๘. สุนทรีสูตร ว่าด้วยพระพุทธเจ้าถูกข้อหาว่าฆ่านางสุนทรี
[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 449
๘. สุนทรีสูตร
ว่าด้วยพระพุทธเจ้าถูกข้อหาว่าฆ่านางสุนทรี
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 449
๘. สุนทรีสูตร
ว่าด้วยพระพุทธเจ้าถูกข้อหาว่าฆ่านางสุนทรี
[๑๐๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ที่มหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ทรงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แม้ภิกษุสงฆ์ ก็เป็นผู้ที่มหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ส่วนพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก เป็นพวกที่มหาชนไม่สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร.
[๑๐๓] ครั้งนั้นแล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก อดกลั้นสักการะของพระผู้มีพระภาคเจ้าและสักการะของภิกษุสงฆ์ไม่ได้ เข้าไปหานางสุนทรีปริพาชิกาถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะนางสุนทรีปริพาชิกาว่า ดูก่อนน้องหญิง เธอสามารถเพื่อจะทำประโยชน์แก่ญาติทั้งหลายได้หรือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 450
นางสุนทรีปริพาชิกาว่า ดิฉันจะทำอะไรเล่า พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันสามารถเพื่อจะทำอะไร แม้ชีวิตดิฉันก็สละเพื่อประโยชน์แก่ญาติทั้งหลายได้.
อัญ. ดูก่อนน้องหญิง ถ้าเช่นนั้น เธอจงไปสู่พระวิหารเชตวันเนืองๆ เถิด.
นางสุนทรีปริพาชิการับคำของพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น แล้วได้ไปยังพระวิหารเชตวันเนืองๆ เมื่อใดพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นได้ทราบว่า นางสุนทรีปริพาชิกาคนเห็นกันมากว่าไปยังพระวิหารเชตวันเนืองๆ เมื่อนั้นได้จ้างพวกนักเลงให้ปลงชีวิตนางสุนทรีปริพาชิกานั้นเสีย แล้วหมกไว้ในคูรอบพระวิหารเชตวันนั้นเอง แล้วพากันเข้าไปเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ขอถวายพระพร นางสุนทรีปริพาชิกา อาตมภาพทั้งหลายมิได้เห็น พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสถามว่า พระคุณเจ้าทั้งหลายสงสัยในที่ไหนเล่า.
อัญ. ในพระวิหารเชตวัน ขอถวายพระพร.
ป. ถ้าอย่างนั้น พระคุณเจ้าทั้งหลายจงค้นพระวิหารเชตวัน.
ครั้งนั้น พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นค้นทั่วพระวิหารเชตวันแล้ว ขุดศพนางสุนทรีปริพาชิกาตามที่ตนสั่งให้หมกไว้ขึ้นจากคู ยกขึ้นสู่เตียง แล้วให้นำไปสู่พระนครสาวัตถี เดินทางจากถนนนี้ไปถนนโน้น จากตรอกนี้ไปตรอกโน้น แล้วให้พวกมนุษย์โพนทะนาว่า เชิญดูกรรมของเหล่าสมณศากยบุตรเถิดนาย สมณศากยบุตรเหล่านี้ไม่มีความละอาย ทุศีล มีธรรมเลวทราม พูดเท็จ ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ก็สมณศากยบุตรเหล่านี้ถึงจักปฏิญาณว่า เป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสม่ำเสมอ ประพฤติพรหมจรรย์ พูดจริง มีศีลมีธรรมอันงาม ความเป็นสมณะของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 451
สมณศากยบุตรเหล่านี้หามีไม่ ความเป็นพรหมของสมณศากยบุตรเหล่านี้หามีไม่ ความเป็นสมณะของสมณศากยบุตรเหล่านี้ฉิบหายเสียแล้ว ความเป็นพรหมของสมณศากยบุตรเหล่านี้ฉิบหายเสียแล้ว ความเป็นสมณะของสมณศากยบุตรเหล่านี้จักมีแต่ไหน ความเป็นพรหมของสมณศากยบุตรเหล่านี้จักมีแต่ไหน สมณศากยบุตรเหล่านี้ปราศจากความเป็นสมณะ สมณศากยบุตรเหล่านี้ปราศจากความเป็นพรหม ก็ไฉนเล่า บุรุษกระทำกิจของบุรุษแล้วจักปลงชีวิตหญิงเสีย.
[๑๐๔] ก็สมัยนั้นแล มนุษย์ทั้งหลายในพระนครสาวัตถี เห็นภิกษุทั้งหลายแล้ว ย่อมด่า ย่อมบริภาษ ขึ้งเคียด เบียดเบียน ด้วยวาจาอันหยาบคาย มิใช่ของสัตบุรุษว่า สมณศากยบุตรเหล่านี้ไม่มีความละอาย... ก็ไฉนเล่า บุรุษกระทำกิจของบุรุษแล้วจะปลงชีวิตหญิงเสีย.
[๑๐๕] ครั้งนั้นแล เวลาเช้า ภิกษุมากด้วยกันครองผ้าอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ครั้นกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ มนุษย์ทั้งหลายในพระนครสาวัตถี เห็นภิกษุทั้งหลายแล้วย่อมด่า... ก็ไฉนเล่า บุรุษกระทำกิจของบุรุษแล้วจักปลงชีวิตหญิงเสีย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เสียงนั้นจักมีอยู่ไม่นาน จักมีอยู่ ๗ วันเท่านั้น ล่วง ๗ วันไปแล้วก็จักหายไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงโต้ตอบมนุษย์ทั้งหลายผู้ที่เห็นภิกษุทั้งหลายแล้ว ด่า บริภาษ ขึ้งเคียด เบียดเบียน ด้วยวาจาอันหยาบคาย มิใช่ของสัตบุรุษ ด้วยคาถานี้ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 452
คนที่พูดไม่จริง หรือคนที่กระทำบาปกรรม แล้วพูดว่า มิได้ทำ ย่อมเข้าถึงนรก คนแม้ทั้งสองพวกนั้น มีกรรมเลวทราม ละไปแล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกันในโลกหน้า.
[๑๐๖] ลำดับนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นเรียนคาถานี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ย่อมโต้ตอบมนุษย์ผู้ที่เห็นภิกษุทั้งหลายแล้วด่า บริภาษ ขึ้งเคียด เบียดเบียนด้วยวาจาอันหยาบคาย มิใช่ของสัตบุรุษ ด้วยคาถานี้ว่า
คนที่พูดไม่จริง หรือคนที่กระทำบาปกรรม แล้วพูดว่า มิได้ทำ ย่อมเข้าถึงนรก คนแม้ทั้งสองพวกนั้น มีกรรมเลวทราม ละไปแล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกันในโลกหน้า.
[๑๐๗] มนุษย์ทั้งหลายพากันดำริว่า สมณศากยบุตรเหล่านี้ไม่ได้ทำความผิด สมณศากยบุตรเหล่านี้ไม่ได้ทำบาป เสียงนั้นมีอยู่ไม่นานนัก ได้มีอยู่ ๗ วันเท่านั้น ล่วง ๗ วันแล้วก็หายไป ครั้งนั้นแล ภิกษุเป็นอันมากพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่เคยมีมาแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระดำรัสนี้ไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เสียงนั่นจักมีอยู่ไม่นาน ล่วง ๗ วันแล้วก็จักหายไป เสียงนั้นหายไปแล้วเพียงนั้น พระเจ้าข้า.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 453
ชนทั้งหลายผู้ไม่สำรวมแล้ว ย่อมทิ่มแทงชนเหล่าอื่นด้วยวาจา เหมือนเหล่าทหารที่เป็นข้าศึกทิ่มแทงกุญชรตัวเข้าสงครามด้วยลูกศรฉะนั้น ภิกษุผู้มีจิตไม่ประทุษร้าย ฟังคำอันหยาบคายที่ชนทั้งหลายเปล่งขึ้นแล้ว พึงอดกลั้น.
จบสุนทรีสูตรที่ ๘
อรรถกถาสุนทรีสูตร
สุนทรีสูตรที่ ๘ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
อรรถแห่งบทมีอาทิว่า สกฺกโต ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.
บทว่า อสหมานา แปลว่า อดทนไม่ได้. อธิบายว่า ขึ้งเคียด (ริษยา). เชื่อมความว่า ไม่อดทนสักการะของภิกษุสงฆ์.
บทว่า สุนฺทรี เป็นชื่อของนาง.
ได้ยินว่า ในเวลานั้น บรรดานางปริพาชิกาทั้งหมด นางเป็นผู้มีรูปงาม น่าชม น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยสีกายงามอย่างยิ่ง เหตุนั้นนั่นแล นางจึงปรากฏว่า สุนทรี. ก็นางยังไม่ผ่านวัยสาวไป ไม่สนใจในด้านความประพฤติ. เพราะเหตุนั้น อัญญเดียรถีย์เหล่านั้นจึงส่งเสริมนางไปในบาปกรรม. จริงอยู่ อัญญเดียรถีย์เหล่านั้น เสื่อมลาภสักการะไปเอง จำเดิมแต่เวลาที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น เห็นลาภและสักการะมากหาประมาณมิได้เป็นไปอยู่แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ โดยนัยที่มาแล้วในอรรถกถาอักโกสสูตรในหนหลัง จึงพากันริษยา ร่วมปรึกษากันว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 454
จำเดิมแต่กาลที่พระสมณโคดมอุบัติแล้ว พวกเราพากันฉิบหาย เสื่อมลาภสักการะ ใครๆ ไม่รู้ว่าพวกเรามีอยู่ เพราะอาศัยเหตุอะไรหนอ ชาวโลกจึงพากันเลื่อมใสยิ่งนักในพระสมณโคดม จึงน้อมนำสักการะเข้าไปถวายเป็นอันมาก. ในบรรดาอัญญเดียรถีย์เหล่านั้น คนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า พระสมณโคดมประสูติแต่ตระกูลสูง ทรงประสูติตามประเพณีของมหาสมมติราชอันไม่เจือปน. อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ในกำเนิดแห่งตระกูลวงศ์ พระองค์มีเหตุน่าอัศจรรย์ปรากฏมากมาย. คนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า เท้าทั้ง ๒ ของพระองค์ ผู้ที่น้อมนำเข้าไปไหว้กาฬเทวิลดาบส เปลี่ยนกลับไปตั้งที่ชฎาของเทวิลดาบสนั้น. อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า ในมงคลกาลที่หว่านพืช เมื่อพระองค์ทรงบรรทมที่เงาแห่งต้นหว้า แม้เมื่อเที่ยงวันล่วงไปแล้ว เงาแห่งต้นหว้าคงตั้งอยู่ไม่เปลี่ยนไปตาม. คนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า พระองค์มีรูปงาม น่าชม น่าเลื่อมใส เพราะสมบูรณ์ด้วยพระโฉม. อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า พระองค์ทอดพระเนตรเห็นนิมิต คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิต ทรงเกิดความสังเวช ทรงละจักรพรรดิราชอันจะมาถึง แล้วทรงบรรพชา. พวกอัญญเดียรถีย์ไม่รู้บุญสมภารของพระผู้มีพระภาคเจ้าอันไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น ซึ่งพระองค์เคยสั่งสมมาตลอดกาลหาประมาณมิได้ สัลเลขปฏิปทาอันหาที่เปรียบมิได้ ถึงซึ่งความเป็นผู้มีพระบารมีอันสูงสุด และพุทธานุภาพ มีญาณสัมปทาและปหานสัมปทาเป็นต้นอันยอดเยี่ยม จึงระบุถึงเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่นับถือมากนั้นๆ ตามที่ตนได้เห็น ได้ยินมา จึงแสวงหาเหตุที่พระองค์จะไม่เป็นที่นับถือ เมื่อไม่พบจึงคิดว่า เพราะเหตุอะไรหนอ พวกเราจะพึงทำความเสื่อมยศให้เกิดและทำลาภสักการะของพระสมณโคดมให้เสื่อมเสีย. บรรดาอัญญเดียรถีย์เหล่านั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 455
คนหนึ่งมีความคิดเฉียบแหลม เอ่ยขึ้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ธรรมดาว่า สัตว์ทั้งหลายผู้จะไม่ข้องอยู่ในความสุขอันเกิดแต่มาตุคาม ย่อมไม่มีในสัตวโลกนี้ ก็พระสมณโคดมนี้มีรูปงาม เปรียบด้วยเทพ ยังหนุ่มแน่น ควรจะได้มาตุคามที่มีรูปร่างเสมอตนมาแนบชิด ถ้าแม้นไม่พึงพิสมัย ฝ่ายประชาชนก็จะพึงระแวง เอาเถอะ พวกเราจะส่งสุนทรีปริพาชิกาไป โดยประการที่ความเสียชื่อเสียงของพระสมณโคดมจึงแผ่กระจายไปในพื้นปฐพี.
ฝ่ายอัญญเดียรถีย์นอกนี้ ได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า เรื่องนี้ท่านคิดถูกต้องแล้ว ก็เมื่อเราทำอย่างนี้แล้ว พระสมณโคดมก็จะมีพระหทัยวุ่นวายไปด้วยความเสียชื่อเสียง ไม่อาจจะเงยศีรษะขึ้นได้ ก็จักหนีไปโดยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้แล้ว จึงมีอัธยาศัยเป็นอันเดียวกันทั้งหมด พากันไปหานางสุนทรีเพื่อจะส่งเธอไป. นางเห็นอัญญเดียรถีย์เหล่านั้น จึงกล่าวว่า ทำไมพวกท่านจึงพร้อมหน้าพร้อมตากันมา. พวกเดียรถีย์ทั้งหลายทำที่ไม่พูดกัน นั่งในที่กำบังท้ายอาราม. นางก็ไปในที่นั้นพูดแล้วพูดเล่า ก็ไม่ได้รับคำตอบ จึงถามว่า ดิฉันมีความผิดอะไรต่อท่าน ทำไมจึงไม่ให้คำตอบแก่ฉัน? พวกเดียรถีย์ย้อนถามว่า ก็เจ้าเพิกเฉยเราผู้ถูกเบียดเบียนหรือเปล่า? นางถามว่า ใครเบียดเบียนพวกท่าน. พวกเดียรถีย์ตอบว่า พระสมณโคดมเบียดเบียนพวกเรา เที่ยวทำเราให้เสื่อมลาภสักการะ เจ้าไม่เห็นหรือ เมื่อนางถามว่า ดิฉันจะทำอย่างไรในข้อนั้น จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงไปที่ใกล้พระเชตวันเนืองๆ พึงพูดอย่างนี้และอย่างนี้แก่มหาชน. ฝ่ายนางรับว่า ดีละ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 456
อัญญเดียรถีย์ปริพาชิกา อดกลั้นสักการะของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ ดังนี้ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุสฺสหสิ แปลว่า ย่อมอาจ.
บทว่า อตฺถํ ได้แก่ ประโยชน์เกื้อกูล หรือกิจ.
บทว่า กฺยาหํ ตัดเป็น กึ อหํ แปลว่า เราจะทำอย่างไร? เ
พราะเหตุที่เดียรถีย์เหล่านั้น แม้ไม่ใช่เป็นญาติของนาง แต่ก็เป็นเหมือนญาติ เพื่อจะสงเคราะห์นาง ด้วยเหตุเพียงสัมพันธ์กันในทางบวช จึงกล่าวว่า น้องหญิง เธออาจเพื่อจะทำประโยชน์แก่พวกญาติได้หรือ. เพราะฉะนั้น แม้นางก็ยังเกี่ยวข้องอยู่ เหมือนเถาวัลย์พันที่เท้า จึงกล่าวว่า แม้ชีวิตของดิฉันก็สละได้เพื่อประโยชน์แก่พวกญาติ.
บทว่า เตนหิ ความว่า พวกเดียรถีย์กล่าวว่า เพราะเหตุที่เจ้ากล่าวว่า แม้ชีวิตของเราก็สละได้เพื่อประโยชน์แก่พวกท่าน และเจ้าก็ตั้งอยู่ในปฐมวัย มีรูปงามเลอโฉม ฉะนั้น เจ้าพึงทำประการที่พระสมณโคดมจักเกิดความเสียชื่อเสียง เพราะอาศัยเธอ ดังนี้แล้ว จึงส่งไปด้วยคำว่า จงไปยังพระเชตวันเนืองๆ. ฝ่ายนางแลเป็นคนโง่ เป็นเหมือนประสงค์จะเล่นเชือกที่ร้อยดอกไม้ที่คลองแห่งฟันเลื่อย เหมือนจับงวงช้างดุตัวซับมัน และเหมือนยื่นหน้าเข้าไปหาความตาย จึงรับคำของพวกเดียรถีย์ แล้วถือเอาดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ หมากพลู และเครื่องอบหน้าเป็นต้น ในเวลาที่มหาชนฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา แล้วเข้าไปสู่พระนคร นางบ่ายหน้าไปยังพระเชตวัน และถูกถามว่า เธอจะไปไหน? จึงตอบว่า ไปสำนักพระสมณโคดม เพราะดิฉันอยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดมนั้น ดังนี้แล้ว จึงอยู่ในอารามของเดียรถีย์แห่งหนึ่ง พอเช้าตรู่ก็แวะเข้าทางพระเชตวัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 457
มุ่งหน้ามาพระนคร และถูกถามว่า สุนทรีไปไหนมา จึงตอบว่า ฉันอยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดม ให้ท่านรื่นรมย์ยินดีด้วยกิเลสแล้วจึงมา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นางสุนทรีปริพาชิกา รับคำของอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นว่า อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า แล้วได้ไปยังเชตวันเนืองๆ .
โดยล่วงไป ๒ - ๓ วัน พวกเดียรถีย์จึงให้ค่าจ้างแก่พวกนักเลง แล้วกล่าวว่า พวกท่านจงไปฆ่านางสุนทรี แล้วหมกไว้ในระหว่างกองหยากเยื่อ ไม่ไกลพระคันธกุฎีของพระสมณโคดม แล้วจงมา. พวกนักเลงก็ได้ทำอย่างนั้น. ลำดับนั้น พวกเดียรถีย์ทำความวุ่นวายว่า ไม่เห็นนางสุนทรี จึงกราบทูลแก่พระราชา พระราชาตรัสถามว่า พวกท่านสงสัยในที่ไหนเล่า จึงกราบทูลว่า หลายวันมานี้ นางยังอยู่ในพระเชตวัน พวกข้าพระองค์ไม่ทราบเรื่องของนางในที่นั้น พระราชาตรัสอนุญาตว่า ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงไปค้นหานางที่พระเชตวันนั้น จึงพาพวกอุปัฏฐากของตนไปยังพระเชตวัน ทำทีเหมือนค้นหา คุ้ยกองหยากเยื่อ แล้วยกร่างของนางขึ้นสู่เตียงให้เข้าไปยังพระนคร แล้วกราบทูลแด่พระราชาว่า พวกสาวกของพระสมณโคดมคิดจักปกปิดกรรมชั่วที่ศาสดาตัวทำ จึงพากันฆ่านางสุนทรี แล้วหมกไว้ระหว่างกองหยากเยื่อ. ฝ่ายพระราชาไม่ทันทรงใคร่ครวญ จึงรับสั่งว่า ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงเที่ยวไปยังพระนคร. พวกเดียรถีย์เหล่านั้นเที่ยวกล่าวในถนนทั่วพระนครมีอาทิว่า ท่านทั้งหลาย จงดูความชั่วของพวกสมณศากยบุตรเถิด แล้วก็ได้ไปยังประตูพระราชนิเวศน์อีก. พระราชารับสั่งให้ยกร่างของนางสุนทรีขึ้นสู่แม่แคร่ แล้วให้รักษาไว้ในสุสานผีดิบ. ชาวเมืองสาวัตถีโดยมาก เว้นพระอริยสาวกเสีย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 458
กล่าวคำมีอาทิว่า พวกท่านจงดูความชั่วของสมณศากยบุตรเถิด ดังนี้แล้ว เที่ยวด่าพวกภิกษุทั้งในเมืองและนอกเมือง. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เมื่อใดพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นรู้ว่า นางสุนทรที่มหาชนเห็นกันมาก เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อญฺึสุ แปลว่า รู้แล้ว.
บทว่า โว ทิฏฺา แปลว่า เห็นโดยพิเศษ อธิบายว่า นางไปๆ มาๆ ยังพระเชตวัน ที่เห็นกันโดยพิเศษ คือ เห็นกันมาก.
บทว่า ปริกฺขากูเป ได้แก่ คูยาว.
บทว่า ยา สา มหาราช สุนฺทรี ความว่า มหาบพิตร นางสุนทรีปริพาชิกาที่ปรากฏ คือ ปรากฏชัดว่าสุนทรี เพราะเธอมีรูปงามในเมืองนี้.
บทว่า สา โน น ทิสฺสติ ความว่า นางเป็นที่รักเหมือนดวงตาและชีวิตของข้าพระองค์ บัดนี้ไม่ปรากฏ.
บทว่า ยถานิกฺขิตฺตํ ความว่า ตามที่ตนสั่งบังคับพวกบุรุษให้เก็บไว้ในภายในกองหยากเยื่อ. บาลีว่า ยถานิขาตํ ตามที่ฝั่งไว้ ดังนี้ก็มี อธิบายว่า มีประการที่ฝังไว้ในดิน.
บทว่า รถิยาย รถิยํ แปลว่า จากถนนนี้ไปยังถนนโน้น. ก็ตรอกที่ทะลุตลอด เรียกว่า รถิยํ. ตรอกสามแยก ชื่อว่า สิงฺฆาฏกํ.
บทว่า อลชฺชิโน แปลว่า ผู้ไม่ละอาย อธิบายว่า เว้นจากการรังเกียจบาป.
บทว่า ทุสฺสีลา แปลว่า ผู้ไม่มีศีล.
บทว่า ปาปธมฺมา ได้แก่ มีสภาวะลามก คือ มีความประพฤติเลว. บทว่า มุสาวาทิโน ได้แก่ เป็นผู้ทุศีล ชื่อว่าเป็นผู้พูดมุสา เพราะมักพูดแต่คำเหลาะแหละว่า เราเป็นผู้มีศีล.
บทว่า อพฺรหฺมจาริโน ได้แก่ ชื่อว่าผู้ประพฤติไม่ประเสริฐ เพราะมักส้องเสพเมถุน. พวกเดียรถีย์กล่าวดูหมิ่นว่า พวกนี้แหละ.
บทว่า ธมฺมจาริโน ได้แก่ ผู้ประพฤติกุศลธรรม.
บทว่า สมจาริโน ได้แก่ ประพฤติสม่ำเสมอเสมอในกายกรรม เป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 459
บทว่า กลฺยาณธมฺมา ได้แก่ ผู้มีสภาวะอันงดงาม. เชื่อมความว่า ชื่อว่าจักรู้เฉพาะ.
ก็คำว่า ปฏิชานิสฺสนฺติ ในพระบาลีนี้ เป็นคำบ่งถึงอนาคตกาล เพราะประกอบด้วยนามศัพท์.
ความเป็นสมณะ ชื่อว่าสามัญญะ ได้แก่ ความเป็นผู้สงบบาป. ความเป็นผู้มีธรรมอันประเสริฐ ชื่อว่าพรหมัญญะ ได้แก่ ความเป็นผู้ลอยบาป.
บทว่า กุโต แปลว่า ด้วยเหตุอะไร.
บทว่า อปคตา แปลว่า ไปปราศแล้ว คือ พลัดตกแล้ว. ด้วยคำว่า ปุริสกิจฺจํ ท่านอาจารย์กล่าวหมายถึงการเสพเมถุน.
ลำดับนั้น พวกภิกษุกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น แม้พวกเธอก็จงโต้ตอบมนุษย์เหล่านั้นด้วยคาถานี้ จึงตรัสคาถาว่า อภูตวาที เป็นต้น ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า ครั้งนั้นแล ภิกษุเป็นอันมาก ฯลฯ มีกรรมอันเลว เกิดเป็นมนุษย์ในภพหน้า เป็นต้น.
พระศาสดาทรงทราบความสำเร็จแห่งความเสื่อมยศนั้นด้วยพระสัพพัญญุตญาณ เมื่อจะทรงปลอบโยนภิกษุทั้งหลาย จึงตรัสคำนี้ในพระบาลีนั้นว่า ภิกษุทั้งหลาย เสียงนี้ จักมีไม่นาน.
ในคาถา มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
บทว่า อภูตวาที ได้แก่ ไม่เห็นโทษของผู้อื่นเลย พูดมุสาวาท กล่าวต่อผู้อื่นด้วยคำอันไม่เป็นจริง คือ ไม่แท้.
บทว่า โย วาปิ กตฺวา ความว่า ก็หรือว่าผู้ใดทำกรรมชั่วแล้วพูดว่า เราไม่ได้ทำกรรมชั่วนี้.
บทว่า เปจฺจ สมา ภวนฺติ ความว่า ชนทั้งสองพวกนั้น จากโลกนี้ไปสู่ปรโลก เป็นผู้มีคติเสมอกันด้วยการเข้าถึงนรก. จริงอยู่ คติของชนเหล่านั้นแหละยังกำหนดไว้ แต่อายุกำหนดไม่ได้. เพราะว่าบุคคลทำกรรมชั่วไว้มาก ไหม้ในนรกสิ้นกาลนาน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 460
ทำกรรมชั่วไว้น้อย ก็ไหม้เพียงเวลาเล็กน้อยเท่านั้น. ก็เพราะชนทั้งสองมีกรรมอันลามกนั้นแล ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นิหีนกมฺมา มนุชา ปรตฺถ เป็นต้น. ก็บทว่า ปรตฺถ นี้ เชื่อมกับบทว่า เปจฺจ ข้างหน้า อธิบายว่า คนเป็นผู้มีกรรมอันลามกเหล่านั้น จะไปในโลกหน้า คือ ไปจากโลกนี้ เป็นผู้เสมอกันในโลกหน้า.
บทว่า ปริยาปุณิตฺวา แปลว่า เรียนแล้ว.
บทว่า อการกา แปลว่า ผู้ไม่กระทำความผิด.
บทว่า นยิเมหิ กตํ ความว่า ได้ยินว่า พวกมนุษย์เหล่านั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า พระสมณศากยบุตรเหล่านี้ ไม่ได้ทำกรรมชั่วตามที่พวกอัญญเดียรถีย์เที่ยวโฆษณาไปทั่วพระนครแน่แท้ เพราะอัญญเดียรถีย์พวกนี้ แม้กล่าวตู่ด้วยผรุสวาจาอันมิใช่ของสัตบุรุษอย่างนี้ ก็ไม่แสดงอาการอันแปลกอะไรๆ ทั้งไม่ละขันติและโสรัจจะ เป็นแต่กล่าวสาปตามธรรมอย่างเดียวเท่านั้นว่า ผู้กล่าวคำไม่เป็นจริงย่อมตกนรก สมณศากยบุตรเหล่านี้ กล่าวสาปพวกเราผู้ไม่ใคร่ครวญแล้วกล่าวตู่ พูดเหมือนให้การสาปแช่ง. อีกอย่างหนึ่ง พูดสาปว่า แม้หรือว่าผู้ใดทำ แต่กล่าวว่าไม่ทำ อธิบายว่า สมณะเหล่านี้กระทำสบถแก่พวกเรา เพื่อให้รู้ว่าตนไม่ได้ทำ. ก็ความยินดีหยั่งลงด้วยพุทธานุภาพในลำดับพร้อมด้วยการฟังพระคาถาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่พวกมนุษย์เหล่านั้น. ความสังเวชเกิดขึ้นแล้วว่า เรื่องนี้พวกเรามิได้เห็นโดยประจักษ์ ธรรมดาเรื่องที่ได้ยินแล้ว ย่อมเป็นอย่างนั้นบ้าง ย่อมเป็นอย่างอื่นบ้าง จริงอยู่ อัญญเดียรถีย์เหล่านั้นปรารถนาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่พระสมณเหล่านี้ เพราะฉะนั้น พวกเราไม่พึงพูดเรื่องนี้โดยเชื่อพวกเขา เพราะว่าพระสมณะทั้งหลายรู้ได้ยาก. จำเดิมแต่นั้น พวกมนุษย์ก็งดเว้นจากการโพนทะนานั้นเสีย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 461
ฝ่ายพระราชา จึงสั่งบังคับพวกราชบุรุษเพื่อทราบถึงผู้ที่ฆ่านางสุนทรี. ลำดับนั้นแล พวกนักเลงเหล่านั้น เอากหาปณะเหล่านั้นซื้อสุราดื่ม ก่อการทะเลาะกันและกันขึ้น. ก็บรรดานักเลงเหล่านั้น คนหนึ่งพูดกับคนหนึ่งว่า เองฆ่านางสุนทรีด้วยการตีทีเดียวตาย แล้วหมกไว้ระหว่างกองหยากเยื่อ เอากหาปณะที่ได้จากการรับจ้างนั้นซื้อสุราดื่ม เอาดื่มสิพวก. พวกราชบุรุษได้ยินดังนั้นแล้ว จึงจับพวกนักเลงเหล่านั้น มอบถวายแด่พระราชา. พระราชาตรัสถามพวกนักเลงเหล่านั้นว่า พวกเจ้าฆ่านางสุนทรีหรือ. พวกนักเลงกราบทูลว่า พระเจ้าข้า พระอาญามิพ้นเกล้า พวกข้าพระพุทธเจ้าฆ่าเอง. พระราชาตรัสถามว่า ใครจ้างให้พวกเองฆ่าเขา. พวกนักเลงกราบทูลว่า พวกอัญญเดียรถีย์ พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้เรียกเดียรถีย์มา แล้วจึงให้รับรู้เรื่องนั้น แล้วจึงทรงพระบัญชาว่า พวกเจ้าจงเที่ยวพูดไปทั่วพระนครอย่างนี้ว่า พวกข้าพเจ้ามีความประสงค์จะยกโทษพระสมณโคดม จึงได้ฆ่านางสุนทรีนี้ พระโคดมไม่มีโทษ สาวกของพระโคดมก็ไม่มีโทษเลย พวกข้าพเจ้าเท่านั้นมีโทษ. อัญญเดียรถีย์เหล่านั้น ได้ทำเหมือนอย่างนั้น. มหาชนเชื่อมั่นอย่างแน่นอนแล้ว พากันติเตียนพวกเดียรถีย์. พวกเดียรถีย์ได้รับโทษทัณฑ์เพราะฆ่าคน. จำเดิมแต่นั้นมา พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ได้มีสักการะและสัมมานะมากมายเกินประมาณ. พวกภิกษุเกิดความอัศจรรย์จิต จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีภาคเจ้า แล้วประกาศความปลื้มใจของตนให้ทรงทราบ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู ฯเปฯ อนฺตรหิโต ภนฺเต โส สทฺโท ดังนี้เป็นต้น.
ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสบอกแก่พวกภิกษุว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 462
นี้เป็นการกระทำของพวกเดียรถีย์? เพราะการบอกแก่พระอริยสาวกเสียก่อน ไม่มีประโยชน์เลย. แต่ในหมู่ปุถุชนไม่ตรัสบอกด้วยทรงพระดำริว่า กรรมของพวกที่ไม่เชื่อนั้น พึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน. อีกอย่างหนึ่ง ข้อที่จะบอกเรื่องเช่นนี้ที่ยังไม่มาถึง อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่เคยทรงประพฤติมาเลย. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศฝักฝ่ายแห่งสังกิเลส เฉพาะที่ทรงแสดงมาโดยลำดับ. ก็ใครๆ ไม่อาจจะให้โอกาสที่ตนทำกรรมแล้วหวนกลับคืนมาได้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงประทับนั่งพิจารณาดูการกล่าวตู่ และเหตุแห่งกล่าวตู่นั้นเฉยๆ. สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสไว้ว่า
บุคคลจะอยู่ในอากาศ จะอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร จะเข้าไปสู่ซอกเขาก็ตามที ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วไปได้ เพราะประเทศคือแผ่นดินที่เขาอยู่นั้น บาปกรรมจะตามไม่ทัน ไม่มี.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบโดยประการทั้งปวงถึงเรื่องนี้ว่า แม้เมื่อว่าด้วยอำนาจการตัดเสียซึ่งความรัก คำพูดชั่วที่พาลชนให้เป็นไปแล้ว ชื่อว่าเป็นการอดกลั้นได้ยากสำหรับธีรชนผู้ประกอบด้วยพลังแห่งขันติย่อมไม่มี.
บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้ อันประกาศกำลังแห่งอธิวาสนขันติ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตุทนฺติ วาจาย ชนา อสญฺตา สเรหิ สงฺคามคตํว กุญฺชรํ ความว่า พวกพาลชน ชื่อว่าผู้ไม่สำรวม คือ ผู้ที่แนะนำไม่ได้ เพราะไม่มีสังวรบางอย่าง มีสังวรทางกายเป็นต้น ย่อมแทง คือ ทิ่มแทงด้วยหอกคือวาจา เหมือนทหารที่เป็นข้าศึกทิ่มแทงช้างกุญชร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 463
คือ ช้างเชือกประเสริฐตัวอยู่ในสงคราม คือ ในสนามรบ ด้วยลูกศรที่ซึมซาบ (ด้วยยาพิษ). นี้เป็นสภาวะของพาลชนเหล่านั้น.
บทว่า สุตฺวาน วากฺยํ ผรุสํ อุทีริตํ อธิวาสเย ภิกฺขุ อทุฏฺจิตฺโต ความว่า ก็ภิกษุสะสางพากย์ คือ คำหยาบนั้น ที่พาลชนเหล่านั้นเปล่ง คือ กล่าว ได้แก่ ให้เป็นไปด้วยอำนาจกระทบกระทั่งความรักอันไม่เป็นจริง โดยความเป็นจริง ระลึกถึงโอวาทที่เปรียบด้วยเลื่อยของเราตถาคต เป็นผู้มีจิตไม่ประทุษร้ายแม้น้อยหนึ่ง เป็นผู้มีปกติเห็นภัยในสงสารว่า นี้มีสงสารเป็นสภาวะ พึงอดกลั้น คือ พึงตั้งอยู่ในอธิวาสนขันติอดทน.
ในข้อนี้มีผู้ท้วงว่า ข้อที่พระศาสดามีบุญสมภารอันไพบูลย์ที่พระองค์สั่งสมมา โดยเคารพตลอดกาลหาประมาณมิได้ ทรงได้รับการกล่าวตู่ที่ไม่เป็นจริงที่ร้ายแรงถึงอย่างนี้ นั่นเป็นกรรมอะไร? ข้าพเจ้าจะเฉลยดังต่อไปนี้ :-
พระผู้มีพระภาคเจ้านี้นั้น เคยเป็นพระโพธิสัตว์ ในอดีตชาติเป็นนักเลง ชื่อว่า มุนาลิ เที่ยวคบแต่คนชั่ว มากไปด้วยอโยนิโสมนสิการ. วันหนึ่ง เขาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า สุรภี กำลังห่มจีวรเพื่อเข้าไปบิณฑบาตยังพระนคร. ก็ในสมัยนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปไม่ไกลพระปัจเจกพุทธเจ้านัก. นักเลงกล่าวตู่ว่า สมณะนี้ไม่ใช่เป็นพรหมจารี. ด้วยกรรมนั้น เขาจึงไหม้ในนรกหลายแสนปี เพราะเศษแห่งวิบากกรรมนั้นนั่นแล แม้ได้เป็นพระพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็ยังถูกกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทรี. ก็ข้อนี้ฉันใด ทุกข์มีการกล่าวตู่เป็นต้นที่หญิงผู้กระทำอาการอันแปลก มีนางจิญจมาณวิกาเป็นต้น ให้เป็นไปแล้วแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งหมดนั้น เป็นเศษวิบากแห่งกรรมที่พระองค์ทรงกระทำไว้ในปางก่อน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 464
ซึ่งเรียกว่า กรรมปิโลติกะ. สมดังพระดำรัสที่ตรัสไว้ในอปทานว่า (๑)
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประทับนั่งอยู่ที่พื้นศิลาอันน่ารื่นรมย์ รุ่งโรจน์ด้วยรัตนะต่างๆ ในละแวกป่า อันตลบด้วยกลิ่นหอมนานาชนิด ใกล้สระอโนดาต ทรงพยากรณ์บุรพกรรมของพระองค์ในที่นั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่เราทำแล้ว เราเห็นภิกษุผู้มีปกติอยู่ป่ารูปหนึ่ง ได้ถวายผ้าเก่า เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในครั้งนั้น ผลแห่งกรรม คือ การถวายผ้าเก่า อำนวยผลให้เป็นพระพุทธเจ้า ในกาลก่อน เราเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่น จึงห้ามมัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ เรากระหายน้ำก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา ในชาติหนึ่งในกาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อมุนาลิ (๒) ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า สุรภี ผู้ไม่ประทุษร้าย ด้วยวิบากกรรมนั้น เราจึงเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี ด้วยเศษกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ เราจึงได้รับคำกล่าวตู่ เพราะนางสุนทรีเป็นเหตุ
(๑) ขุ. อป. ๓๒/๔๗๑
(๒) บาลี เป็น ปุนาลิ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 465
เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่า นันทะ สาวกของพระพุทธเจ้าผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกนานถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้รับการกล่าวตู่มากมาย ด้วยเศษกรรมนั้น นางจิญจมาณวิกา มากับหมู่คนกล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริง เมื่อก่อน เราเป็นพราหมณ์ชื่อว่าสุตวา มหาชนพากันสักการะ บูชา สอนมนต์ให้กับมาณพ ๕๐๐ คน ในป่าใหญ่ ก็เราได้เห็นฤาษีผู้น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มาในสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษีผู้ไม่ประทุษร้าย โดยบอกกับพวกศิษย์ของเราว่า ฤาษีนี้บริโภคกาม ครั้นเราบอก พวกมาณพก็เห็นด้วย ลำดับนั้น มาณพทั้งหมดเที่ยวภิกษาไปตามตระกูล พากันบอกแก่มหาชนว่า ฤาษีนี้บริโภคกาม ด้วยวิบากกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ได้รับคำกล่าวตู่ทั้งหมดเพราะนางสุนทรีเป็นเหตุ ในกาลก่อน เราได้ฆ่าพี่-น้องชายต่างมารดากัน เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับโยนลงในซอกเขา แล้วเอาหินทับถม ด้วยวิบากกรรมนั้น พระเทวทัตจึงกลิ้งหิน สะเก็ดหินจึงกลิ้งมากระทบนิ้วหัวแม่เท้าเรา ในกาลก่อน เราเป็นเด็ก เล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วจุดไฟเผา ดักไว้ทั่วหนทาง ด้วยวิบากกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 466
พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนูผู้ฆ่าคนเพื่อให้ฆ่าเรา ในกาลก่อน เราเป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างให้จับพระปัจเจกมุนีผู้สูงสุด ทั้งที่กำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ ด้วยวิบากกรรมนั้น ช้างนาฬาคิรีเชือกซับมันดุร้าย วิ่งแล่นเข้าไปในซอกเขาเบื้องหน้าผู้ประเสริฐ ในกาลก่อน เราเป็นพระราชาชาตินักรบ ฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วยหอก เพราะวิบากกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อย่างเหลือทนในนรก ด้วยเศษกรรมนั้น บัดนี้ ไฟนั้นไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทั้งสิ้น เพราะว่ากรรมยังไม่หมดไป ในกาลก่อน เราเป็นเด็กชาวประมงอยู่ในเกวัฏคาม เห็นคนฆ่าปลาแล้วเกิดความดีใจ ด้วยวิบากกรรมนั้น เราจึงปวดศีรษะ เมื่อครั้งพวกเจ้าศากยะถูกเบียดเบียนเพราะถูกเจ้าวิฑูฑภะฆ่า เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลายในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านามว่าปุสสะว่า ท่านจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง อย่ากินข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้ว อยู่ในเมืองเวรัญชา ในคราวนั้น บริโภคข้าวแดงตลอดสามเดือน เมื่อนักมวยกำลังชกกัน เราได้เบียดเบียนบุตรนักมวยปล้ำ ด้วยวิบากกรรมนั้น เราจึงปวดหลัง เมื่อก่อนเราเป็นหมอรักษาโรค ได้ให้เศรษฐีบุตรถ่ายยา ด้วยวิบากกรรมนั้น เราจึงเป็นโรคปักขันทิกาพาธ โรคลงแดง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 467
เราชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่ากัสสปะในคราวนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง ด้วยวิบากกรรมนั้น เราได้กระทำกรรมที่ทำได้ยากเป็นอันมาก ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ๖ พรรษา แต่นั้นจึงได้บรรลุพระโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุพระโพธิญาณด้วยทางนี้ เราอันบุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโดยทางผิด บัดนี้ เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความคับแค้น ดับสนิทหาอาสวะมิได้ พระชินเจ้าทรงบรรลุพลังแห่งอภิญญาทั้งปวง ทรงพยากรณ์โดยหวังประโยชน์แก่ภิกษุสงฆ์ที่สระใหญ่ชื่ออโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถาสุนทรีสูตรที่ ๘