พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๕. นาคสูตร ว่าด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้าละจากหมู่อยู่ผู้เดียว

 
บ้านธัมมะ
วันที่  8 ส.ค. 2564
หมายเลข  35316
อ่าน  483

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 432

๕. นาคสูตร

ว่าด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้าละจากหมู่อยู่ผู้เดียว


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 432

๕. นาคสูตร

ว่าด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้าละจากหมู่อยู่ผู้เดียว

[๙๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเกลื่อนกล่นอยู่ด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา เดียรถีย์ สาวกแห่ง

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 433

เดียรถีย์ ประทับอยู่ลำบากไม่ผาสุก ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า บัดนี้ เราแลเกลื่อนกล่นอยู่ด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา เดียรถีย์ สาวกแห่งเดียรถีย์ อยู่ลำบากไม่ผาสุก ถ้ากระไร เราพึงหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียวเถิด ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังเมืองโกสัมพี ครั้นเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในเมืองโกสัมพี เสด็จกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตแล้ว ทรงเก็บเสนาสนะ ทรงถือบาตรและจีวรด้วยพระองค์เอง ไม่ทรงบอกลาอุปัฏฐาก ไม่ทรงบอกเล่าภิกษุสงฆ์ พระองค์เดียวไม่มีเพื่อน เสด็จหลีกจาริกไปทางป่าปาลิไลยกะ เสด็จจาริกไปโดยลำดับ ถึงป่าปาลิไลยกะแล้ว.

[๙๘] ได้ยินว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่วงไม้ภัททสาละในราวไพรรักขิตวัน ในป่าปาลิไลยกะ แม้พญาช้างเชือกหนึ่ง เกลื่อนกล่นอยู่ด้วยเหล่าช้างพลาย ช้างพัง ช้างสะเทิ้น ลูกช้าง กินหญ้าที่ช้างทั้งหลายเล็มยอดเสียแล้ว และช้างทั้งหลายกินกิ่งไม้ที่พญาช้างนั้นหักลงๆ พญาช้างนั้นดื่มน้ำที่ขุ่น และเมื่อพญาช้างนั้นลงและขึ้นจากน้ำ เหล่าช้างพังเดินเสียดสีกายไป พญาช้างนั้นเกลื่อนกล่นอยู่ลำบากไม่ผาสุก ลำดับนั้นแล พญาช้างนั้นดำริว่า บัดนี้ เราแลเกลื่อนกล่นอยู่ด้วยเหล่าช้างพลาย ช้างพัง ช้างสะเทิ้น ลูกช้าง เรากินหญ้าที่ช้างทั้งหลายเล็มยอดเสียแล้ว และช้างทั้งหลายกินกิ่งไม้ที่เราหักลงๆ เราดื่มน้ำที่ขุ่น และเมื่อเราลงและขึ้นจากท่าน้ำ เหล่าช้างพังทั้งหลาย เดินเสียดสีกายไป เราเกลื่อนกล่นอยู่ลำบากไม่ผาสุก ถ้ากระไร เราพึงหลีกออกจากโขลงอยู่แต่ผู้เดียว ลำดับนั้นแล พญาช้างนั้นหลีกออกจากโขลง แล้วเข้าไปเฝ้า

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 434

พระผู้มีพระภาคเจ้าที่ควงไม้ภัททสาละ ในราวป่ารักขิตวัน ณ ป่าปาลิไลยกะ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ได้ยินว่า พญาช้างนั้นกระทำประเทศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในรักขิตวันนั้นให้ปราศจากของเขียว และเข้าไปตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยงวง.

[๙๙] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ ทรงเกิดความปริวิตกแห่งพระทัยอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราแลเกลื่อนกล่นอยู่ด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา เดียรถีย์ สาวกแห่งเดียรถีย์ เราเกลื่อนกล่นอยู่ลำบากไม่ผาสุก บัดนี้ เรานั้นไม่เกลื่อนกล่นอยู่ด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา เดียรถีย์ สาวกแห่งเดียรถีย์ เราไม่เกลื่อนกล่น เป็นสุขสำราญ พญาช้างนั้นเกิดความปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราแลเกลื่อนกล่นอยู่ด้วยเหล่าช้างพลาย ช้างพัง ช้างสะเทิ้น ลูกช้าง เรากินหญ้าที่ช้างทั้งหลายเล็มยอดเสียแล้ว และช้างทั้งหลายกินกิ่งไม้ที่เราหักลงๆ เราดื่มน้ำที่ขุ่น และเมื่อเราลงและขึ้นจากน้ำ ช้างพังทั้งหลายเดินเสียดสีกายไป เราเกลื่อนกล่นอยู่ลำบาก ไม่ผาสุก บัดนี้ เราไม่เกลื่อนกล่นอยู่ด้วยเหล่าช้างพลาย ช้างพัง ช้างสะเทิ้น ลูกช้าง เราไม่กินหญ้าที่ช้างทั้งหลายเล็มยอดแล้ว และช้างทั้งหลายไม่กินกิ่งไม้ที่เราหักลงๆ เราดื่มน้ำที่ไม่ขุ่น และเมื่อเราลงและขึ้นจากน้ำ ช้างพังทั้งหลายก็ไม่เดินเสียดสีกายไป เราไม่เกลื่อนกล่นอยู่ เป็นสุขสำราญ

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความสงัดกายของพระองค์ และทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพญาช้างนั้นด้วยพระหฤทัยแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 435

จิตของพญาช้างมีงาเช่นกับงอนรถ ย่อมสมกับจิตที่ประเสริฐของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ เพราะพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวทรงยินดีอยู่ในป่า.

จบนาคสูตรที่ ๕

อรรถกถานาคสูตร

นาคสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า โกสมฺพิยํ ความว่า ใกล้นครอันได้นามอย่างนี้ว่า โกสัมพี เพราะสร้างไว้ในที่ที่กุสุมพฤาษีอยู่.

บทว่า โฆสิตาราเม ได้แก่ ในอารามที่โฆสิตเศรษฐีสร้างไว้.

บทว่า ภควา อากิณฺโณ วิหรติ ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงรับความคับแคบ ประทับอยู่.

ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า มีความคับแคบ หรือมีความคลุกคลี?

ตอบว่า ไม่มี เพราะใครๆ ไม่สามารถจะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยไม่ปรารถนา. จริงพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย เข้าเฝ้าได้โดยยาก ก็เพราะไม่ทรงติดอยู่ในที่ทั้งปวง. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอาศัยความอนุเคราะห์ในหมู่สัตว์ ด้วยทรงแสวงหาประโยชน์เกื้อกูลเพื่อจะรื้อถอนหมู่สัตว์ออกจากโอฆะ ๔ โดยสมควรแก่ปฏิญญาว่า เราหลุดพ้นแล้ว จักให้หมู่สัตว์หลุดพ้นด้วย จึงทรงรับให้บริษัททั้ง ๘ เข้าเฝ้ายังสำนักของพระองค์ตลอดเวลา. ก็พระองค์เอง อันพระมหากรุณากระตุ้นเตือนเป็นกาลัญญู เสด็จเข้าไปในบริษัทนั้น. ข้อนี้ อันพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคยประพฤติกันมา. นี้ท่านประสงค์ว่า การอยู่เกลื่อนกล่นในที่นี้.

แต่ในที่นี้ เมื่อภิกษุชาวเมืองโกสัมพีเกิดทะเลาะกัน พระศาสดา

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 436

ทรงนำเรื่องของพระเจ้าโกศลทรงพระนามว่าทีฆีติมาประทานพระโอวาท โดยนัยมีอาทิว่า เวรในกาลไหนๆ ในโลกนี้ ย่อมไม่สงบด้วยเวร. วันนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นกระทำการทะเลาะกันนั่นแล จนราตรีสว่าง. แม้ในวันที่สอง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเรื่องนั้นเหมือนกัน. แม้ในวันนั้น ภิกษุเหล่านั้น ก็ทะเลาะกันนั่นเอง จนราตรีสว่าง. แม้ในวันที่สาม พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแสดงเรื่องนั้นเหมือนกัน. ลำดับนั้น ภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีความขวนขวายน้อย จงประกอบด้วยการอยู่เป็นสุขในปัจจุบันเถิด พวกข้าพระองค์จักปรากฏด้วยความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง และด้วยความวิวาทนี้. พระศาสดาทรงพระดำริว่า โมฆบุรุษเหล่านี้ มีจิตถูกความบาดหมางเป็นต้นครอบงำแล้ว บัดนี้ เราไม่อาจจะให้พวกเธอตกลงกันได้ และในที่นี้ ก็ไม่มีใครจะยอมใคร ถ้ากระไร เราก็จะพึงเที่ยวอยู่แต่ผู้เดียว เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุเหล่านี้ก็จักงดการทะเลาะกัน. เพราะกระทำการอยู่ในวิหารแห่งเดียวกันกับภิกษุผู้ก่อการทะเลาะกันเหล่านั้น และการที่พวกอุบาสกเป็นต้นเข้าไปเฝ้าโดยไม่มีผู้แนะนำ ให้เป็นอยู่เกลื่อนกล่น ด้วยประการฉะนี้ ท่านจึงกล่าวว่า เตน โข ปน สมเยน ภควา อากิณฺโณ วิหรติ ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่เกลื่อนกล่น ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺขํ ได้แก่ ไม่ใช่สุข อธิบายว่า ไม่น่าปรารถนา เพราะมีจิตไม่น่ายินดี. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ท่านจึงกล่าวว่า น ผาสุ วิหรามิ เราอยู่ไม่ผาสุก.

บทว่า วูปกฏฺโ แปลว่า หลีกออก คือ อยู่ในที่ไกล.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 437

ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงพระดำริอย่างนั้นแล้ว จึงทรงชำระพระวรกายแต่เช้าตรู่ เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในกรุงโกสัมพี ไม่ตรัสบอกใครๆ เสด็จไปแต่ผู้เดียว ไม่มีเพื่อน ประทับอยู่ที่ควงไม้ภัททสาละ ณ ปาลิไลยกะไพรสณฑ์ ในโกศลรัฐ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ ฯเปฯ ภทฺทสาลมูเล ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สามํ แปลว่า ด้วยพระองค์เอง.

บทว่า สํสาเมตฺวา แปลว่า เก็บนำ. พึงนำบทว่า สามํ มาประกอบเข้า แม้ในบทว่า ปตฺตจีวรมาทาย นี้.

บทว่า อุปฏฺาเก ได้แก่ ไม่ได้บอกลาพวกอุปัฏฐาก มีโฆสิตเศรษฐีเป็นต้น ชาวกรุงโกสัมพี และท่านพระอานนท์ ผู้เป็นอัครอุปัฏฐากในวิหาร.

เมื่อพระศาสดาเสด็จไปแล้วอย่างนี้ ภิกษุ ๕๐๐ รูป กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ผู้มีอายุ พระศาสดาเสด็จไปแต่พระองค์เดียว พวกเราจักติดตาม. ท่านพระอานนท์ห้ามว่า อาวุโส ในคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเก็บงำเสนาสนะด้วยพระองค์เอง แล้วทรงถือบาตรและจีวร ไม่ทรงบอกลาพวกอุปัฏฐาก และไม่ทรงบอกเล่าภิกษุสงฆ์ เสด็จไปไม่มีเพื่อน การเสด็จไปโดยพระองค์เดียว เป็นพระอัธยาศัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า ธรรมดาว่า พระสาวกควรปฏิบัติให้เหมาะสมแก่พระอัธยาศัยของพระศาสดา เพราะฉะนั้น ไม่ควรตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปในวันเหล่านี้ ดังนี้ แม้ตนเองก็ไม่ตามเสด็จ.

บทว่า อนุปุพฺเพน แปลว่า โดยลำดับ.

พระศาสดาเสด็จจาริกไปตามลำดับคามและนิคม ทรงพระดำริว่า เราจักเยี่ยมภิกษุผู้เที่ยวอยู่แต่ผู้เดียวก่อน ดังนี้แล้ว จึงเสด็จไปยังพาลกโลณการาม แล้วทรงแสดงอานิสงส์ในการเที่ยวอยู่แต่ผู้เดียวแก่ท่านภคุเถระในที่นั้น

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 438

ตลอดปัจฉาภัตร และตลอดราตรี ๓ ยาม ในวันรุ่งขึ้น มีท่านภคุเถระเป็นปัจฉาสมณะเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต ให้ท่านภคุเถระกลับ ณ ที่ตรงนั้นนั่นแล แล้วทรงพระดำริว่า จักเยี่ยมกุลบุตรทั้ง ๓ คน ผู้อยู่โดยความพร้อมเพรียงกัน จึงเสด็จไปยังปาจีนวังสมิคทายวัน แล้วทรงแสดงอานิสงส์ในการที่กุลบุตรแม้เหล่านั้นผู้อยู่โดยความพร้อมเพรียงกัน ตลอดคืนยังรุ่ง ทรงให้กุลบุตรแม้เหล่านั้นกลับ ณ ที่ตรงนั้นนั่นแล เสด็จถึงปาลิไลยคามแต่พระองค์เดียว. ชาวปาลิไลยคามพากันต้อนรับ ถวายทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าในรักขิตวันไพรสณฑ์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลปาลิไลยคาม แล้วทูลอาราธนาให้ประทับอยู่ด้วยคำว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงประทับอยู่ในที่นี้เถิด. ก็ในรักขิตวันนั้น มีต้นสาละต้นหนึ่งน่าพึงใจ อันได้นามว่า ภัททสาละ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยบ้านนั้น ประทับอยู่ ณ โคนไม้นั้น ใกล้บรรณศาลา ในไพรสณฑ์. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปาลิเลยฺยเก วิหรติ รกฺขิตวนสณฺเฑ ภทฺทสาลมูเล ดังนี้เป็นต้น.

บทว่า หตฺถินาโค ได้แก่ พญาช้าง คือ จ่าโขลง.

บทว่า หตฺถิกุลเภหิ แปลว่า ลูกช้าง.

บทว่า หตฺถิจฺฉาเปหิ ได้แก่ ลูกช้างรุ่น ซึ่งยังดื่มกินน้ำนม. ที่เขาเรียกว่า ภิงฺกา ดังนี้ก็มี.

บทว่า ฉินฺนคฺคานิ ความว่า เคี้ยวกินหญ้าที่มีปลายขาด คือ คล้ายตอ ที่เหลือจากช้างเป็นต้นเหล่านั้นล่วงหน้าไปกินเสียแล้ว.

บทว่า โอภคฺโคภคฺคํ ได้แก่ รุกขาวัยวะ คือ กิ่งไม้ที่พญาช้างนั้นหักตกลงจากที่สูง.

บทว่า อสฺส สาขาภงฺคํ ความว่า ช้างเหล่านั้นเคี้ยวกินรุกขาวัยวะที่หัก คือ กิ่งไม้ อันเป็นของพญาช้างนั้น.

บทว่า อาวิลานิ ความว่า ย่อมดื่มน้ำที่ขุ่น คือ ที่เจือด้วยเปือกตม

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 439

เพราะถูกช้างเหล่านั้นลงไปดื่มก่อนจึงทำให้ขุ่น.

บทว่า โอคาหา แปลว่า จากท่า. บาลีว่า โอคาหํ ดังนี้ก็มี.

บทว่า อสฺส ประกอบกับ หตฺถินาคสฺส.

บทว่า อุปนิฆํสนฺติโย แปลว่า เสียดสีอยู่. พญาช้างนั้น แม้จะถูกพวกช้างเสียดสีก็ไม่โกรธ เพราะความที่ตนมีใจกว้างขวาง ด้วยเหตุนั้น นางช้างเหล่านั้น จึงพากันเสียดสีพญาช้างนั่นแหละ.

บทว่า ยูถา แปลว่า จากโขลงช้าง.

บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ความว่า ได้ยินว่า พญาช้างนั้นเบื่อหน่ายที่จะอยู่ในโขลง จึงเข้าไปยังไพรสณฑ์นั้น เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าในที่นั้น เป็นสัตว์มีใจเย็น เหมือนเอาน้ำพันหม้อมาดับความร้อน มีจิตเลื่อมใส ได้อยู่ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ตั้งแต่นั้นมา พญาช้างนั้นก็ตั้งอยู่ในข้อวัตรปฏิบัติ เอากิ่งไม้กวาดรอบๆ ต้นภัททสาละและบรรณศาลา ให้ปราศจากของเขียว ถวายน้ำบ้วนพระโอษฐ์ นำน้ำสำหรับสรงมาถวาย ถวายไม้สำหรับชำระพระทนต์แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า นำผลไม้มีรสอร่อยมาจากป่าแล้วน้อมถวายแด่พระศาสดา. พระศาสดาทรงเสวยผลไม้เหล่านั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ได้ยินว่า ในรักขิตวันนั้น พญาช้างนั้นกระทำพื้นที่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ให้ปราศจากของเขียว และจัดตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้เพื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยงวง ดังนี้เป็นต้น.

พญาช้างนั้นเอางวงขนฟืนมา สีกันและกันเข้าให้เกิดเป็นไฟ ทำให้ไม้ลุกโพลง ทำก้อนหินในที่นั้นให้ร้อน เอาไม้กลิ้งก้อนหินนั้นมา โยนลงไปในแอ่งน้ำ รู้ว่าน้ำร้อนแล้ว จึงเข้าไปในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วยืนอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พญาช้างปรารถนา

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 440

จึงสมกับจิตที่ประเสริฐ คือ สมกับจิตของพระพุทธเจ้านั้น เพราะคำอธิบายจะให้เราสรงน้ำ จึงเสด็จไปในที่นั้น แล้วทำการสรงน้ำ. แม้ในน้ำดื่ม ก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็เมื่อนำดื่มนั้นเกิดความเย็นขึ้นแล้วก็เข้าไปเฝ้า ที่ท่านหมายกล่าวไว้ว่า ก็พญาช้างจัดตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยงวง.

บทมีอาทิว่า อถ โข ภควโต รโหคตสฺส เป็นบทแสดงการที่มหานาคทั้ง ๒ พิจารณาถึงความสุขอันเกิดแต่วิเวก. คำนั้น มีอรรถดังที่กล่าวไว้แล้วนั่นแล.

บทว่า อตฺตโน จ ปวิเวกํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบกายวิเวก ที่ได้ด้วยความไม่เกลื่อนกล่นด้วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง. ฝ่ายจิตวิเวกและอุปธิวิเวก ย่อมมีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าทุกกาลทีเดียว.

บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงถึงความที่พระองค์และพญาช้าง มีอัธยาศัยเสมอกันในความยินดียิ่งในความสงัด.

ในข้อนั้น มีความสังเขปดังต่อไปนี้ จิตของพญาช้างผู้มีงางอนนี้ คือ มีงางอนเช่นกับงอนรถ สมกัน คือ เทียบกันได้กับจิตที่ประเสริฐของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ. หากมีคำถามสอดเข้ามาว่า สมกันได้อย่างไร? เฉลยว่า เพราะผู้เดียวยินดีอยู่ในป่า อธิบายว่า เพราะเหตุที่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐทรงดำริว่า เมื่อก่อนเราแลอยู่เกลื่อนกล่น ดังนี้ จึงทรงรังเกียจการอยู่เกลื่อนกล่นในครั้งก่อน เมื่อจะทรงพอกพูนวิเวก บัดนี้จึงเป็นผู้ผู้เดียว คือ ไม่มีเพื่อน ยินดี คือ อภิรมย์ในป่า คือ ในราวป่า ฉันใด แม้พญาช้างนี้ก็ฉันนั้น เมื่อก่อนรังเกียจการอยู่เกลื่อนกล่นกับพวกช้างเป็นต้นของมัน เมื่อจะพอกพูนวิเวก บัดนี้จึงเป็นช้างโดดเดี่ยว คือ ไม่มีเพื่อนยินดี คือ เพลิดเพลินอยู่โดดเดี่ยวในป่า ฉะนั้น จิตของพญาช้างนั้น

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 441

ดังว่ามานี้ จึงเป็นเช่นเดียวกันกับด้วยความยินดีในเอกีภาพ.

จบอรรถกถานาคสูตรที่ ๕