เราเข้าใจว่าไม่มีเรา ไม่มีใครเลย ไปเพื่ออะไรคะ?

 
trina.chue
วันที่  9 ส.ค. 2564
หมายเลข  35366
อ่าน  496

ขอความกรุณาผู้ทราบช่วยอธิบายหน่อยค่ะ

เข้าใจว่าสิ่งที่เราควรเข้าใจและประจักษ์แจ้งสิ่งแรกคือ ความไม่มีเรา ไม่สัตว์บุคคลตัวตนใดทั้งสิ้น มีแต่ธรรมะที่เกิดและดับไป

แต่สงสัยว่าเมื่อเข้าใจสิ่งนั้นแล้ว แล้วอย่างไรต่อคะ?

เช่นเมื่อเราเดินไปเจอคนล้มอยู่ตรงถนน เราก็เข้าใจว่า ไม่มีเรา ไม่มีเค้า เพราะไม่มีสัตว์บุคคลตัวตน มีเพียงแค่ขันธ์5 ที่กระทบแข็ง แบบนี้แล้ว ก็ไม่มีเหตุให้ต้องช่วยเค้าใช่มั้ยคะ?

หรือเช่นเมื่อ เราไปตรวจพบว่าเราเป็นมะเร็ง แต่เราก็เข้าใจว่า ไม่มีเรา ไม่มีมะเร็ง เพราะไม่มีสัตว์บุคคลตัวตน ก็ไม่มีเหตุให้รักษาใช่มั้ยคะ?

เพิ่งเริ่มเข้าวงการนี้ค่ะ มีความสงสัยอยู่มาก รบกวนผู้รู้ช่วยให้ความกระจ่างด้วยค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 9 ส.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การเข้าใจถูกว่าไม่มีเรามีแต่ธรรมะ เป็นปัญญา เมื่อมีปัญญา คุณความดีอย่างอื่นก็เจริญขึ้น เห็นคนล้มกลางถนน ไม่มีใครล้ม แต่เจ็บมี เพราะฉะนั้น ช่วยให้พ้นจากความเจ็บ ที่สมมติเรียกว่าคนล้มแล้วเจ็บได้ ดังเช่นที่พระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่ยึดถือว่าเป็นเรา แต่ก็ช่วยบุคคลอื่น ให้ทาน สงเคราะห์กับบบุคคลอื่น เพราะ หิว มีจริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครหิว แต่ช่วยให้หายหิว ก็เป็นประโยชน์เพราะฉะนั้นยิ่งเข้าใจว่าไม่ใช่เรามากขึ้นเท่าไหร่ กุศล คุณความดีก็เจริญมากขึ้นเท่านั้น จนสามารถละกิเลสได้หมดสิ้น ก็เป็นประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่น เพราะสิ่งที่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น คือ กิเลส โดยเฉพาะความยึดถือว่าเป็นเรา และความไม่รู้ เป็นต้น ครับ

ไม่มีเรา แล้วมีอะไร มีแต่ธรรม ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ที่กำลังมีกำลังปรากฎ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ คิดนึก รวมสรุปว่ามีแต่ธรรมที่เป็น นาม และ รูป หรือ ขันธ์ ๕ แต่เพราะความไม่รู้ของสัตว์โลก จึงยึดถือว่า รูปเป็นเรา เวทนาเป็นเรา สัญญาเป็นเรา เป็นต้น ยึดถือว่าธรรมเป็นเรา แท้ที่จริงไม่มีเรา มีแต่ธรรม เพราะฉะนั้นพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงแสดงสัจจะความจริงไว้สองอย่าง คือ ปรมัตถสัจจะ และ สมมติสัจจะ ปรมัตถสัจจะ คือความจริงที่มีแต่ธรรมไม่ใช่เรา สมมติสัจจะ คือ ความจริงที่หมายเรียกตัวธรรมที่ให้เข้าใจตรงกัน เช่น พระพุทธเจ้าตรัสเรียกท่านพระอานนท์ ไม่ได้เรียกว่า ขันธ์ ๕ จงมา แต่ให้หมายรู้ว่า คือ ท่านพระอานนท์ ไม่ใช่ท่านพระสารีบุตร เรียกโดยสมมติสัจจะ ให้หมายรู้ว่าเข้าใจตรงกัน โดยนัยเดียวกัน ไม่มีใครให้ทาน แต่ เป็นสติเจตสิก ที่เกิดกับจิตที่ดี ทำกิจที่จะระลึกที่จะให้ แต่ถ้าจะเรียกโดยสมมติให้เข้าใจตรงกัน ว่าเป็นคนนี้ให้ ไม่ใช่คนอื่นให้ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีให้ ไม่ใช่ นางวิสาขาให้ หมายรู้เรียกชื่อว่าใครให้ ให้เข้าใจตรงกัน เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ไม่ละสมมติเรียกทางโลก แต่ท่านรู้ความจริงว่า ที่สมมติเรียกก็คือมีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรา

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 9 ส.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เนื่องจากคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล พร้อมทั้งได้สะสมความไม่รู้มาอย่างมากและเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นต้วตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา เป็นเขา อกุศลธรรมทั้งหลายจึงตามมาอีกมากมาย ทำทุกอย่างก็เพื่อตัวเอง หรือเมื่อมีการยืดถือว่าเป็นคนอื่น เป็นเขา ก็ติดข้องบ้าง หรือ โกรธ ไม่พอใจบ้าง มีแต่จะสะสมหมักหมมความไม่ดีมากยิ่งขึ้น ดังนั้น เมื่อได้ศึกษาความเป็นจริงของธรรม ค่อยๆ สะสม ความมั่นคงในความเป็นจริงของธรรม แต่ละหนึ่งๆ ก็จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของคุณความดีประการต่างๆ ขัดเกลาละคลายความไม่ดีของตน จนถึงกับสามารถประจักษ์แจ้งความจริง ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ดับกิเลสตามลำดับขั้นได้ ก็เพราะความเข้าใจในความเป็นจริงของธรรมที่ไม่ใช่เรา นั่นเอง ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ส.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
lokiya
วันที่ 9 ส.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
trina.chue
วันที่ 10 ส.ค. 2564

ขอบพระคุณที่ช่วยอธิบายให้เข้าใจถูกค่ะ ขออนุโมทนาในกุศลและจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
worrasak
วันที่ 10 ส.ค. 2564

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ