พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๗. กังขาเรวตสูตร ว่าด้วยผู้มากด้วยความสงสัย

 
บ้านธัมมะ
วันที่  8 ส.ค. 2564
หมายเลข  35328
อ่าน  482

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 563

๗. กังขาเรวตสูตร

ว่าด้วยผู้มากด้วยความสงสัย


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 563

๗. กังขาเรวตสูตร

ว่าด้วยผู้มากด้วยความสงสัย

[๑๒๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระกังขาเรวตะนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง พิจารณากังขาวิตรณวิสุทธิของตนอยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นท่านพระกังขาเรวตะผู้นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง พิจารณากังขาวิตรณวิสุทธิของตนอยู่ในที่ไม่ไกล.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 564

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานในเวลานั้นว่า

ความสงสัยอย่างหนึ่งอย่างใดในอัตภาพนี้ หรือในอัตภาพอื่น ในความรู้ของตน หรือในความรู้ของผู้อื่น บุคคลผู้เพ่งพินิจ มีความเพียร ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ย่อมละความสงสัยเหล่านั้นได้ทั้งหมด.

จบกังขาเรวตสูตรที่ ๗

อรรถกถากังขาเรวตสูตร

กังขาเรวตสูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า เรวโต เป็นชื่อของพระเถระนั้น. จริงอยู่ พระเถระนั้น ได้บรรพชาอุปสมบทในพระศาสนาแล้ว เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมอยู่. แต่เธอเป็นผู้มากไปด้วยความสงสัย กล่าวคือ ความรังเกียจในพระวินัย โดยมีอาทิว่า ถั่วเขียวที่เป็นอกัปปิยะ ย่อมไม่ควรเพื่อจะบริโภค และว่าน้ำอ้อยงบที่เป็นอกัปปิยะ ย่อมไม่ควรเพื่อจะบริโภค. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงปรากฏชื่อว่ากังขาเรวตะ ครั้นภายหลัง ท่านเรียนพระกัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดา เพียรพยายามอยู่ ทำให้แจ้งอภิญญา ๖ ยับยั้งอยู่ด้วยสุขอันเกิดแต่ฌาน และสุขอันเกิดแต่ผลจิต. แต่โดยมาก ท่านพิจารณาอริยมรรคที่ตนบรรลุแล้ว ทำได้หนักแน่น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พิจารณาอยู่ ซึ่งกังขาวิตรณวิสุทธิของตน ดังนี้เป็นต้น.

จริงอยู่ ปัญญาที่สัมปยุตด้วยมรรค ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาว่า กังขาวิตรณวิสุทธิ เพราะข้าม คือ ก้าวล่วงความสงสัยทั้งปวง โดยไม่มีส่วนเหลือ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 565

คือ ความสงสัยมีวัตถุ ๑๖ อันเป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า ตลอดอดีตกาลยาวนาน เราได้มีแล้วหรือหนอ ความสงสัยมีวัตถุ ๘ ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ย่อมสงสัยในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ฯลฯ ย่อมสงสัยในปฏิจจสมุปปันนธรรม จะป่วยกล่าวไปไยถึงความสงสัยนอกนี้เล่า และเพราะความบริสุทธิ์โดยส่วนเดียว จากกิเลสเหล่าอื่นที่ตนพึงละ. ก็ท่านผู้มีอายุนี้ เพราะเหตุที่ท่านมีความสงสัยเป็นปกติมานาน ท่านจึงนั่งพิจารณาอริยมรรคที่ตนบรรลุแล้วนั้นให้หนักแน่นว่า เราละความสงสัยเหล่านี้ได้เด็ดขาด เพราะอาศัยมรรคธรรมนี้ ไม่ใช่นั่งพิจารณาเห็นนามรูปพร้อมด้วยปัจจัย เพราะการข้ามความสงสัยเสียได้นั้น มีความไม่เที่ยงเป็นที่สุด.

บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบอรรถนี้ คือ การข้ามความสงสัยแห่งอริยมรรคได้เด็ดขาด แล้วจึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงถึงความนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยากาจิ กงฺขา อิธ วา หุรํ วา ความว่า ความสงสัยในอัตภาพนี้ คือ อัตภาพที่เป็นปัจจุบันนี้ที่เกิดขึ้น โดยนัยมีอาทิว่า เราย่อมเป็นหรือหนอ หรือว่าเราไม่เป็นหนอ หรือในอัตภาพอื่น คือ ในอัตภาพที่เป็นอดีตและอนาคตที่เกิดขึ้น โดยนัยมีอาทิว่า ตลอดอดีตกาลยาวนาน เราได้มีแล้วหรือหนอ.

บทว่า สกเวทิยา วา ปรเวทิยา วา ความว่า ความสงสัยนั้น คือ ความเคลือบแคลงอย่างใดอย่างหนึ่ง ในความรู้ของตนที่จะพึงได้ คือ ที่เป็นไปโดยเป็นอารมณ์ในอัตภาพของตนอย่างนี้ คือ โดยนัยดังกล่าวแล้ว หรือในความรู้ของผู้อื่นที่จะพึงได้ในอัตภาพของผู้อื่น คือ ที่จะพึงได้ ได้แก่ ที่เป็นไปในอัตภาพอันสูงสุด โดย

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 566

นัยมีอาทิว่า เป็นพระพุทธเจ้าหรือหนอ หรือว่าไม่เป็นหนอ.

บทว่า ฌายิโน ตา ปชหนฺติ สพฺพา อาตาปิโน พฺรหฺมจริยํ จรนฺตา ความว่า คนเหล่าใดชื่อว่าผู้เพ่งฌาน ด้วยอารัมมณุปนิชฌาน และลักษณุปนิชฌาน เจริญวิปัสสนา ชื่อว่ามีความเพียร เพราะบริบูรณ์ด้วยสัมมัปปธาน ๔ ประพฤติอยู่ คือ ได้รับมรรคพรหมจรรย์ ผู้ตั้งอยู่ในปฐมมรรค ต่างโดยประเภทแห่งสัทธานุสารีบุคคลเป็นต้น ย่อมละ คือ ย่อมตัดขาด ซึ่งความสงสัยทั้งปวงนั้นในขณะแห่งมรรค. ก็ต่อแต่นั้น เป็นอันชื่อว่าคนเหล่านั้นละความสงสัยเหล่านั้นเสียได้. เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายว่า การละความสงสัยเหล่านั้นอื่นจากนี้ได้เด็ดขาด ย่อมไม่มี.

ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงชมเชยการบรรลุอริยมรรคของท่านพระกังขาเรวตะโดยฌานมุข คือ โดยยกฌานขึ้นเป็นประธาน จึงทรงเปล่งอุทานด้วยอำนาจความชมเชย. ก็ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงสถาปนาท่านไว้ในเอตทัคคะโดยความเป็นผู้มีฌานว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุผู้สาวกของเราผู้มีฌาน กังขาเรวตะเป็นเลิศแล.

จบอรรถกถากังขาเรวตสูตรที่ ๗