๗. สุภูติสูตร ว่าด้วยผู้กําจัดวิตกทั้งหลายไม่กลับมาสู่ชาติ
[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 637
๗. สุภูติสูตร
ว่าด้วยผู้กําจัดวิตกทั้งหลายไม่กลับมาสู่ชาติ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 637
๗. สุภูติสูตร
ว่าด้วยผู้กำจัดวิตกทั้งหลายไม่กลับมาสู่ชาติ
[๑๔๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระสุภูตินั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง เข้าสมาธิอันไม่วิตกอยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นท่านพระสุภูติ นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง เข้าสมาธิอันไม่มีวิตกอยู่ในที่ไม่ไกล.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ผู้ใดกำจัดวิตกทั้งหลายได้แล้ว กำหนดดีแล้ว ไม่มีส่วนเหลือในภายใน ผู้นั้นล่วงกิเลสเครื่องข้องได้แล้ว มีความสำคัญนิพพานอันเป็นอรูป ล่วงโยคะ ๔ ได้แล้ว ย่อมไม่กลับมาสู่ชาติ.
จบสุภูมิสูตรที่ ๗
อรรถกถาสุภูติสูตร
สุภูติสูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สุภูติ เป็นชื่อของพระเถระนั้น. จริงอยู่ ท่านผู้มีอายุนั้น ได้สร้างอภินิหารไว้ที่บาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระ ก่อสร้างบุญสมภารไว้ตลอดแสนกัป ในพุทธุปบาทกาลนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 638
เกิดในตระกูลใหญ่มีสมบัติมาก ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเกิดธรรมสังเวช ออกจากเรือนบวช เพราะได้สร้างบุญญาธิการไว้ เพียรพยายามอยู่ ไม่นานนักก็ได้อภิญญา ๖ แต่เพราะถึงบารมีสูงสุดแห่งพรหมวิหารภาวนา พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงสถาปนาไว้ในเอตทัคคะในทางอยู่อย่างไม่มีกิเลสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุผู้สาวกของเรา ผู้อยู่ในทางหากิเลสมิได้ สุภูติเป็นเอตทัคคะ. วันหนึ่ง เวลาเย็น ท่านจากที่พักกลางวันหยั่งลงสู่ลานวิหาร เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังทรงแสดงธรรมในท่ามกลางบริษัท ๔ กำหนดเวลาว่า เวลาจบเทศนา เราจะลุกไปถวายบังคม จึงนั่งเข้าผลสมาบัติ ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็สมัยนั้นแล ท่านสุภูติ ฯลฯ เข้าผลสมาบัติ.
ในการเข้าสมาบัตินั้น เริ่มตั้งแต่ทุติยฌานไป รูปาวจรสมาธิก็ดี อรูปาวจรสมาธิทั้งหมดก็ดี ก็คืออวิตักกสมาธินั่นเอง. แต่ในที่นี้ อรหัตตผลสมาธิที่มีจตุตถฌานเป็นบาท ท่านประสงค์เอาว่า อวิตักกสมาธิ. มิจฉาวิตกที่ทุติยฌานเป็นต้นละแล้ว จัดว่ายังละไม่ดีก่อน เพราะไม่มีการละอย่างเด็ดขาด ส่วนที่พระอริยมรรคละนั่นแหละ จัดว่าละด้วยดี เพราะไม่มีกิจที่จะละต่อไป. เพราะฉะนั้น อรหัตตผลสมาธิอันเป็นที่สุดแห่งอรหัตตมรรค เพราะเกิดขึ้นในที่สุดแห่งการละมิจฉาวิตกทั้งสิ้น เมื่อว่าโดยพิเศษจึงควรกล่าวไว้ว่า อวิตักกสมาธิ จะป่วยกล่าวไปไยถึงการมีจตุตถฌานเป็นบาทเล่า เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็ในที่นี้ อรหัตตผลสมาธิที่มีจตุตถฌานเป็นบาท ท่านประสงค์เอาว่าอวิตักกสมาธิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 639
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงรู้โดยอาการทั้งปวงถึงอรรถนี้ กล่าวคือ การที่ท่านสุภูติละกิเลสคือมิจฉาวิตกทั้งหมดได้ จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส วิตกฺกา วิธูปิตา ความว่า พระอริยบุคคลใดกำจัดมิจฉาวิตกแม้ทั้งหมดมีกามวิตกเป็นต้น คือ ทำให้สงบ ได้แก่ ตัดขาดด้วยอริยมรรคญาณ.
บทว่า อชฺฌตฺตํ สุวิกปฺปิตา อเสสา ความว่า กำหนดไว้ดี คือ กำหนดด้วยดีโดยไม่เหลือ อันควรเกิดขึ้นในสันดานตน กล่าวคือ ภายในตน อธิบายว่า ตัดขาดด้วยดี โดยไม่เหลือแม้อะไรๆ ไว้.
บทว่า ตํ ในบทว่า ตํ สงฺคมติจฺจ อรูปสญฺี นี้ เป็น เพียงนิบาต. อีกอย่างหนึ่ง ตํ ศัพท์ มีเหตุเป็นอรรถ. ก็เพราะเหตุที่พระอริยบุคคลตัดมิจฉาวิตกได้เด็ดขาด ฉะนั้น พระอริยบุคคลนั้นจึงชื่อว่า มีความสำคัญในอรูป ด้วยมรรคสัญญาและผลสัญญาอันเป็นไปโดยกระทำพระนิพพานอันได้นามว่า อรูป ให้เป็นอารมณ์ เพราะไม่มีสภาวะแห่งรูป และไม่มีวิการคือความแปรผันในพระนิพพานนั้น หรือเพราะไม่มีเหตุแห่งความพิการ เหตุที่ล่วงเลยพ้นเครื่องข้อง ๕ อย่าง มีเครื่องข้อง คือ ราคะ เป็นต้น หรือเครื่องข้อง คือ กิเลสแม้ทั้งหมด.
บทว่า จตุโยคาติคโต ได้แก่ ก้าวล่วงซึ่งโยคะ ๔ คือ กามโยคะ ภวโยคะ ทิฏฐิโยคะ และอวิชชาโยคะ ด้วยมรรคทั้ง ๔ ตามสมควร. ม อักษรในบทว่า น ชาตุ เมติ นี้ กระทำการเชื่อมบท. ความว่า ย่อมไม่กลับมาเพื่อเกิดในภพใหม่โดยส่วนเดียวแท้ คือ ท่านไม่มีการเกิดในภพใหม่ต่อไป. บางอาจารย์กล่าวว่า น ชาติ เมติ ดังนี้ก็มี ความก็อันนั้นแหละ. ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า