสันโดษในคิลานปัจจัย. ภิกษุอีกรูปหนึ่งมีบุญมาก ได้เภสัชที่ประณีต มีน้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้นเป็นอันมาก เธอถวายเภสัชนั้นแก่พระเถระผู้บวชนานเป็นต้น เหมือนจีวรเป็นต้น ประกอบเภสัชด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งที่ตนได้มาแก่พระเถระเหล่านั้น ก็จัดว่าเป็นผู้สันโดษแท้ ส่วนภิกษุใด วางสมอดองด้วยน้ำมูตรเน่าในภาชนะหนึ่ง วางจตุมธุรสไว้ในภาชนะหนึ่ง เมื่อเขาพูดว่า สิ่งใดที่ท่านต้องการเอาไปเถิดครับ ถ้าโรคของเธอระงับไปด้วยเภสัชขนานใดขนานหนึ่งบรรดาเภสัชเหล่านั้น เธออนุสรณ์ถึงพระดำรัสว่า ชื่อว่าสมอดองด้วยน้ำมูตรเน่านี้ บัณฑิตมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นสรรเสริญแล้ว บรรพชาอาศัยเภสัชที่ดองด้วยน้ำมูตรเน่า

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 403

เธอพึงกระทำความอุตสาหะในข้อนั้นตลอดชีวิตเถิด จึงห้ามจตุมธุรส ประกอบเภสัชด้วยสมอดองน้ำมูตรเน่า จัดว่าเป็นผู้สันโดษอย่างยิ่งทีเดียว อาการของภิกษุนั้น นี้ชื่อว่า ยถาสารูปปสันโดษในคิลานปัจจัย.

สันโดษทั้งหมดซึ่งมีประเภทดังกล่าวแล้วนั้น ท่านเรียกว่า สันตุฏฐี. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า โดยอรรถก็คือ อิตริตรปัจจยสันโดษ สันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้. กถาที่เป็นไปด้วยอำนาจประกาศอานิสงส์ของสันตุฏฐินั้น พร้อมกับวิธีที่ชี้แนะเป็นต้น และด้วยอำนาจประกาศโทษของภิกษุผู้ตกอยู่ในความอยากอันต่างด้วยความปรารถนาเกินไปเป็นต้น อันเป็นปฏิปักษ์ต่อความสันโดษนั้น ชื่อว่า สันตุฏฐิกถา. แม้ในกถาอื่นจากนี้ ก็นัยนี้เหมือนกัน. ข้าพเจ้าจักกล่าวแต่เพียงความแปลกกันเท่านั้น.

วิเวก ในบทว่า ปวิเวกกถา นี้ มี ๓ อย่าง คือ กายวิเวก ๑ จิตวิเวก ๑ อุปธิวิเวก ๑ ใน ๓ อย่างนั้น ความที่ภิกษุละความอยู่คลุกคลีด้วยหมู่ แล้วอยู่สงัดในกิจทั้งปวงในทุกอิริยาบถอย่างนี้ คือ รูปหนึ่งเดิน รูปหนึ่งยืน รูปหนึ่งนั่ง รูปหนึ่งนอน รูปหนึ่งเข้าบ้านบิณฑบาต รูปหนึ่งกลับ รูปหนึ่งก้าวไป รูปหนึ่งอธิษฐานจงกรม รูปหนึ่งเที่ยวไป รูปหนึ่งอยู่ ชื่อว่ากายวิเวก. อนึ่ง สมาบัติ ๘ ชื่อว่า จิตวิเวก. พระนิพพาน ชื่อว่าอุปธิวิเวก. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ก็สำหรับผู้ปลีกกายออก ผู้ยินดีในเนกขัมมะ จัดเป็นกายวิเวก สำหรับผู้มีจิตบริสุทธิ์ถึงความผ่องแผ้วอย่างยิ่ง จัดเป็นจิตวิเวก สำหรับผู้หมดอุปธิกิเลส ผู้ถึงวิสังขาร จัดเป็นอุปธิวิเวก. วิเวกนั้นแหละ คือ ปวิเวก. กถาที่เกี่ยวด้วยความสงัด ชื่อว่าปวิเวกกถา.

สังสัคคา ในบทว่า อสํสคฺคกถา นี้ มี ๕ อย่าง คือ สวนสังสัคคะ ๑

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 404

ทัสสนสังสัคคะ ๑ สมุลลปนสังสัคคะ ๑ สัมโภคสังสัคคะ ๑ กายสังสัคคะ ๑ ใน ๕ อย่างนั้น ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ ได้ยินว่า หญิงในบ้านหรือนิคมโน้น มีรูปงาม น่าชม น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยความเป็นผู้มีสีกายงามอย่างยิ่ง เธอได้ยินดังนั้นแล้ว (มีจิต) ซ่านไป แผ่ไป ไม่สามารถจะดำรงพรหมจรรย์อยู่ได้ จึงลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์ ความสนิทสนมด้วยกิเลสเกิดขึ้น โดยได้ฟังวิสภาคารมณ์ด้วยอาการอย่างนี้ ชื่อว่า สวนสังสัคคะ ภิกษุหาได้ฟังเช่นนั้นไม่ เธอย่อมเห็นหญิงงามเอง น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยสีกายงดงามอย่างยิ่ง เธอพอเห็นเท่านั้น (มีจิต) ซ่านไป แผ่ไป ไม่สามารถจะดำรงพรหมจรรย์อยู่ได้ จึงลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์ ความสนิทสนมด้วยกิเลสที่เกิดขึ้นโดยได้เห็นวิสภาคารมณ์ด้วยอาการอย่างนี้ ชื่อว่า ทัสสนสังสัคคะ ก็แล เพราะได้เห็น ความสนิทสนมด้วยกิเลสเกิดขึ้น โดยการเจรจาปราศรัยกันและกัน ชื่อว่า สมุลลปนสังสัคคะ ด้วยการเจรจาปราศรัยนี้แหละ จึงรวมเข้ากับการกระซิกกระซี้เป็นต้นก็ได้. ก็เพราะสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นของตนที่ให้ก็ตาม ไม่ให้ก็ตามแก่มาตุคาม ความสนิทสนมด้วยกิเลสเกิดขึ้นด้วยการให้สิ่งที่มีค่าที่ตนให้เป็นต้น ชื่อว่า สัมโภคสังสัคคะ ความสนิทสนมด้วยกิเลสเกิดขึ้นด้วยการจับมือมาตุคามเป็นต้น ชื่อว่า กายสังสัคคะ

ความที่ภิกษุละความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ อันไม่เป็นไปตามอนุโลม และความคลุกคลีอันเป็นเหตุเกิดกิเลสกับเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ภิกษุคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์อยู่ มีความคลุกคลีอันไม่เป็นไปตามอนุโลม มีโศกด้วยกัน ยินดีด้วยกัน เมื่อเขาสุขก็สุข เมื่อเขาทุกข์ก็ทุกข์ ถึงความขวนขวายในกรณียกิจที่เกิดขึ้นด้วยตนเองดังนี้ทั้งหมดเสียได้ เข้าไปตั้งเฉพาะซึ่งธรรมทั้งปวง คือ

 
  ข้อความที่ 29  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 405

ความสังเวชในสงสารอันมั่นคงกว่า ความสำคัญในสิ่งที่มีสังขารว่าเป็นภัยอย่างแรงกล้า ความสำคัญในร่างกายว่าเป็นสิ่งปฏิกูล มีหิริและโอตตัปปะอันมีการเกลียดอกุศลทั้งหมดเป็นตัวนำ ทั้งมีสติและสัมปชัญญะในการกระทำทุกอย่าง แล้วไม่มีความติดข้องในธรรมทั้งปวง เหมือนหยาดน้ำไม่ติดบนใบบัวฉะนั้น นี้ชื่อว่า อสังสัคคะ เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อสังสัคคะทั้งปวง กถาอันเกี่ยวด้วยอสังสัคคะ ชื่อว่า อสังสัคคกถา.

ในบทว่า วีริยารมฺภกถา นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. ภาวะแห่งบุคคลผู้แกล้วกล้า หรือกรรมแห่งบุคคลผู้แกล้วกล้า เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าวิริยะ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าวิริยะ เพราะอันบุคคลพึงดำเนินไป คือ พึงให้เป็นไปตามวิธี ก็ความเพียรนั้น คือ การเริ่มเพื่อละอกุศลธรรม (และ) ให้กุศลธรรมเกิดขึ้น ชื่อว่า วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร.

วิริยารัมภะนั้น มี ๒ อย่าง คือ เป็นไปทางกาย ๑ เป็นไปทางจิต ๑ มี ๓ อย่าง คือ อารัมภธาตุ ๑ นิกกมธาตุ ๑ ปรักกมธาตุ ๑ มี ๔ อย่างด้วยอำนาจสัมมัปปธาน ๔. วิริยารัมภะทั้งหมดนั้น พึงทราบด้วยอำนาจการปรารภความเพียรอย่างนี้ ของภิกษุผู้ไม่ให้กิเลสที่เกิดขึ้นในตอนเดินถึงในตอนยืน ที่เกิดในตอนยืนไม่ให้ถึงตอนนั่ง ที่เกิดขึ้นในตอนนั่งไม่ให้ถึงตอนนอน ข่มไว้ด้วยพลังความเพียร ไม่ให้เงยศีรษะขึ้นได้ในอิริยาบถนั้นๆ เหมือนคนเอาไม้มีลักษณะดังเท้าแพะกดงูเห่าไว้ และเหมือนเอาดาบที่คมกริบฟันคอศัตรูฉะนั้น. กถาอันเกี่ยวด้วยวิริยารัมภะนั้น ชื่อว่า วิริยารัมภกถา

ศีลในบทว่า ศีลกถา เป็นต้น มี ๒ อย่าง คือ โลกิยศีล ๑ โลกุตรศีล ๑. ในศีล ๒ อย่างนั้น โลกิยศีล ได้แก่ ปาริสุทธิศีล ๔ มี ปาติโมกขสังวรศีล เป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 30  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 406

โลกุตรศีล ได้แก่ มรรคศีล และผลศีล. อนึ่ง สมาบัติ ๘ พร้อมด้วยอุปจาระอันเป็นบาทแห่งวิปัสสนา ชื่อว่าโลกิยสมาธิ ก็ในที่นี้ สมาธิที่สัมปยุตด้วยมรรค ชื่อว่าโลกุตรสมาธิ. ฝ่ายปัญญาก็เหมือนกัน ที่สำเร็จด้วยการฟัง สำเร็จด้วยการคิด ที่สัมปยุตด้วยฌาน และวิปัสสนาญาณ จัดเป็นโลกิยปัญญา แต่ในที่นี้ เมื่อว่าโดยพิเศษ พึงยึดเอาวิปัสสนาปัญญา. ปัญญาที่สัมปยุตด้วยมรรคและผล จัดเป็นโลกุตรปัญญา. แม้วิมุตติ ก็ได้แก่ วิมุตติอันสัมปยุตด้วยอริยผลและนิพพาน. ฝ่ายอาจารย์อีกพวกหนึ่ง พรรณนาความในข้อนี้ไว้ด้วยอำนาจแม้ตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ และสมุจเฉทวิมุตติ. แม้วิมุตติญาณทัสสนะ ก็ได้แก่ ปัจจเวกขณญาณ ๑๙. กถาอันเป็นไปด้วยอำนาจการประกาศโทษและอานิสงส์ มีอาการเป็นอเนกแห่งคุณมีศีลเป็นต้นเหล่านี้ พร้อมด้วยวิธีมีการชี้แจงเป็นต้น และด้วยอำนาจการประกาศโทษแห่งความเป็นผู้ทุศีลเป็นต้น อันเป็นข้าศึกต่อคุณมีศีลเป็นต้นนั้น หรือกถาอันเกี่ยวด้วยอานิสงส์และโทษของศีลนั้น ชื่อว่ากถาว่าด้วยศีลเป็นต้น.

ก็ในที่นี้ เพราะพระบาลีมีอาทิว่า ภิกษุเป็นผู้มักน้อยด้วยตนเอง ทั้งกระทำกถาว่าด้วยความมักน้อยแก่ผู้อื่น และชื่อว่าเป็นผู้สันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้ ทั้งประกาศคุณแห่งความสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้ กถาเห็นปานนั้น อันภิกษุผู้ประกอบด้วยคุณมีความเป็นผู้มักน้อยเป็นต้นด้วยตนเอง พึงให้โทษเป็นไปตามอัธยาศัยเกื้อกูลแม้แก่คนเหล่าอื่น เพื่อประโยชน์แก่ความมักน้อยและสันโดษนั้น ซึ่งท่านกล่าวไว้โดยพิเศษด้วยความเป็นผู้ขัดเกลาอย่างยิ่งเป็นต้น ในที่นี้ พึงทราบว่า กถาว่าด้วยความมักน้อยเป็นต้น. จริงอยู่ กถาของผู้กระทำนั่นแหละ ย่อมทำประโยชน์ตามที่สงค์ให้สำเร็จโดยพิเศษ.

 
  ข้อความที่ 31  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 407

สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนเมฆิยะ นี้เป็นความหวังของภิกษุผู้กัลยาณมิตร ฯลฯ เป็นการได้โดยไม่ยาก.

บทว่า เอวรูปาย ได้แก่ เช่นนี้ คือ ตามที่กล่าวแล้ว.

บทว่า นิกามลาภี ความว่า เป็นผู้ได้ตามปรารถนา คือ ได้ตามความชอบใจ ได้แก่ ได้ตามสะดวกเพื่อจะฟังและวิจารณ์กถาเหล่านี้ทุกเวลา.

บทว่า อกิจฺฉลาภี ได้แก่ เป็นผู้ได้โดยไม่ยาก.

บทว่า อกสิรลาภี ได้แก่ เป็นผู้ได้โดยไพบูลย์.

บทว่า อารทฺธวีริโย ได้แก่ ประคองความเพียรไว้.

บทว่า อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย ได้แก่ เพื่อจะละบาปธรรม ที่ชื่อว่าอกุศล เพราะอรรถว่า เกิดจากความเป็นผู้ไม่ฉลาด.

บทว่า กุสลานํ ธมฺมานํ ได้แก่ ธรรมที่สัมปยุตด้วยมรรคและผล พร้อมทั้งวิปัสสนา ที่ชื่อว่ากุศล เพราะอรรถว่า ตัดบาปธรรมอันบัณฑิตเกลียดเป็นต้น และเพราะอรรถว่า ไม่มีโทษ.

บทว่า อุปสมฺปทาย ได้แก่ ให้ถึงพร้อม คือ ให้เกิดขึ้นในสันดานตน.

บทว่า ถามวา ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยกำลังความเพียร กล่าวคือ ความอุตสาหะ.

บทว่า ทฬฺหปรกฺกโม ได้แก่ มีความบากบั่นมั่น คือ มีความเพียรไม่ย่อหย่อน.

บทว่า อนิกฺขิตฺตธุโร ได้แก่ ไม่ทอดทิ้งธุระ คือ มีความเพียรไม่ท้อถอย.

บทว่า ปญฺวา ได้แก่ ผู้มีปัญญาด้วยปัญญาอันสัมปยุตด้วยวิปัสสนา.

บทว่า อุทยตฺถคามินิยา ได้แก่ แทงตลอดถึงความเกิดขึ้นและความดับไปแห่งเบญจขันธ์.

บทว่า อริยาย ได้แก่ ห่างไกล คือ ตั้งอยู่ในที่ไกลจากกิเลส ด้วยอำนาจวิกขัมภนวิมุตติ คือ ปราศจากโทษ.

บทว่า นิพฺเพธิกาย แปลว่า เป็นส่วนแห่งการตรัสรู้.

 
  ข้อความที่ 32  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 408

บทว่า สมฺมาทุกฺขกฺขยคามินิยา ได้แก่ บรรลุโดยชอบ คือ โดยเหตุ โดยนัย ซึ่งอริยมรรคอันได้นามว่า ทุกขักขยะ เพราะทำวัฏทุกข์ให้สิ้นไป.

ก็แล ในธรรม ๕ ประการเหล่านี้ ศีล วิริยะ และปัญญา เป็นองค์ภายใน ๒ องค์นอกนี้เป็นองค์ภายนอกสำหรับพระโยคี แม้ถึงอย่างนั้น พระโยคีก็ยังปรารถนาธรรม ๔ ประการนอกนั้น โดยเป็นที่อาศัยของกัลยาณมิตรนั่นเอง. ในที่นี้ พระศาสดาเมื่อทรงแสดงว่า กัลยาณมิตรนั่นแหละเป็นผู้มีอุปการะมาก จึงทรงเพิ่มพระธรรมเทศนาโดยนัยมีอาทิว่า เมฆิยะ ข้อนี้ภิกษุผู้มีกัลยาณมิตรพึงหวังได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาฏิกงฺขํ แปลว่า พึงหวังโดยส่วนเดียว อธิบายว่า มีภาวะแน่แท้.

บทว่า ยํ เป็นกิริยาปรามาส. ท่านอธิบายคำนี้ว่า ในคำว่า สีลวา ภวิสฺสติ นี้ มีอธิบายว่า ข้อที่ภิกษุผู้มีมิตรดีงาม มีศีล คือ สมบูรณ์ด้วยศีลนั้น พึงหวังได้ เพราะภิกษุนั้นเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล คือ เป็นผู้มีภาวะแน่นอน เพราะชักชวนเธอในข้อนั้นโดยแท้จริงทีเดียว. แม้ในคำว่า ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรติ ดังนี้เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงศาสนสมบัติทั้งสิ้น โดยความเป็นผู้มีกัลยาณมิตรเป็นต้น แต่ท่านเมฆิยะผู้ไม่เอื้อเฟื้อพระดำรัสของพระองค์ผู้เป็นกัลยาณมิตรผู้สูงสุดในโลกพร้อมทั้งเทวโลก แล้วเข้าไปยังไพรสณฑ์นั้น ถึงประการอันแปลกเช่นนั้น บัดนี้ จึงทรงประกาศภาวนานัยแก่เธอ ผู้เกิดความเอื้อเฟื้อในไพรสณฑ์นั้น เพราะเธอถูกกามวิตกเป็นต้นประทุษร้ายในคราวก่อน และเพราะกามวิตกเป็นต้นเหล่านั้นเป็นข้าศึกโดยตรง กรรมฐานจึงไม่สำเร็จแก่เธอ ต่อแต่นั้น เมื่อจะตรัสบอก

 
  ข้อความที่ 33  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 409

กรรมฐานแห่งพระอรหัต จึงตรัสคำมีอาทิว่า ดูก่อนเมฆิยะ ก็แลภิกษุนั้นพึงตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการนี้ แล้วพึงเจริญธรรม ๔ ประการนี้ ยิ่งๆ ขึ้นไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตน ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยคุณมีศีลเป็นต้นตามที่กล่าวแล้ว โดยมีกัลยาณมิตรเป็นที่อาศัยอย่างนี้. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล จึงตรัสว่า ตั้งอยู่ในธรรม ๕ ประการเหล่านี้ เป็นต้น.

บทว่า อุตฺตรึ ความว่า หากอันตรายมีราคะเป็นต้น พึงเกิดขึ้นแก่ผู้ปรารภตรุณวิปัสสนา เพื่อจะชำระอันตรายเหล่านั้นให้หมดจด เบื้องหน้าแต่นั้นพึงเจริญ คือ ทำให้เกิด และพอกพูนธรรม ๔ ประการนั้น.

บทว่า อสุภา ได้แก่ เจริญอสุภกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งตามสมควรในบรรดาอสุภกรรมฐาน ในเอกเทศหนึ่ง.

บทว่า ราคสฺส ปหานาย ได้แก่ เพื่อละกามราคะ. บัณฑิตพึงประกาศเนื้อความนี้ด้วยอุปมาบุคคลผู้เกี่ยวข้าวสาลี. จริงอยู่ ชายคนหนึ่งถือเคียวเกี่ยวข้าวสาลีในนาข้าวสาลี ตั้งแต่ที่สุดไป ครั้นเหล่าโคแหกรั้วของเขาเข้าไป เขาก็วางเคียว ถือไม้ไล่โคให้ออกไปโดยทางนั้นนั่นแล แล้วทำรั้วให้เหมือนเดิม แล้วถือเคียวเกี่ยวข้าวสาลีอีก. ในอุปมาข้อนั้น พระพุทธศาสนาพึงเห็นเหมือนนาข้าวสาลี พระโยคาวจรเหมือนคนเกี่ยวข้าว มรรคปัญญาเหมือนเคียว เวลาทำกรรมในวิปัสสนาเหมือนเวลาเกี่ยว อสุภกรรมฐานเหมือนไม้ สังวรเหมือนรั้ว การที่ราคะเกิดขึ้นเพราะอาศัยความประมาทโดยไม่พิจารณาทันทีทันใด เหมือนการที่โคทั้งหลายพังรั้วไป เวลาที่ข่มราคะด้วยอสุภกรรมฐานแล้วเริ่มทำกรรมในวิปัสสนาอีก พึงเห็นเหมือนคนเกี่ยวข้าววางเคียว ถือไม้ไล่โคให้ออกไปโดยทางที่เข้ามานั่นแหละ ทำรั้วให้เหมือนเดิม แล้วเกี่ยวข้าวตั้งแต่ที่ที่ตนยืนอีก

 
  ข้อความที่ 34  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 410

ในข้อนี้มีการเทียบเคียงอุปมาดังว่ามานี้. ทรงหมายเอาภาวนาวิธีซึ่งเป็นดังว่ามานี้ จึงตรัสว่า พึงเจริญอสุภะเพื่อละราคะ.

บทว่า เมตฺตา ได้แก่ กรรมฐานมีเมตตาเป็นอารมณ์.

บทว่า พฺยาปาทสฺส ปหานาย ได้แก่ เพื่อละความโกรธอันเกิดขึ้น โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

บทว่า อานาปานสฺสติ ได้แก่ อานาปานสติอันมีวัตถุ ๑๖.

บทว่า วิตกฺกุปจฺเฉทาย ได้แก่ เพื่อตัดวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

บทว่า อสฺมิมานสมุคฺฆาตาย ได้แก่ เพื่อถอนมานะ ๙ อย่างที่เกิดขึ้นว่าเรามี.

บทว่า อนิจฺจสญฺิโน ได้แก่ ผู้มีความสำคัญว่าไม่เที่ยง ด้วยอนิจจานุปัสสนาที่เป็นไปว่า สังขารทั้งปวงชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะมีแล้วกลับไม่มี เพราะมีความเกิดขึ้นและดับไปเป็นที่สุด เพราะมีการแตกดับ เพราะเป็นไปชั่วขณะ เพราะปฏิเสธความเป็นของเที่ยง.

บทว่า อนตฺตสญฺา สณฺาติ ได้แก่ อนัตตสัญญา กล่าวคือ อนัตตานุปัสสนาที่เป็นไปอย่างนี้ว่า ธรรมทั้งปวงชื่อว่าเป็นอนัตตา เพราะไม่มีแก่นสาร เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ เพราะเป็นอื่น เพราะว่าง เพราะเปล่า และเพราะสูญ ย่อมไม่ดำรงอยู่ คือ ไม่ตั้งมั่นอยู่ในจิต. จริงอยู่ เมื่อเห็นอนิจจลักษณะ ก็เป็นอันชื่อว่าเห็นอนัตตลักษณะเหมือนกัน. ก็บรรดาลักษณะทั้ง ๓ เมื่อเห็นลักษณะหนึ่ง ก็เป็นอันชื่อว่าเห็นลักษณะ ๒ อย่างนอกนี้เหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า เมฆิยะ ก็อนัตตสัญญาย่อมดำรงอยู่แก่ผู้มีความสำคัญในสังขารว่าเป็นของไม่เที่ยง. เมื่อเห็นอนัตตลักษณะ มานะที่เกิดขึ้นว่าเรามี ก็ชื่อว่าละได้ด้วยนั่นเอง เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสว่า ผู้มีความสำคัญในสังขารว่าเป็นอนัตตา ย่อมถึงการถอนอัสมิมานะเสียได้.

 
  ข้อความที่ 35  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 411

บทว่า ทิฏฺเว ธมฺเม นิพฺพานํ ความว่า ย่อมบรรลุพระปรินิพพานอันหาปัจจัยมิได้ในปัจจุบันนี้เอง คือ ในอัตภาพนี้เอง. ในที่นี้ มีความสังเขปเพียงเท่านี้ แต่เมื่อว่าโดยพิสดารนัยแห่งภาวนาอันว่าด้วยอสุภกรรมฐานเป็นต้น ผู้ต้องการพึงตรวจดูโดยนัยที่กล่าวไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.

บทว่า เอตมตฺถํ วิหิตฺวา ความว่า ทรงทราบเนื้อความนี้ กล่าวคือ การที่ท่านพระเมฆิยะถูกพวกโจรคือมิจฉาวิตกปล้นภัณฑะ คือ กุศล.

บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้อันแสดงโทษในการไม่บรรเทากามวิตกเป็นต้น และอานิสงส์ในการบรรเทากามวิตกเป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขุทฺทา ได้แก่ เลว คือ ลามก.

บทว่า วิตกฺกา ได้แก่ บาปวิตก (อกุศลวิตก) ๓ มีกามวิตกเป็นต้น. ก็อกุศลวิตกเหล่านั้น ท่านเรียกขุททะในที่นี้ เพราะถูกวิตกทั้งปวงทำให้เลว เหมือนในประโยคมีอาทิว่า ไม่พึงประพฤติเลว.

บทว่า สุขุมา ท่านประสงค์เอาความตรึกถึงญาติเป็นต้น. ก็วิตกเหล่านี้ คือ ความตรึกถึงญาติ ตรึกถึงชนบท ตรึกถึงเทวดา ความตรึกที่เกี่ยวกับความเอ็นดูผู้อื่น ความตรึกที่เกี่ยวด้วยลาภสักการะและชื่อเสียง ความตรึกที่เกี่ยวกับความไม่ดูหมิ่น ย่อมไม่ร้ายแรงเหมือนกามวิตกเป็นต้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สุขุมละเอียด เพราะมีสภาวะไม่หยาบ.

บทว่า อนุคตา ได้แก่ อนุวรรตน์ไปตามจิต. จริงอยู่ เมื่อวิตกเกิดขึ้น จิตก็ไปตามวิตกนั้นแล เพราะยกวิตกนั้นขึ้นสู่อารมณ์. บาลีว่า อนุคฺคตา ดังนี้ก็มี ความว่า อนุฏฺิตา ไม่ตั้งมั่น.

บทว่า มนโส อุพฺพิลาปา แปลว่า ทำจิตให้ฟุ้งซ่าน.

บทว่า เอเต อวิทฺวา มนโส วิตกฺเก ความว่า ไม่รู้ตามความเป็นจริงซึ่งมโนวิตก มีกามวิตกเป็นต้นเหล่านั้น ด้วยญาตปริญญา ตีรณปริญญา และปหานปริญญา

 
  ข้อความที่ 36  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 412

โดยสลัดออกจากโทษ คือ ความยินดี.

บทว่า หุรา หุรํ ธาวติ ภนฺตจิตฺโต ความว่า ชื่อว่ามีจิตไม่ตั้งมั่น เพราะยังละมิจฉาวิตกไม่ได้ จึงแล่นไป คือ หมุนไปๆ มาๆ ด้วยอำนาจความยินดีเป็นต้นในอารมณ์นั้นๆ โดยนัยมีอาทิว่า บางคราวในรูปารมณ์ บางคราวในสัททารมณ์ อีกอย่างหนึ่ง บทว่า หุรา หุรํ ธาวติ ภนฺตจิตฺโต ความว่า มีจิตหมุนไปด้วยอำนาจอวิชชาและตัณหาอันมีวิตกนั้นเป็นเหตุ เพราะยังกำหนดวิตกไม่ได้ จึงแล่นไป คือ ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ โดยจุติและปฏิสนธิ จากโลกนี้สู่โลกหน้า.

บทว่า เอเต จ วิทฺวา มนโส วิตกฺเก ความว่า แต่รู้ตามความเป็นจริงโดยความยินดีเป็นต้นซึ่งมโนวิตก มีกามวิตกเป็นต้น มีประเภทตามที่กล่าวแล้วนั้น.

บทว่า อาตาปิโย แปลว่า มีความเพียร.

บทว่า สํวรติ แปลว่า ย่อมปิด.

บทว่า สติมา แปลว่า สมบูรณ์ด้วยสติ.

บทว่า อนุคฺคเต ได้แก่ ไม่เกิดขึ้นโดยอำนาจการได้ด้วยยาก. ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า รู้มโนวิตกมีกามวิตกเป็นต้นมีประการดังกล่าวแล้วนั้น ว่าเป็นความฟุ้งซ่านแห่งใจ เพราะเป็นเหตุทำจิตให้ฟุ้งซ่าน คือ รู้โดยชอบทีเดียวด้วยมรรคปัญญาอันประกอบด้วยวิปัสสนาญาณ ชื่อว่าผู้มีความเพียร มีสติ เพราะมีสัมมาวายามะและสัมมาสติ ซึ่งมีมรรคปัญญานั้นเป็นสหาย ปิดมโนวิตกเหล่านั้นที่ควรจะเกิดต่อไปไม่ให้เกิด คือ ไม่ให้ผุดขึ้นเลยในขณะมรรค ด้วยอริยมรรคภาวนา คือ ปิดกั้นด้วยญาณสังวร ได้แก่ ตัดความปรากฏ (ของวิตกเหล่านั้น) ก็พระอริยสาวกผู้เป็นอย่างนั้นชื่อว่าพุทธะ เพราะรู้สัจจะทั้ง ๔ ละขาด คือ ตัดขาดกามวิตกเป็นต้นเหล่านั้นโดยไม่เหลือ คือ ไม่มีส่วนเหลือ เหตุบรรลุพระอรหัต.

 
  ข้อความที่ 37  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 413

แม้ในบทนี้ อาจารย์บางพวกล่าวว่า อนุคเต ดังนี้ก็มี. ความแห่งบท อนุคเต นั้น ได้กล่าวไว้ในหนหลังแล้วแล.

จบอรรถกถาเมฆิยสูตรที่ ๑