๙. ปฐมทัพพสูตร ว่าด้วยพระทัพพมัลลบุตรทูลลาปรินิพพาน
[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 792
๙. ปฐมทัพพสูตร
ว่าด้วยพระทัพพมัลลบุตรทูลลาปรินิพพาน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 792
๙. ปฐมทัพพสูตร
ว่าด้วยพระทัพพมัลลบุตรทูลลาปรินิพพาน
[๑๗๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล ท่านพระทัพพมัลลบุตร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 793
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลปรินิพพานแห่งข้าพระองค์ พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนทัพพะ เธอจงสำคัญเวลาอันควร ณ บัดนี้เถิด ลำดับนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตรลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำประทักษิณ แล้วเหาะขึ้นไปสู่เวหาส นั่งขัดสมาธิเข้าสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์อยู่ในอากาศกลางหาว ออกจากสมาบัติแล้วปรินิพพาน เมื่อท่านพระทัพพมัลลบุตรเหาะขึ้นสู่เวหาส นั่งขัดสมาธิเข้าสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์อยู่ในอากาศกลางหาว ออกจากสมาบัติแล้วปรินิพพาน สรีระถูกไฟเผาไหม้อยู่ เถ้าไม่ปรากฏเลย เขม่าก็ไม่ปรากฏ เหมือนเนยใส หรือน้ำมันที่ถูกไฟเผาไหม้อยู่ เถ้าไม่ปรากฏเลย เขม่าก็ไม่ปรากฏฉะนั้น.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
รูปกายได้สลายแล้ว สัญญาดับแล้ว เวทนาทั้งปวงเป็นธรรมชาติเย็นแล้ว สังขารทั้งหลายสงบแล้ว วิญญาณถึงความตั้งอยู่ไม่ได้.
จบปฐมทัพพสูตรที่ ๙
อรรถกถาปฐมทัพพสูตร
ปฐมทัพพสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อายสฺมา ได้แก่ คำอันเป็นที่รัก.
บทว่า ทพฺโพ ได้แก่ เป็นชื่อของพระเถระนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 794
มัลละ.
จริงอยู่ ท่านผู้มีอายุนั้น ได้บำเพ็ญอภินิหารไว้แทบบาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ได้ก่อสร้างบุญไว้ตลอดแสนกัป. แล้วบังเกิดในพระครรภ์ของพระราชเทวีแห่งเจ้ามัลละ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเรา ในเวลาตนมีอายุได้ ๗ ขวบโดยกำเนิด จึงเข้าไปหาบิดามารดาขออนุญาตบรรพชา เพราะค่าที่ตนได้สร้างบุญญาธิการไว้. ฝ่ายบิดามารดาทั้งสองนั้นก็ได้อนุญาตว่า ลูกเอ๋ย! เจ้า บวชแล้ว จงศึกษาในอาจาระ ถ้าลูกไม่ยินดีการศึกษาอาจาระนั้น ลูกก็จงกลับมาในที่นี้อีก. เธอจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลขอบรรพชา. ฝ่ายพระศาสดาทรงตรวจดูความสมบูรณ์แห่งอุปนิสัยของเธอแล้ว จึงทรงอนุญาต การบรรพชา. ในเวลาเธอบรรพชา ภพสามปรากฏแก่เธอเหมือนไฟติดทั่วลุกโพลงตามโอวาทที่พระศาสดาทรงประทานแล้ว. เธอจึงเริ่มตั้งวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัตในขณะจรดปลายมีดโกนทีเดียว. เธอบรรลุธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่พระสาวกพึงบรรลุทั้งหมด มีอาทิอย่างนี้ว่า วิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ และโลกุตรธรรม ๙ เธอจึงได้ถูกจัดเข้าในภายในบรรดาพระมหาสาวก ๘๐. สมจริงดังคำที่ท่านผู้มีอายุนั้นกล่าวไว้ว่า เราได้ทำให้แจ้งแล้วซึ่งพระอรหัตโดยอายุ ๗ ขวบแต่กำเนิด เราได้บรรลุธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่พระสาวกพึงบรรลุได้ทั้งหมด ดังนี้ เป็นต้น.
บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ความว่า ได้ยินว่า วันหนึ่ง ท่านผู้มีอายุนั้นเที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ กลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต แสดงวัตรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงไปสู่ที่พักกลางวัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 795
ถือเอาน้ำจากหม้อน้ำล้างเท้าทั้งสองข้าง ทำตัวให้เย็น ปูลาดท่อนหนังแล้วนั่ง กำหนดเวลาแล้วเข้าสมาบัติ. ลำดับนั้น ท่านผู้มีอายุออกจากสมาบัติตามเวลาที่กำหนดไว้แล้ว ตรวจดูอายุสังขารของตน. อายุสังขารเหล่านั้นของเธอสิ้นไปแล้ว ปรากฏเพียงชั่วครู่เล็กน้อย. เธอคิดว่า ข้อที่เราไม่กราบทูลพระศาสดา เพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายก็จะไม่ทราบ จักนั่งปรินิพพานในที่นี้แหละ ไม่สมควรแก่เราเลย ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ให้พระองค์อนุญาตการปรินิพพานเสียก่อน แล้วแสดงวัตรแก่พระศาสดา เมื่อจะประกาศอิทธานุภาพของเรา เพื่อจะแสดงว่า พระศาสนาเป็นเหตุนำสัตว์ออกจากทุกข์ จึงนั่งในอากาศเข้าเตโชธาตุแล้วพึงปรินิพพาน เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้เหล่าชนผู้ไม่มีศรัทธาไม่เลื่อมใสในเรา ก็จักเกิดความเลื่อมใส ข้อนั้นจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่เขาเหล่านั้นตลอดกาลนาน. ก็แล ท่านผู้มีอายุนั้น ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทำข้อนั้นทั้งหมดโดยประการนั้นนั่นแล. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้นนั้นแล ท่านทัพพมัลลบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ดังนี้ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า ปรินิพฺพานกาโล เม ความว่า พระทัพพมัลลบุตรแสดงว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า กาลเป็นที่ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ได้ปรากฏแก่ข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ประสงค์จะกราบทูลการปรินิพพานนั้นแล้วจะปรินิพพาน แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระเถระยังไม่แก่และยังไม่ป่วยไข้ก่อน ท่านทูลลาพระศาสดาเพื่อปรินิพพาน ในข้อนั้นมีเหตุดังนี้ คือ ภิกษุพวกเมตติยะ และภุมมชกะ เมื่อก่อนได้พากันโจทเราด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 796
แม้เมื่ออธิกรณ์นั้นสงบไป ก็ยังด่าอยู่นั่นแหละ ฝ่ายปุถุชนพวกอื่นเชื่อภิกษุเหล่านั้น จึงกระทำความไม่เคารพและความดูหมิ่นในเรา และเพราะนำภาระคือทุกข์นี้อันไร้ประโยชน์ไปจะมีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้น เราจักปรินิพพาน ณ บัดนี้แล พระเถระกระทำการตกลงดังว่ามานี้ จึงทูลลาพระศาสดา. ข้อนั้นไม่ใช่เหตุ. จริงอยู่ พระขีณาสพทั้งหลาย เมื่ออายุสังขารยังไม่สิ้นไป ย่อมไม่จงใจพยายามเพื่อปรินิพพาน เพราะกลัวคนอื่นจะว่าร้ายเป็นต้น. และไม่ดำรงอยู่ได้นาน เพราะเหตุคนเหล่าอื่นสรรเสริญ เป็นต้น. โดยที่แท้ พระขีณาสพเหล่านั้นรอการสิ้นอายุสังขารของตน พร้อมด้วยกิจของตนนั่นแล. อย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า
เราไม่หวังความตาย ไม่หวังความเป็นอยู่ แต่หวังเวลา เหมือนคนรับจ้าง หวังค่าจ้างฉะนั้น ดังนี้.
ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรวจดูอายุสังขารของเธอรู้ว่าสิ้นไปแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนทัพพะ เธอจงสำคัญกาลอันสมควร ณ บัดนี้เถิด.
บทว่า เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตวา ได้แก่ เหาะขึ้นเวหาส. อธิบายว่า ไปในเวหาส. จริงอยู่ บทว่า เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตวา นี้ เป็นทุติยาวิภัตติ เพราะประกอบด้วยอภิศัพท์. แต่พึงทราบอรรถด้วยอำนาจสัตตมีวิภัตติ. เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า เหาะไปในอากาศทำไม. จึงกล่าวคำมีอาทิว่า นั่งขัดสมาธิในอากาศ คือ ในกลางหาวดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา ความว่า เข้าจตุตถฌานสมาบัติอันมีเตโชกสิณเป็นอารมณ์.
จริงอยู่ ในกาลนั้น พระเถระถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกระทำประทักษิณ ๓ รอบ แล้วยืนอยู่ ณ ที่สุดข้างหนึ่ง กราบทูลว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 797
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์อยู่ในที่นั้นๆ กับพระองค์ บำเพ็ญมาตลอดแสนกัป หมายเอาประโยชน์นี้เท่านั้นจึงได้บำเพ็ญ ประโยชน์นี้นั้นถึงที่สุดแล้วในวันนี้ นี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย. ในบรรดาภิกษุปุถุชนผู้เป็นพระโสดาบันและพระสกทาคามีในที่นั้น บางพวกได้มีความกรุณาอย่างใหญ่. บางพวกถึงความร้องไห้. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบวารจิตของเธอแล้วตรัสว่า ดูก่อนทัพพะ ถ้าเช่นนั้น เธอจงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แก่เรา และแก่ภิกษุสงฆ์. ในขณะนั้นนั่นเอง ภิกษุสงฆ์ทั้งหมดประชุมกัน. ลำดับนั้น ท่านทัพพะแสดงปาฏิหาริย์ทั้งหมด อันทั่วไปแก่พระสาวกอันมาโดยนัยมีอาทิว่า แม้คนคนเดียวก็กลายเป็นหลายคนได้ ดังนี้ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า เหาะไปในอากาศอีก นิรมิตแผ่นดินขึ้นในอากาศ นั่งขัดสมาธิในอากาศนั้น ทำบริกรรมด้วยเตโชกสิณสมาบัติ เข้าสมาบัติ ออกแล้วรำพึงถึงร่างกาย เข้าสมาบัติอีก อธิษฐานเตโชธาตุในอันยังร่างกายให้ไหม้แล้วปรินิพพาน. พร้อมด้วยการอธิษฐาน ร่างกายทั้งหมดจึงได้ถูกเพลิงติดทั่ว. ก็ในขณะนั้นนั่นเอง เพลิงนั้นได้เป็นเหมือนเพลิงประจำกัป ไหม้สังขารเพียงอณูหนึ่งก็ดี เพียงเป็นเขม่าก็ดี ไม่เหลืออะไรๆ ในสังขารนั้นไว้เลย ด้วยพลังแห่งอธิษฐาน แล้วปรินิพพาน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล ท่านทัพพมัลลบุตร ดังนี้ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วุฏฺหิตฺวา ปรินิพฺพายิ ความว่า ออกจากจิตที่สำเร็จด้วยฤทธิ์แล้วปรินิพพานด้วยภวังคจิต.
บทว่า ฌายมานสฺส ได้แก่ อันไฟโพลงอยู่.
บทว่า ฑยฺหมานสฺส นี้ เป็น ไวพจน์แห่งบทว่า ฌายมานสฺส นั้นนั่นเอง. อีกอย่างหนึ่ง. บทว่า ฌายมานสฺส ท่านกล่าวหมายเอาขณะที่ไฟโพลงขึ้น. บทว่า ฑยฺหมานสฺส ท่านกล่าวหมายเอาขณะที่ปราศจากถ่านเพลิง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 798
บทว่า ฉาริกา ได้แก่ ขี้เถ้า.
บทว่า มสิ ได้แก่ เขม่า.
บทว่า น ปญฺายิตฺถ ได้แก่ ไม่เห็น. อธิบายว่า สิ่งทั้งหมดอันตรธานไปโดยขณะนั้นนั่นแล ด้วยแห่งการอธิษฐาน.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระเถระจึงแสดงปาฏิหาริย์ อันเป็นอุตริมนุสธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสห้ามการทำอิทธิปาฏิหาริย์ไว้ มิใช่หรือ?
ตอบว่า ข้อนี้ไม่พึงทักท้วง เพราะพระองค์ตรัสห้ามการทำปาฏิหาริย์ต่อหน้าพวกคฤหัสถ์ทั้งหลาย และข้อนั้นตรัสห้าม โดยอำนาจการแสดงฤทธิ์ต่างๆ ไม่ตรัสห้ามด้วยอำนาจการอธิษฐาน ก็ท่านผู้มีอายุนี้ อันพระธรรมสวามีตรัสสั่งแล้ว จึงแสดงปาฏิหาริย์.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยอาการทั้งปวง ถึงการที่ท่านพระทัพพมัลลบุตรปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานนี้ จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเภทิ กาโย ความว่า รูปกายอันมีสันตติ ๔ โดยความต่างแห่งภูตรูป และอุปาทายรูปทั้งหมดแตกไป พินาศ อันตรธานไปโดยไม่มีส่วนเหลือ คือ ถึงความไม่เกิดขึ้นเป็นธรรม.
บทว่า นิโรธิ สญฺา ได้แก่ สัญญาทั้งหมด ต่างด้วยรูปสัญญาเป็นต้น. เพราะมีรูปายตนะเป็นต้นเป็นอารมณ์ ดับไปแล้วโดยการดับสนิท หาปฏิสนธิมิได้.
บทว่า เวทนา สีติภวึสุ สพฺพา ได้แก่ เวทนาแม้ทั้งหมด คือ วิปากเวทนาและกิริยาเวทนา ได้เป็นธรรมชาติเย็น เพราะไม่มีความกระวนกระวายแห่งเวทนา แม้มีประมาณเท่าอณูหนึ่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 799
เพราะดับสนิทด้วยการดับหาปฏิสนธิมิได้. แต่กุศลเวทนาและอกุศลเวทนา ถึงความดับสนิทในขณะแห่งอรหัตผลทีเดียว. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สีติรหึสุ เว้นจากความเย็น ดังนี้ ก็มี, อธิบายว่า ได้เป็นธรรมชาติสงบ ดับไป.
บทว่า วูปสมึสุ สงฺขารา ความว่า ธรรม คือ สังขารขันธ์ มีผัสสะเป็นต้นแม้ทั้งหมด ต่างโดยวิบากและกิริยา สงบแล้วโดยพิเศษทีเดียว เพราะดับสนิทด้วยการดับสนิทโดยหาปฏิสนธิมิได้นั่นเอง.
บทว่า วิญฺาณํ อตฺถมาคมา ความว่า แม้วิญญาณทั้งหมดต่างโดยวิบากและกิริยา ได้ถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ คือ ความพินาศ ได้แก่ ความขาดสูญ เพราะดับสนิทโดยหาปฏิสนธิมิได้นั่นแล.
ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานอันเปล่งออกด้วยกำลังแห่งปีติ เพราะอาศัยความที่ขันธ์ทั้ง ๕ ของท่านพระทัพพมัลลบุตรดับสนิท ด้วยการดับหาปฏิสนธิมิได้ เหมือนไฟที่หมดเชื้อฉะนั้น เพราะดับอุปาทานคือกิเลสและอภิสังขารในกาลก่อนได้โดยสิ้นเชิงแล.
จบอรรถกถาปฐมทัพพสูตรที่ ๙