พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๙. อุปาติสูตร ว่าด้วยแมลงบินเข้าไฟ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  8 ส.ค. 2564
หมายเลข  35340
อ่าน  491

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 648

๙. อุปาติสูตร

ว่าด้วยแมลงบินเข้าไฟ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 648

๙. อุปาติสูตร

ว่าด้วยแมลงบินเข้าไป

[๑๔๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 649

พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งในที่แจ้งในความมืดตื้อในราตรี เมื่อประทีปน้ำมันลุกโพลงอยู่ ก็สมัยนั้นแล ตัวแมลงเป็นอันมากตกลงรอบๆ ที่ประทีปน้ำมันเหล่านั้น ย่อมถึงความทุกข์ ความพินาศ ความย่อยยับ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าไค้ทรงเห็นตัวแมลงเป็นอันมากเหล่านั้น ตกลงรอบๆ ที่ประทีปน้ำมันเหล่านั้น ถึงความทุกข์ ความพินาศ ความย่อยยับ.

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

สมณพราหมณ์พวกหนึ่งย่อมแล่นเลยไป ไม่ถึงธรรมอันเป็นสาระ ย่อมพอกพูนเครื่องผูกใหม่ๆ ตั้งมั่นอยู่ในสิ่งที่ตนเห็นแล้วฟัง แล้วอย่างนี้ เหมือนฝูงแมลงตกลงสู่ประทีปน้ำมันฉะนั้น.

จบอุปาติสูตรที่ ๙

อรรถกถาอุปาติสูตร

อุปาติสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า รตฺตนฺธการติมิสายํ ได้แก่ ความมืดมิดโดยการมืดสนิทในราตรี. จริงอยู่ แม้ราตรีในคืนวันเพ็ญสว่างไสวด้วยแสงจันทร์ข้างขึ้น เป็นอันชื่อว่าเว้นจากความมืดมิด. แม้ความมืด ก็ไม่ควรจะกล่าวว่ามืดมิด ในเมื่อกลางวันปราศจากความหมองด้วยหมอกเป็นต้น. จริงอยู่ ความมืดมิด ท่านเรียกว่า ติมิสา. ก็ความมืดนี้ คือ วันดับ กลางคืน ฝนตก และปกคลุมด้วยกลีบเมฆ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บทว่า รตฺตนฺธการติมิสายํ ได้แก่ ความมืดมิด ด้วยความมืดสนิทในราตรี ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 650

บทว่า อพฺโภกาเส ได้แก่ ในโอกาสที่ไม่ปกปิด ได้แก่ ลานวิหาร.

บทว่า เตลปฺปทีเปสุ ฌายมาเนสุ ได้แก่ เมื่อประทีปโชติช่วงด้วยน้ำมัน.

ถามว่า ก็รัศมีด้านละวาของพระผู้มีพระภาคเจ้าตามปกติ แผ่ซ่านไปตลอดที่ประมาณวาหนึ่ง ข่มแสงจันทร์และแสงอาทิตย์ ฉายแสงสว่างของพระพุทธเจ้าที่หนาทึบ ตั้งกำจัดความมืดมิด แม้รัศมีแห่งพระวรกายก็ฉายพุทธรังสีที่หนาทึบ มีพรรณ ๖ ประการ มีสีเขียวและเหลืองเป็นต้นตามปกติทีเดียว ทั้งทำที่มีประมาณ ๘๐ ศอกโดยรอบให้สว่างไสว เมื่อเป็นเช่นนั้น ในโอกาสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง อันมีแสงสว่างเป็นอันเดียวกันกับแสงสว่างของพระพุทธเจ้านั่นแล ไม่จำต้องมีกิจคือการตามประทีปมิใช่หรือ? ตอบว่า ไม่มีก็จริง แม้ถึงอย่างนั้น อุบาสกผู้ต้องการบุญ ก็ต้องการตามประทีปน้ำมันทุกวันๆ เพื่อทำการบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ในสามัญญผลสูตรว่า ประทีปเหล่านั้นย่อมโพลงอยู่ในโรงกลม ดังนี้. แม้คำว่า รตฺตนฺธการติมิสายํ นี้ ท่านกล่าวไว้เพื่อระบุถึงความเป็นจริงของราตรีนั้น แต่หาได้กล่าวโดยโอกาสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเป็นภาวะที่มืดมิดไม่. จริงอยู่ เพื่อจะทำการบูชาเท่านั้น แม้กาลนั้น พวกอุบาสกก็ตามประทีปไว้.

ก็ในวันนั้น อุบาสกชาวเมืองสาวัตถีจำนวนมากชำระร่างกายแต่เช้าตรู่ ไปยังวิหารสมาทานองค์อุโบสถ นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เข้าไปสู่พระนครให้มหาทานเป็นไปแล้ว ส่งเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าและส่งภิกษุสงฆ์กลับแล้ว ไปยังเรือนของตนๆ บริโภคด้วยตนเอง นุ่งห่มผ้าเรียบร้อย มีอุตราสงค์เฉวียงบ่า ต่างถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น พากันไปยังวิหารบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า บางพวกเข้าไป

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 651

หาภิกษุผู้ที่ตนชอบใจและนับถือ บางพวกใส่ใจโดยแยบคายยับยั้งอยู่ตลอดวัน. ครั้นเวลาเย็น อุบาสกเหล่านั้นก็ฟังธรรมในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระศาสดาประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่บรรจงจัดไว้ในกลางแจ้งใกล้พระคันกุฎี ตั้งแต่มณฑปแห่งธรรมสภา และเมื่อภิกษุสงฆ์เข้าไปเฝ้านั่งใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เพื่อจะชำระอุโบสถให้สะอาด และเพื่อจะพอกพูนโยนิโสมนสิการ จึงไม่กลับไปยังพระนคร ประสงค์จะอยู่ในพระวิหารเท่านั้น จึงเหลืออยู่. ครั้งนั้น อุบาสกเหล่านั้น ตามประทีปน้ำมันเป็นอันมาก เพื่อบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ แล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วประคองอัญชลีแด่ภิกษุสงฆ์ นั่ง ณ ส่วนสุดภิกษุสงฆ์ สังสนทนากันว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกเดียรถีย์เหล่านี้กล่าวยึดถือทิฏฐิต่างๆ และเมื่อกล่าวอย่างนั้น บางคราวกล่าวว่า เที่ยง บางคราวกล่าวว่า ไม่เที่ยง ไม่ตั้งอยู่ในทิฏฐิอย่างใดอย่างหนึ่ง มีอุจเฉททิฏฐิเป็นต้น เป็นเสมือนคนบ้า ยกย่องทิฏฐิใหม่ๆ ว่า สิ่งนี้เท่านั้น จริงสิ่งอื่นเปล่า เดียรถีย์เหล่านั้น ผู้ยึดถืออย่างนั้น มีคติเป็นอย่างไร อภิสัมปรายภพของพวกเขาเป็นอย่างไร. ก็สมัยนั้น แมลงเม่าเป็นอันมากเมื่อตกลง ก็ตกลงที่ประทีปน้ำมันเหล่านั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็สมัยนั้นแล แมลงเม่าเป็นอันมากตกลง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อธิปาตกา แปลว่า แมลงเม่า ซึ่งท่านกล่าวว่า สลภา ดังนี้ก็มี. จริงอยู่ แมลงเม่าเหล่านั้น ท่านประสงค์เอาว่า อธิปาตกา เพราะตกลงสู่เปลวประทีป.

บทว่า อาปาตปริปาตํ แยกเป็น อาปาตํ ปริปาตํ อธิบายว่า ตกลงทั่วๆ ตกลงรอบๆ คือ หมุนตกลงตรงหน้าแล แล้วตกลง. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ตกลงรอบๆ ในทางไปมา.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 652

อธิบายว่า ในทางที่มา เมื่อมีประทีปอยู่ในทางมาของตน ก็ตกลงๆ.

บทว่า อนยํ แปลว่า ความไม่เจริญ คือ ความทุกข์.

บทว่า พฺยสนํ แปลว่า ความพินาศ. จริงอยู่ ด้วยบทต้น ท่านแสดงถึงทุกข์ปางตาย ด้วยบทหลัง ท่านแสดงถึงความตายของแมลงเม่าเหล่านั้น. ในแมลงเม่าเหล่านั้น สัตว์บางพวกตายพร้อมกับการตกลง บางพวกก็ถึงทุกข์ปางตาย.

บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบถึงการที่แมลงเม่าทั้งหลายไม่รู้ประโยชน์ตน ถึงความวอดวายไร้ประโยชน์ด้วยความพยายามของตนนี้ จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงถึงความวอดวายของทิฏฐิคติกบุคคล โดยการถือผิดเหมือนแมลงเม่าเหล่านั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปาติธาวนฺติ น สารเมนฺติ ความว่า ไม่ถึงธรรมอันเป็นสาระ ต่างโดย ศีล สมาธิ ปัญญา และวิมุตติ เป็นต้น คือ ไม่ถึงโดยการตรัสรู้สัจจะ ๔. แต่เมื่อธรรมอันเป็นสาระพร้อมทั้งอุบายนั้น ยังดำรงอยู่นั่นแหละ พวกเขาเป็นเสมือนเข้าถึงธรรมอันเป็นสาระนั้น เพราะหวังธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้น ย่อมแล่นไป คือ เลยไป ด้วยทิฏฐิวิปัลลาส อธิบายว่า ยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่า เที่ยง งาม สุข มีตัวตน.

บทว่า นวํ นวํ พนฺธนํ พฺรูหยนฺติ ความว่า ก็เมื่อยึดถืออย่างนั้น ชื่อว่าย่อมพอกพูน คือ ขยายธรรมเป็นเครื่องผูกใหม่ๆ กล่าวคือ ตัณหา และทิฏฐิ.

บทว่า ปตนฺติ ปชฺโชตมิวาธิปาตา ทิฏฺเ สุเต อิติเหเก นิวิฏฺา ความว่า สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง เพราะถูกเครื่องผูกคือตัณหาและทิฏฐิผูกพันไว้อย่างนี้ จึงยึดถือในรูปารมณ์ที่ตนเห็น คือ ในรูปารมณ์ที่ตนเห็นด้วยจักขุวิญญาณของตน หรือด้วยทิฏฐิทัสสนะของตนนั่นแล

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 653

และในสัททารมณ์ที่ตนได้ยินมา ด้วยเหตุเพียงได้ยินได้ฟังมาเท่านั้นว่า เพราะ เหตุนั้นแล สิ่งนี้ย่อมเป็นอย่างนี้โดยแน่นอน ยึดถือโดยนัยมีอาทิว่า สิ่งทั้งปวงเที่ยงด้วยการยึดถือผิดๆ หรือเมื่อไม่รู้ธรรมเป็นเหตุสลัดออกที่เป็นประโยชน์โดยส่วนเดียว ย่อมตกไปในหลุมถ่านเพลิงถ่ายเดียว กล่าวคือ ภพ ๓ ที่ไฟ ๑๑ กองมีราคะเป็นต้นลุกโชนแล้ว เหมือนแมลงเม่าเหล่านี้ตกไปสู่เปลวเพลิงนี้ฉะนั้น อธิบายว่า เขาไม่อาจจะเงยศีรษะขึ้นได้ จากหลุมถ่านเพลิงนั้น.

จบอรรถกถาอุปาติสูตรที่ ๙