๗. ทวิธาปถสูตร ว่าด้วยการชี้ไปคนละทาง
[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 780
๗. ทวิธาปถสูตร
ว่าด้วยการชี้ไปคนละทาง
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 780
๗. ทวิธาปถสูตร
ว่าด้วยการชี้ไปคนละทาง
[๑๗๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินทางไกลไปในโกศลชนบท มีท่านพระนาคสมาละเป็นปัจฉาสมณะ ท่านพระนาคสมาละได้เห็นทาง ๒ แพร่งในระหว่างทาง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ นี้ทาง ไปตามทางนี้เถิดพระเจ้าข้า เมื่อท่านพระนาคสมาละกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านพระนาคสมาละว่า ดูก่อนนาคสมาละ นี้ทาง ไปตามทางนี้เถิด แม้ครั้งที่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 781
๒... แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระนาคสมาละก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ นี้ทาง ไปตามทางนี้เถิดพระเจ้าข้า แม้ครั้งที่ ๓ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสกะท่านพระนาคสมาละว่า ดูก่อน นาคสมาละ นี้ทาง ไปตามทางนี้เถิด ลำดับนั้น ท่านพระนาคสมาละ วางบาตรและจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้ที่แผ่นดิน ณ หนทางนั้นเอง กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ นี้บาตรและจีวร ดังนี้ แล้วหลีกไป ครั้นเมื่อท่านพระนาคสมาละเดินไปโดยทางนั้น พวกโจรในระหว่างทางออกมา แล้วทุบด้วยมือบ้าง เตะด้วยเท้าบ้าง ได้ทุกบาตร และฉีกผ้าสังฆาฏิเสีย ครั้งนั้น ท่านพระนาคสมาละมีบาตรแตก มีผ้าสังฆาฏิขาด เข้าไปฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เมื่อข้าพระองค์เดินไปโดยทางนั้น พวกโจรในระหว่างทางออกมา แล้วทุบด้วยมือและเตะด้วยเท้า ได้ทุบบาตร และฉีกผ้าสังฆาฏิเสียแล้ว พระเจ้าข้า.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
บุคคลผู้ถึงเวท ผู้รู้เที่ยวไปด้วยกัน อยู่ด้วยกัน ปะปนกันชนผู้ไม่รู้ ย่อมละเว้นบุคคลผู้ลามกเสียได้ เหมือนนกกระเรียน เมื่อบุคคลเอาน้ำนมปนน้ำเข้าไปให้ ดื่มแต่น้ำนมเท่านั้น ละเว้นน้ำ ฉะนั้น.
จบทวิธาปถสูตรที่ ๗
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 782
อรรถกถาทวิธาปถสูตร
ทวิธาปถสูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อทฺธานมคฺคปฏิปนฺโน ได้แก่ เป็นผู้เดินทางระยะยาว คือ ทางไกล.
บทว่า นาคสมาเลน ได้แก่ พระเถระผู้มีชื่ออย่างนั้น.
บทว่า ปจฺฉาสมเณน ได้แก่ ในกาลนั้น พระเถระนี้ได้เป็นอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเสด็จดำเนินทาง โดยมีพระนาคสมาละเป็นปัจฉาสมณะ. จริงอยู่ ในประถมโพธิกาล พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้มีอุปัฏฐากประจำนานถึง ๒๐ ปี. หลังจากนั้น จนถึงปรินิพพาน ท่านพระอานนท์ได้อุปัฏฐาก ดุจเงาถึง ๒๕ ปี. แต่กาลนี้ ไม่ใช่มีอุปัฏฐากเป็นประจำ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อายสฺมตา นาคสมาเลน ปจฺฉาสนเณน ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า เทฺวธาปถํ ได้แก่ หนทาง ๒ แพร่ง. อาจารย์บางพวก กล่าวว่า ทฺวิธาปถํ ดังนี้ ก็มี.
ท่านนาคสมาละ เพราะเหตุที่ตนคุ้นกับทางนั้นมาก่อน และเพราะหมายถึงทางนั้นเป็นทางตรง จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ นี้ทาง. ก็ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า ทางนั้นมีอันตราย จึงมีพระประสงค์จะเสด็จไปทางอื่นจากทางนั้น จึงตรัสว่า นาคสมาละ นี้ทาง. และเมื่อพระองค์ตรัสว่า ทางนี้มีอันตราย จึงไม่เชื่อ แล้วพึงทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทางนั้นไม่มีอันตราย การที่ท่านพระนาคสมาละไม่เชื่อแล้วทูลอย่างนั้น จะพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงไม่ตรัสว่ามีอันตราย. ท่านนาคสมาละกราบทูลถึง ๓ ครั้งว่า นี้ทาง เสด็จไปทางนี้เถิด ในครั้ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 783
ที่ ๔ จึงคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ปรารถนาจะเสด็จไปทางนี้ และ ทางนี้แหละเป็นทางตรง เอาเถอะเราจักถวายคืนบาตรและจีวรแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เดินไปทางนี้ เมื่อไม่อาจจะมอบบาตรและจีวร ในพระหัตถ์ของพระศาสดาจึงวางไว้ที่พื้น อันกรรมของตนซึ่งเป็นทางแห่งทุกข์ ปรากฏขึ้น ตักเตือนอยู่ มิได้เอื้อเฟื้อพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย จึงหลีกไป. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล ท่านพระนาคสมาละ วางบาตรและจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่พื้นดิน ในทางนั้นนั่นเอง แล้วหลีกไป.
บรรดาเหล่านั้น บทว่า ภควโต ปตฺตจีวรํ ได้แก่ ซึ่งบาตรและ จีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งอยู่ในมือของตน. บทว่า ตตฺเถว ความว่า วางไว้ที่พื้นดิน คือ บนแผ่นดินในทางนั้นนั่นเองแล้วหลีกไป. อธิบายว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า นี้ บาตรและจีวรของพระองค์ ถ้าพระองค์ ปรารถนา ก็จงรับไปเถอะ ถ้าพระองค์ประสงค์จะไปเฉพาะทางที่พระองค์ ปรารถนา. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาบาตรและจีวรของพระองค์ ด้วยพระองค์เองเสด็จดำเนินไปสู่ทาง ตามที่ทรงพระประสงค์.
บทว่า อนฺตรามคฺเค โจรา นิกฺขมิตฺวา ความว่า ได้ยินว่า ใน กาลนั้น บุรุษ ๕๐๐ คน เป็นนักเลงมีฝ่ามือเปื้อนเลือด ผิดต่อพระราชา เข้าไปสู่ป่า เลี้ยงชีพด้วยโจรกรรม คิดว่า พวกเราจักตัดทางเจริญ ของ พระราชาโดยความเป็นข้าศึกต่อกัน ดังนี้แล้ว จึงซุ่มอยู่ในป่าใกล้หนทาง. บุรุษเหล่านั้น เห็นพระเถระกำลังเดินทางไป จึงคิดว่า สมณะนี้มาทางนี้ ใช้หนทางที่ไม่สมควรจะใช้ ไม่รู้ว่าเป็นของเรา เอาเถอะเราจักให้ท่านรู้ ดังนี้แล้วโกรธ รีบออกจากพงป่าตบเตะพระเถระให้ล้มลงที่พื้นดินโดยเร็ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 784
แล้วทุบบาตรดินของท่าน ฉีกจีวรให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ เพราะเห็นว่าเป็นบรรพชิต จึงปล่อยไป ด้วยสั่งว่า พวกเราจะยังไม่ฆ่าท่าน ตั้งแต่นี้ต่อไป ท่านจงรู้ว่า หนทางนี้มีอันตราย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข อายสฺมโตฯ เปฯ วิปฺผาเลสุํ ดังนี้เป็นต้น
ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พระนาคสมาละนี้ไปทางนั้น ถูกโจรเบียดเบียนแสวงหาเรา จักมาในบัดเดี๋ยวนี้แล ดังนี้แล้ว เสด็จไปหน่อยหนึ่ง แวะลงจากทางประทับนั่งที่โคนไม้แห่งหนึ่ง. ฝ่ายท่านนาคสมาละแล ย้อนกลับมายึดเอาหนทางที่พระศาสดาเสด็จไปนั่นแล กำลังเดินไป พบพระผู้มีพระภาคเจ้าที่โคนไม้นั้น จึงเข้าไปเฝ้า แล้วถวายบังคมกราบทูลเรื่องนั้นแต่พระศาสดา. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข อายสฺมา นาคสมาโลฯ เปฯ สงฺฆฏิญฺจ วิปฺผาเลสุํ ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบว่าท่านพระนาคสมาละไม่เอื้อเฟื้อต่อคำของพระองค์ แล้วเดินไปยังทางที่ไม่ปลอดภัย และทรงทราบว่า พระองค์ดำเนินไปยังทางที่ปลอดภัยนี้ แล้วจึงทรงเปล่งอุทานนี้อันแสดงความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สทฺธึ จรํ แปลว่า เที่ยวไปร่วมกัน.
บทว่า เอกโต วสํ นี้ เป็นไวพจน์ของบทว่า สทฺธึ จรํ นั้นนั่นแล. อธิบายว่า อยู่ร่วมกัน.
บทว่า มิสฺโส อญฺชเนน เวทคู ความว่า ชื่อว่าถึงเวท เพราะถึงคือบรรลุด้วยอริยมรรคญาณคือสัจจะ ๔ กล่าวคือเวท เพราะอรรถว่า อันบุคคลพึงรู้ หรือเพราะถึงฝั่งแห่งเวทคือไญยธรรมทั้งสิ้น. ชื่อว่าผู้ไม่รู้ เพราะไม่รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ของตน. อธิบายว่า ผู้ไม่รู้ คือ คนเขลา. เป็นผู้ปะปนด้วยคนไม่รู้นั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 785
คือ ปะปนโดยเหตุเพียงเที่ยวไปร่วมกัน.
บทว่า วิทิตฺวา ปชหาติ ปาปกํ ความว่า ผู้รู้คือทราบโดยภาวะที่ถึงเวทนั้น ย่อมละสิ่งชั่ว คือ สิ่งไม่เจริญ ได้แก่ สิ่งที่นำทุกข์มาให้ตน หรือละคนชั่ว คือ คนไม่ดีงาม. เปรียบเหมือนอะไร? เปรียบเหมือนนกกระเรียนดื่มแต่น้ำนมเว้นน้ำ อธิบายว่า นกกระเรียน เมื่อเขานำน้ำนมที่เจือด้วยน้ำเข้าไป ชื่อว่าดื่มแต่น้ำนม เพราะ เว้นน้ำ ดื่มแต่น้ำนมเท่านั้น ย่อมละคือเว้นน้ำ กล่าวคือแม่น้ำอันไหลไปสู่ที่ลุ่มฉันใด ได้ยินว่า บัณฑิตก็ฉันนั้น แม้อยู่ร่วมกับคนทรามปัญญาในอิริยาบถมีการยืนและการนั่งเป็นต้น ก็ละบุคคลผู้ทรามปัญญานั้นโดยเอื้อเฟื้อ คือ แม้ในกาลบางคราว ก็ไม่ยอมปะปนกับพวกเขา.
จบอรรถกถาทวิธาปถสูตรที่ ๗