๑๐.ทุติยทัพพสูตร ว่าด้วยปรินิพพานบนอากาศเถ้าถ่านไม่ปรากฏ
[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 799
๑๐. ทุติยทัพพสูตร
ว่าด้วยปรินิพพานบนอากาศเถ้าถ่านไม่ปรากฏ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 799
๑๐. ทุติยทัพพสูตร
ว่าด้วยปรินิพพานบนอากาศเถ้าถ่านไม่ปรากฏ
[๑๗๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 800
ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระทัพพมัลลบุตรเหาะขึ้นไปสู่เวหาส นั่งขัดสมาธิ เข้าสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์อยู่ในอากาศกลางหาว ออกจากสมาบัติแล้วปรินิพพาน เมื่อสรีระถูกไฟเผาไหม้อยู่ เถ้าไม่ปรากฏ เขม่าก็ไม่ปรากฏ เหมือนเนยใสหรือน้ำมันถูกไฟเผาไหม้อยู่ เถ้าไม่ปรากฏเลย เขม่าก็ไม่มีปรากฏฉะนั้น.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
คติของพระขีณาสพทั้งหลายผู้หลุดพ้นแล้วโดยชอบ ข้ามเครื่องผูกคือกามโอฆะได้แล้ว ถึงแล้วซึ่งความสุขอันหาความหวั่นไหวมิได้ ไม่มีเพื่อจะบัญญัติ เหมือนคติแห่งไฟลุกโพลงอยู่ที่ภาชนะสำริดเป็นต้น อันนายช่างเหล็กตีด้วยค้อนเหล็ก ดับสนิท ย่อมรู้ไม่ได้ฉะนั้น.
จบทุติยทัพพสูตรที่ ๑๐
จบปาฏลิคามิยวรรคที่ ๘
อรรถกถาทุติยทัพพสูตร
ทุติยทัพพสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นประทับอยู่ตามพอพระทัยในกรุงราชคฤห์ เมื่อจะเสด็จ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 801
ไปในชนบท เสด็จถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับนั้นแล ประทับอยู่ในพระเชตวัน เพื่อจะแสดงการที่พระทัพพมัลลบุตรปรินิพพานอันยังไม่ประจักษ์ ให้ประจักษ์แก่พวกภิกษุ. และเพื่อให้ปุถุชนผู้เหินห่างจากความเคารพในพระเถระ โดยการกล่าวตู่เรื่องไม่เป็นจริงที่พวกภิกษุเมตติยะและภุมมชกะกระทำไว้ให้เกิดเป็นความนับถือมากในพระเถระ จึงได้ตรัสเรียก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺร นี้ เป็นเพียงนิบาต ใช้ในอรรถว่า ให้ยินยอมตามถ้อยคำ. ศัพท์ว่า โข ใช้ในอรรถว่า อวธารณะ แปลว่า ห้ามข้อความอื่น. บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า ตตฺร นี้ ส่องอรรถที่กล่าวถึงเหล่านี้ว่า ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกเฉพาะพระภิกษุ. พระองค์ทรงแสดงความนี้ว่า ก็ด้วยบทว่า โข นี้ ทรงตรัสเรียกเหมือนกัน ในการตรัสเรียกภิกษุไม่มีอันตรายอะไรๆ เลย. อีกอย่างหนึ่ง. บทว่า ตตฺร ได้แก่ ในอารามนั้น. ศัพท์ว่า โข เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่าวจนาลังการ ประดับถ้อยคำให้ไพเราะ.
บทว่า อามนฺเตสิ แปลว่า ได้ตรัสเรียกแล้ว.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกเฉพาะภิกษุทั้งหลาย? ตอบว่า เพราะเป็นผู้เจริญ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้ใกล้ชิด เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยดีตลอดกาล และเพราะเป็นผู้รองรับพระธรรมเทศนาโดยพิเศษ.
บทว่า ภิกฺขโว เป็นแสดงอาการ คือ การเรียกภิกษุเหล่านั้น.
บทว่า ภทนฺเต เป็นบทที่พวกภิกษุผู้ถูกตรัสเรียกถวายคำตอบแด่พระศาสดาโดยเคารพ. พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสเรียก จึงตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้น ในบรรดาคำเหล่านั้น ด้วยคำว่า ภิกฺขโว. ภิกษุเหล่านั้นเมื่อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 802
จะทูลก็ทูลตอบว่า ภทนฺเต. อีกอย่างหนึ่ง ด้วยคำว่า ภิกฺขโว นี้ ซึ่งเป็นพระดำรัสอันอิงอาศัยพระหทัยอันเยือกเย็น บันดาลให้เกิดพระกรุณาเป็นประธาน พระองค์ทรงให้ภิกษุเหล่านั้นกลับจากการมนสิการกรรมฐาน และพิจารณาธรรมเป็นต้นแล้ว ให้ผินหน้ามาหาพระองค์. ด้วยคำว่า ภทนฺเต นี้ ซึ่งเป็นคำแสดงถึงความเอื้อเฟื้อ ความนับถือมาก และความเคารพในพระศาสดา ภิกษุเหล่านั้นจึงประกาศถึงความที่ตนเป็นผู้ฟังด้วยดี และความที่ตนมีความเคารพในการรับพระโอวาท.
บทว่า ภควโต ปจฺจสฺโสสุํ ความว่า ภิกษุเหล่านั้นฟังตอบ คือ ให้เกิดความต้องการเพื่อจะฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า เอตทโวจ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระสูตรทั้งสิ้นนี้ คือ ที่กำลังกล่าวอยู่ในบัดนี้. คำมีอาทิว่า ทพฺพสฺส ภิกฺขเว มลฺลปุตฺตสฺส ดังนี้ มีเนื้อความดังกล่าวในสูตรติดกันนั่นแล. แม้ในบทว่า เอตมตฺถํ เป็นต้น ไม่มีคำที่ไม่เคยกล่าว พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในสูตรติดกันเหมือนกัน.
ในคาถาทั้งหลาย มีวิเคราะห์ดังต่อไปนี้ บทว่า อโยฆนหตสฺส ความว่า วัตถุชื่อว่า อโยฆนะ เพราะเป็นเครื่องตีเหล็ก ได้แก่ ค้อนเหล็กและทั่งเหล็กของพวกช่าง. แห่งไฟที่ถูกค้อนเหล็กนั้นตี คือ ทุบ. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวอธิบายว่า บทว่า อโยฆนหตสฺส ได้แก่ ตีก้อนแท่งเหล็ก. ก็ เอว ศัพท์ในคำว่า อโยฆนหตสฺส นั้น ได้แก่ ไฟที่ไหม้อยู่.
บทว่า ชลโต ชาตเวทโส นี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ในอรรถว่าอนาทร.
บทว่า อนุปุพฺพูปสนฺตสฺส ความว่า เมื่อไฟสบคือมอดลง ได้แก่ ดับสนิทโดยลำดับ.
บทว่า ยถา น ายเต คติ ความว่า เหมือนคติของไฟนั้นรู้ไม่ได้. ท่านกล่าวอธิบายคำนี้ไว้ว่า เมื่อไฟถูก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 803
ค้อนเหล็กใหญ่ มีทั่งเหล็กและค้อนเหล็กเป็นต้นกระทบอยู่ คือ ขจัดอยู่ หรือลุกโพลงติดภาชนะสำริดเป็นต้น อีกอย่างหนึ่ง เมื่อเสียงที่เกิดขึ้นก็อย่างนั้น สงบ คือ เข้าไปสงบด้วยดีโดยลำดับ คติของไฟหรือเสียงย่อมไม่ปรากฏในที่ไหนๆ ในทิศทั้ง ๑๐ เพราะดับสนิทโดยหาปฏิสนธิมิได้ โดยการดับปัจจัย.
บทว่า เอวํ สมฺมา วิมุตฺตานํ ความว่า คติของพระขีณาสพทั้งหลาย ชื่อว่าผู้หลุดพ้นโดยชอบ เพราะหลุดพ้นจากอุปาทาน ๔ และอาสวะ ๔ โดยชอบ คือ โดยเหตุ โดยญายธรรม ได้แก่ ด้วยอริยมรรคอันมีตทังควิมุตติและวิกขัมภนวิมุตติเป็นประธาน ลำดับนั้นนั่นแล ชื่อว่า ผู้ข้ามโอฆะอันเป็นเครื่องผูกคือกาม เพราะข้ามกาโมฆะ กล่าวคือเครื่องผูกคือกามและโอฆะที่เหลือ ต่างด้วยภโวฆะเป็นต้น ชื่อว่าผู้ถึง คือ บรรลุความสุขอันเข้าไปสงบสังขารทั้งปวง กล่าวคืออนุปาทิเสสนิพพาน อันชื่อว่า ไม่หวั่นไหว เพราะสงบระงับกิเลส อันเป็นเหตุดิ้นรนด้วยดีเสียได้ และเพราะไม่สะเทือนด้วยลมคืออภิสังขาร ได้แก่ กิเลส ย่อมไม่มี คือ ย่อมไม่ได้เพื่อจะบัญญัติโดยไม่มีข้อที่จะพึงบัญญัติว่า นี้ชื่อว่าคติ ในบรรดาคติต่างโดยเทวดาและมนุษย์เป็นต้น อธิบายว่า ก็ท่านพระทัพพมัลลบุตรนั้นไปสู่ภาวะที่หาบัญญัติมิได้นั่นเทียว เหมือนไฟตามที่กล่าวแล้วฉะนั้น.
จบอรรถกถาทุติยทัพพสูตรที่ ๑๐
จบปาฏลิคามิยวรรควรรณนาที่ ๘
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 804
ก็ด้วยถ้อยคำเพียงเท่านี้
พระองค์ผู้หลุดพ้นด้วยดีจากความยึดมั่นในภพ ผู้อันเทพและทานพนับถือแล้ว ผู้ตัดความสืบต่อแห่งตัณหาได้ขาดแล้ว ผู้แสดงปีติและสังเวช ผู้ยินดีในการประทานพระสัทธรรม ผู้เป็นผู้นำของชาวโลกโดยพิเศษ ทรงเปล่งอุทานใดในที่นั้นๆ เพราะเป็นเหตุสิ้นอุปาทานที่พระธรรมสังคาหกาจารย์รวบรวมทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วยกขึ้นสู่สังคายนาร้อยกรอง โดยชื่อว่าอุทานใดเพื่อประกาศอรรถของอุทานนั้น ซึ่งอาศัยอรรถเก่าๆ ที่ข้าพเจ้าเริ่มพรรณนาอรรถไว้ด้วยดี อรรถวรรณนานั้นว่าโดยชื่อ ชื่อว่าปรมัตถทีปนี อันเป็นเครื่องประกาศอรรถอันยิ่งในพระสูตรนั้นตามสมควร มีวินิจฉัยไม่ฝั่นเฝือ จบบริบูรณ์โดยบาลีภาณวาร ประมาณ ๓๔ ภาณวาร ดังนั้น ด้วยอานุภาพแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้รจนาปรมัตถทีปนีนั้นได้รับแล้ว ขอพระศาสนาของพระโลกนาถเจ้า จงสว่างไสวด้วยข้อปฏิบัติมีศีลเป็นต้นอันบริสุทธิ์ ขอปวงสัตว์จงเป็นผู้มีส่วนแห่งวิมุตติรส ขอพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงสถิตอยู่ในโลกตลอดกาลนาน ขอปวงสัตว์จงมีความเคารพในพระพุทธศาสนาเป็นนิตย์ ขอฝนจงตกในพื้นปฐพีโดยชอบ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 805
ตามฤดูกาล ขอผู้ยินดีในพระสัทธรรมจงปกครองชาวโลกโดยธรรมเทอญ.
อรรถกถาอุทาน
ที่ท่านพระธรรมปาลาจารย์ ผู้อยู่ในพทรติฏฐวิหาร รจนาไว้
จบบริบูรณ์.
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ปฐมนิพพานสูตร ๒. ทุติยนิพพานสูจร ๓. ตติยนิพพานสูตร ๔. จตุตถนิพพานสูตร ๕. จุนทสูตร ๖. ปาฏลิคามิยสูตร ๗. ทวิธาปถสูตร ๘. วิสาขาสูตร ๙. ปฐมทัพพสูตร ๑๐. ทุติยทัพพสูตรและ อรรถกถา.
รวมวรรคที่มีในอุทานนี้ คือ
โพธิวรรคที่ ๑ มุจลินทวรรคที่ ๒ นันทวรรคที่ ๓ เมฆิยวรรค ที่ ๔ โสณวรรคที่ ๕ ชัจจันธวรรคที่ ๖ จูฬวรรคที่ ๗ ปาฏลิคามิยวรรคที่ ๘ มีสูตร ๘๐ สูตร วรรคทั้ง ๘ นี้ พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ ปราศจากมลทิน ทรงจำแนกไว้ดีแล้ว บัณฑิตทั้งหลายผู้มีศรัทธาแล ได้ กล่าววรรคนั้นว่า อุทาน ฉะนั้นแล.
จบอุทาน.