๓. ตติยนิพพานสูตร ว่าด้วยพระนิพพานธรรมชาติปรุงแต่งไม่ได้
[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 722
๓. ตติยนิพพานสูตร
ว่าด้วยพระนิพพานธรรมชาติปรุงแต่งไม่ได้
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 722
๓. ตติยนิพพานสูตร
ว่าด้วยพระนิพพานธรรมชาติปรุงแต่งไม่ได้
[๑๖๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง... เงี่ยโสตลงสดับธรรม ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 723
ออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่แล้ว จึงปรากฏ.
จบตติยนิพพานสูตรที่ ๓
อรรถกถาตติยนิพพานสูตร
ตติยนิพพานสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อถ โข ภควา เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ได้ยินว่า ในกาลนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศโทษในสงสารโดยเอนกปริยายแล้ว ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอันเกี่ยวด้วยพระนิพพาน โดยการแสดงเทียบเคียงเป็นต้นแล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศสงสารนี้พร้อมด้วยเหตุมีอวิชชาเป็นต้น อันชื่อว่าสเหตุกะ แต่ไม่ตรัสถึงเหตุอะไรๆ แห่งพระนิพพานซึ่งเป็นเหตุสงบสงสารนั้น พระนิพพานนี้นั้นจัดเป็นอเหตุกะ อเหตุกะนั้นจะเกิดได้เพราะอรรถว่า มีการกระทำให้แจ้ง และมีอรรถเป็นอย่างไร. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอรรถนี้ตามที่กล่าวแล้วของภิกษุเหล่านั้น.
บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า พระองค์ทรงเปล่งอุทานนี้ อันเป็นเหตุประกาศอมตมหานิพพานอันมีอยู่โดยปรมัตถ์ เพื่อกำจัดความสงสัยของภิกษุเหล่านั้น และเพื่อหักรานมิจฉาวาทะของสมณพราหมณ์ในโลกนี้ผู้ปฏิบัติผิด ผู้มีทิฏฐิคติหนาแน่นในภายนอกทีเดียว เหมือนบุคคลผู้ยึดโลกเป็นใหญ่ว่า คำว่า นิพพาน นิพพาน เป็นเพียงแต่เรื่อง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 724
พูดกันเท่านั้น แต่ความจริงเมื่อว่าโดยปรมัตถ์ ชื่อว่าพระนิพพาน ย่อมไม่มี เพราะมีการไม่เกิดเป็นสภาวะ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ ทั้งหมดเป็นไวพจน์ของกันและกัน. อีกอย่างหนึ่ง พระนิพพาน ชื่อว่าอชาตะ เพราะไม่เกิด คือ ไม่บังเกิด เพราะความพรั่งพร้อมแห่งเหตุคือการประชุมแห่งเหตุและปัจจัยเหมือนเวทนาเป็นเป็นต้น ชื่อว่าอภูตะ เพราะเว้นจากเหตุและตนเองเสีย ย่อมไม่มี คือ ไม่ปรากฏ ได้แก่ ไม่เกิด ชื่อว่าอกตะ เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งไม่สร้างขึ้น เพราะไม่เกิดและเพราะไม่มีอย่างนี้.
อนึ่ง เพื่อจะแสดงว่าสังขตธรรมมีนามรูปเป็นต้น มีการเกิด การมี การสร้างขึ้นเป็นสภาวะ พระนิพพานซึ่งมีอสังขตธรรมเป็นสภาวะ หาเป็นเช่นนั้นไม่ จึงตรัสว่า อสงฺขตํ ดังนี้. อนึ่ง เมื่อว่าโดยปฏิโลม ตรัสว่า สังขตธรรม เพราะถูกปัจจัยอาศัยกันและกันสร้างให้มีขึ้น. อนึ่ง ท่านกล่าวว่าเป็นอสังขตะ เพราะไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ เว้นจากลักษณะที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง. เมื่อภาวะที่พระนิพพานบังเกิดด้วยเหตุมากมายอย่างนี้สำเร็จแล้ว เพื่อจะแสดงว่า พระนิพพานไม่มีปัจจัยอะไรๆ แต่งขึ้น ด้วยความรังเกียจว่า พระนิพพานจะพึงมีเหตุอย่างหนึ่งตบแต่งหรือหนอ จึงตรัสว่า อกตํ ไม่ถูกเหตุอะไรๆ ตบแต่ง. แม้เมื่อพระนิพพานไม่มีปัจจัยอย่างนี้ เพื่อจะให้ความรังเกียจว่าพระนิพพานนี้เป็นขึ้น ปรากฏขึ้นเองหรือหนอ เป็นไปไม่ได้ จึงตรัสว่า อภูตํ. เพื่อจะแสดงว่า พระนิพพานนี้นั้นไม่มีปัจจัยปรุง ไม่ได้แต่ง ไม่มีนี้ จะมีได้เพราะพระนิพพานมีการไม่เกิดเป็นธรรมดาโดยประการทั้งปวง จึงตรัสว่า อชาตํ. บัณฑิตพึงทราบความที่บททั้ง ๔ นี้ มีประโยชน์อย่างนี้ แล้วพึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 725
ทราบว่า พระองค์ทรงประกาศว่า พระนิพพานมีอยู่โดยปรมัตถ์ โดยพระบาลีว่า ภิกษุทั้งหลาย พระนิพพานนี้นั้นมีอยู่. ก็ในพระสูตรนี้ พึงทราบเหตุในบทอาลปนะว่า ภิกฺขเว โดยนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงเปล่งจึงตรัสไว้แล้วในหนหลังแล.
ดังนั้น พระศาสดาครั้นตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พระนิพพานไม่เกิด ไม่มี อันปัจจัยอะไรๆ ไม่แต่ง ไม่ปรุง มีอยู่ เมื่อจะทรงเสดงเหตุในข้อนั้น จึงตรัสคำว่า โน เจ ตํ ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น.
พระบาลีนั้น มีความสังเขปดังต่อไปนี้. ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอสังขตธาตุซึ่งมีสภาวะไม่เกิดเป็นต้นจักไม่ได้มี หรือจักไม่พึงมีไซร้ ความสลัดออก คือ ความสงบโดยสิ้นเชิงซึ่งสังขตะ กล่าวคือ ขันธ์ ๕ มีรูปเป็นต้นซึ่งมีสภาวะเกิดขึ้นเป็นต้น ไม่พึงปรากฏ คือ ไม่พึงเกิด ไม่พึงมีในโลกนี้. จริงอยู่ ธรรม คือ อริยมรรคมีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น อันกระทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น ย่อมตัดกิเลสได้เด็ดขาด. ด้วยเหตุนั้น ในที่นี้ ความไม่เป็นไป ความปราศจากไป ความสลัดออกแห่งวัฏทุกข์ทั้งสิ้น ย่อมปรากฏ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงถึงพระนิพพานว่า มีอยู่ โดยที่ภาวะตรงกันข้าม บัดนี้ เพื่อจะแสดงพระนิพพานนั้นโดยนัยที่คล้อยตาม จึงตรัสคำมีอาทิว่า ยสฺมา จ โข ดังนี้. คำนั้น มีอรรถดังกล่าวแล้วนั่นแล. ก็ในที่นี้ เพราะเหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงอนุเคราะห์แก่สัตวโลกทั้งมวล จึงทรงแสดงความเกิดมีแห่งนิพพานธาตุโดยปรมัตถ์ โดยสุตตบทเป็นอเนก มีอาทิว่า ธรรมที่ไม่มีปัจจัยธรรมที่เป็นอสังขตะ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ในที่ที่ปฐวีธาตุไม่มีเลย ฐานะแม้นี้แล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 726
เห็นได้แสนยาก คือ ความสงบสังขารทั้งปวง การสละคืนอุปธิกิเลสทั้งปวง ภิกษุทั้งหลาย ก็เราจักแสดงอสังขตธรรมและปฏิปทาเครื่องให้สัตว์ถึงอสังขตธรรมแก่เธอทั้งหลาย และด้วยสูตรแม้นี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย พระนิพพานไม่เกิดมีอยู่ ฉะนั้น แม้ถ้าวิญญูชนผู้กระทำไม่ให้ประจักษ์ในพระนิพพานนั้นไซร้ ก็ย่อมไม่มีความสงสัย หรือความเคลือบแคลงเลย. เพื่อจะบรรเทาความเคลือบแคลงของเหล่าบุคคลผู้มีความรู้ในการแนะนำผู้อื่น ในข้อนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้. การสลัดออกเป็นปฏิปักษ์ต่อกามและอารมณ์มีรูปเป็นต้น ที่เวียนซ้าย คือ ที่มีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากนั้น ย่อมปรากฏโดยมุข คือ การถอนออกจากทุกข์ หรือเพราะกำหนดรู้ อันมีการพิจารณาที่เหมาะสม พระนิพพานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสังขตธรรมทั้งหมด ซึ่งมีสภาวะเป็นเช่นนั้น คือ มีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากนั้น พึงเป็นเครื่องสลัดออก. ก็พระนิพพานอันเป็นเครื่องสลัดออกจากทุกข์นั้นก็คืออสังขตธาตุ. พึงทราบให้ยิ่งขึ้นไปอีกเล็กน้อย. วิปัสสนาญาณก็ดี อนุโลมญาณก็ดี ซึ่งมีสังขตธรรมเป็นอารมณ์ ย่อมไม่อาจจะละกิเลสได้โดยเด็ดขาด. อนึ่ง ญาณในปฐมฌานเป็นต้น ซึ่งมีสมมติสัจจะเป็นอารมณ์ ย่อมละกิเลสได้ด้วยวิกขัมภนปหานเท่านั้น หาละได้ด้วยสมุจจเฉทปหานไม่. ดังนั้น อริยมรรคญาณ อันกระทำการละกิเลสเหล่านั้นได้เด็ดขาด ก็พึงเป็นอารมณ์ซึ่งมีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากญาณทั้งสองนั้น เพราะญาณซึ่งมีสังขตธรรมเป็นอารมณ์ และมีสมมติสัจจะเป็นอารมณ์ ไม่สามารถในการตัดกิเลสได้เด็ดขาดนั้น ชื่อว่าอสังขตธาตุ. อนึ่ง พระดำรัสที่ส่องถึงบทแห่งพระนิพพานซึ่งมีอยู่โดยปรมัตถ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นอรรถที่ไม่ผิดแผก ดังบาลีนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 727
พระนิพพานไม่เกิด ไม่มี อันปัจจัยอะไรๆ ไม่แต่ง ไม่ปรุง มีอยู่. จริงอยู่ คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ซึ่งมีอรรถไม่ผิดแผก ดังที่ตรัสไว้ว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ดังนี้. อนึ่ง นิพพานศัพท์ มีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ตามเป็นจริง แม้ในอารมณ์บางอย่าง เพราะเกิดมีความเป็นไปเพียงอุปจาร เหมือนศัพท์ว่า สีหะ. อีกอย่างหนึ่ง. พึงทราบอสังขตธาตุว่า มีอยู่โดยปรมัตถ์ แม้โดยยุติ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า เพราะพระนิพพานมีสภาวะพ้นจากสิ่งที่มีภาวะตรงกันข้ามนั้น นอกนี้เหมือนปฐวีธาตุ หรือเวทนา.
จบอรรถกถาตติยนิพพานสูตรที่ ๓