ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่ใคร_ สนทนาธรรมไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๔

 
khampan.a
วันที่  14 ส.ค. 2564
หมายเลข  35405
อ่าน  1,013

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



"ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่ใคร"

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๔


(ดอกบัวบานที่ มศพ. _ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๔)



~ การศึกษาธรรม ไม่ใช่เพียงรู้จักคำ นี่คือ สิ่งที่เราจะเริ่มต้นอย่างมั่นคง ต้องไม่ลืมว่า ต้องเข้าใจ ไม่ใช่มีชื่อ (ของธรรม) อยากจำ อยากรู้เรื่อง แต่ไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า สิ่งใดๆ ก็ตาม ที่มีจริง เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ไม่ใช้คำนี้ก็ได้ และธรรมต้องเป็นธรรม ไม่ใช่ใครเลย

~ ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้รู้ความจริงของสิ่งที่มี ไม่ใช่ติดอยู่ที่คำ แต่ละคำเป็นเรื่องของธรรมทั้งหมด เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้

~ ประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่จำเรื่องจำชื่อมากๆ ไม่ใช่เข้าใจคำ แต่ต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังมี

~ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ จะไม่รู้จักคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าลึกซึ้งหมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้น ทุกคำ กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ขัดแย้งกันเลย แต่เข้าใจเพิ่มขึ้น

~ จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเพิ่มขึ้น เมื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

~ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ก็พูดแต่เรื่องชื่อ
(ของธรรม) ไปตลอดชีวิต

~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้

~ ธรรมลึกซึ้ง ถ้าไม่รู้ธรรมเดี๋ยวนี้ ก็พูดตามที่ได้จำไว้เท่านั้น

~ สนทนาธรรม คือ สนทนาให้เข้าใจความลึกซึ้งของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้

~ ถ้าพูดหลายๆ อย่าง ไม่มีความลึกซึ้งแต่ละอย่าง จะเข้าใจธรรมไหม?

~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเข้าใจจริงๆ ทีละน้อยจนมั่นคง ไม่ใช่ได้ยินแล้วเผินไปเลย

~ เริ่มเห็นความลึกซึ้งของธรรมเดี๋ยวนี้ไหม ว่า รู้ยาก?

~ มีอะไรที่กำลังปรากฏแล้วไม่รู้ ก็มีความติดข้องในสิ่งนั้น เห็นดอกไม้สวย ชอบไหม? ยังไม่ทันจะรู้ว่าเป็นดอกไม้ ก็ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ

~ คนทั่วๆ ไป เข้าใจว่าเขาติดข้องในดอกไม้สวย ในท้องฟ้าสวย ในทุกสิ่งทุกอย่างสวย แต่เขาไม่รู้ว่าเขาติดข้องยิ่งกว่านั้นมากมาย

~ ถ้าไม่มีความติดข้อง ไม่มีโลภะเลย จะมีคำที่เราได้ยินว่าอุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) ไหม?

~ สิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง คือ ความติดข้องต้องการ นิดเดียวก็เป็นความติดข้อง มากๆ ชอบมาก ก็เป็นความติดข้อง เพราะฉะนั้น ความติดข้อง เป็นความติดข้อง ไม่ว่ามากหรือน้อย ก็เป็นความติดข้อง เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้น มีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏแต่ละหนึ่งทั้งหมด ลึกซึ้งไหมที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมที่กำลังติดข้องในทุกอย่าง

~ ถ้าไม่มีโลภะนิดเดียว ก็จะมีโลภะมากๆ ไม่ได้

~ ไม่ว่าจะเป็นโลภะแรงมากขนาดไหน ก็เป็นความติดข้องนั่นเอง เพราะฉะนั้น เมื่อมีความติดข้อง เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เกิดขึ้นติดข้องเท่านั้น

~ ติดข้อง เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏมีปัจจัยเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลยทุกอย่าง ถ้าไม่เข้าใจความจริงอย่างนี้ จะค่อยๆ ละคลายความติดข้องได้ไหม?

~ มีโลภะ ก็ไม่รู้ มีมากๆ ติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่รู้ การที่จะละโลภะก็ไม่รู้ว่าจะละอย่างไร และถึงแม้รู้แล้ว ก็ละยาก เพราะลึกซึ้ง

~ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ก็ไม่สามารถจะเข้าใจทุกคำของพระองค์ว่าหมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ และลึกซึ้ง ขณะนี้เต็มไปด้วยโลภะในสิ่งที่ปรากฏเพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น จะบอกว่าไม่มีโลภะ ก็ยากมาก นอกจากจะเรียนละเอียดจริงๆ ว่าขณะไหน มี ขณะไหน ไม่มี แต่ส่วนใหญ่มีความต้องการทุกขณะ และความต้องการ มาก ยากที่จะละได้ ก็เป็นอุปาทานในแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น ลักษณะของความต้องการ เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง แต่ที่ต้องการ ก็เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้น สภาพที่ไม่รู้ความจริง เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีจริง เป็นอวิชชาหรือโมหะ เพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงแสดงประมวลรวบรวมความติดข้องทั้งหมด ว่า ติดข้องในอะไรบ้าง แล้วเราจะได้ค่อยๆ พิจารณาว่าถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดง เรารู้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้น ก็ไม่รู้

~ เราจะค่อยๆ พิจารณาแล้วเข้าใจ แล้วตรงกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัส แต่ต้องเข้าใจ ไม่ใช่พระองค์ตรัสแล้วเราจำแล้วเราพูดตาม แต่ต้องเข้าใจเดี๋ยวนี้

~ เพราะไม่รู้ จึงเข้าใจว่ามีเรา มีดอกไม้ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เป็นความเห็นผิดหรือความเห็นถูก?

~ เพราะความไม่รู้ความจริงว่าแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป จึงมีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏซึ่งหมดแล้ว แต่ไม่รู้ ก็ติดข้อง

~ ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ ก็ต้องมีความติดข้อง

~ อุปาทาน มี ๔ ได้แก่ กามุปาทาน ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) [และ กว้างขวางถึงการติดข้องในภพ ความมีความเป็น ด้วย] ทิฏฐุปาทาน เป็นความเห็นผิด เช่น เห็นว่าสิ่งนั้นไม่ได้ดับ (เห็นว่าเที่ยง) สีลัพพตุปาทาน ความเห็นผิดที่ยึดถือในความประพฤติในหนทางผิด แล้วก็มีอัตตวาทุปาทาน เห็นว่าเป็นตัวตน เป็นเรา

~ ตราบใดที่ยังมีความเข้าใจผิด ก็จะหาหนทางประพฤติปฏิบัติแล้วแต่จะคิดผิดๆ ซึ่งไม่สามารถที่จะทำให้รู้ความจริงได้ เพราะคนที่คิดว่าเขาไม่ชอบกิเลสเขาเห็นโทษเขาอยากจะดับ แต่เขาไม่รู้ เขาก็ทำสิ่งที่ผิดๆ คิดว่าสิ่งนั้นแหละจะสามารถที่จะทำให้ไม่มีอุปทานได้ นั่นเป็นสีลัพพตุปาทาน, สีลัพพตะ เป็นความประพฤติเป็นไปที่เข้าใจว่าหนทางนั้นเป็นหนทางละกิเลสหรือหนทางรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ความจริง ไม่ใช่ ทุกวันนี้ก็มี แต่ก่อนก็มี คือ อาบน้ำในแม่น้ำคงคาแล้วก็จะไม่มีบาปเป็นการลอยบาป พวกนี้ ก็เป็นสีลัพพตุปาทาน

~ ศึกษาธรรม คือ เข้าใจเดี๋ยวนี้มีจริงๆ ไม่ใช่เรา เพราะเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ

~ โลภะเป็นโลภะ เป็นความติดข้อง เป็นความต้องการอย่างหนึ่ง ความเห็นผิดความเข้าใจผิด ไม่ใช่โลภะ แต่เกิดกับโลภะ เพราะมีความติดข้องในความเห็นนั้น

~ หนทางทั้งหมดที่ไม่ได้ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะใช้คำว่าอะไรทั้งหมด ก็คือ ความเห็นที่ผิดทำให้มีการกระทำที่ผิด ความเห็นผิด เป็นทิฏฐุปาทานยึดมั่น ทำให้เกิดการประพฤติปฏิบัติที่ผิด เป็นสีลัพพตุปาทาน

~ การปฏิบัติผิดเป็นอะไร? เป็น สีลัพพตุปาทาน

~ ต้องเข้าใจจริงๆ เพราะว่าธรรมละเอียด เข้าใจจริงๆ คือเข้าใจละเอียดจึงไม่ผิด ด้วยเหตุนี้ พระโสดาบัน ดับความเห็นผิดทั้งหมด ไม่มีความเห็นผิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่มีความเห็นผิดว่าเป็นตัวเรา ไม่มีการประพฤติหนทางที่ผิด เพราะฉะนั้น จึงมีแต่กามุปาทาน

~ ใครละกามุปาทาน? พระอนาคามี ยังมีกิเลสไหม? ต้องรู้จริงๆ ว่า สำหรับอุปาทาน นั้น พระอนาคามี ละกามุปาทาน โดยนัยอื่นหัวข้ออื่น (ที่เป็นความติดข้องยินดีพอใจ ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ) แต่ว่าโดยนัยของอุปาทาน (ที่เป็นกามุปาทาน) นั้น รวมทั้ง ภวะ คือ ความเป็นเราด้วย (ความมีความเป็น) ก็เป็นกามุปาทานด้วย พระอนาคามียังมีความยินดีพอใจในภพ เพราะฉะนั้น ที่จะละหมด ก็คือ พระอรหันต์

~ คนที่เข้าใจถูก ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง จากการที่ต้องฟังจนกระทั่งเข้าใจ นี่ไม่ใช่สีลัพพตุปาทาน

~ เคยให้แล้วขอไหม? ให้เทพเทวดาแล้วก็ขอโน่นขอนี่ ถูกหรือผิด? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงเพื่อละความไม่รู้และความติดข้อง เพราะขณะนั้นเป็นความติดข้อง เป็นโลภะ ที่ต้องการ

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความเห็นผิด นัยต่างๆ ทรงแสดงเรื่องของโลภะ นัยต่างๆ เพื่อให้เราความเข้าใจความละเอียดค่อยๆ เข้าใจตามลำดับ แต่ต้องรู้ว่า เดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจ ไม่ใช่ให้เข้าใจคำ แต่คำทั้งหมดให้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น ไม่มีประโยชน์



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 14 ส.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
petsin.90
วันที่ 14 ส.ค. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Sottipa
วันที่ 14 ส.ค. 2564

อนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Sottipa
วันที่ 14 ส.ค. 2564

นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมา สัมพุทธัสสะ สู่แดนพุทธภูมิ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Sottipa
วันที่ 14 ส.ค. 2564

ความจริงย่อมเป็นจริง เป็นธัมมะ ไม่มีใคร ไม่มีอัตตา ไม่มีเรา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Thanapolb
วันที่ 14 ส.ค. 2564

อนุโมทนายิ่งครับ ไพเราะยิ่งแต่ละประโยค.

~ สิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง คือ ความติดข้องต้องการ นิดเดียวก็เป็นความติดข้อง มากๆ ชอบมาก ก็เป็นความติดข้อง เพราะฉะนั้น ความติดข้อง เป็นความติดข้อง ไม่ว่ามากหรือน้อย ก็เป็นความติดข้อง เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้น มีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏแต่ละหนึ่งทั้งหมด...

ขอเรียนสอบถามเพิ่มเติม เนื่องจากว่า..แต่ความไพเราะก็ขึ้นกับความเข้าใจมากหรือน้อยของแต่ละบุคคล...กระผมก็ยังเข้าใจไม่ลึกซึ้งพอ ว่า.ความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏแต่ละหนึ่งก็เป็นอาสวะคือหมักดองแล้วในจิต..แตกต่างจากความติดข้องแต่ละหนึ่งที่เป็นถึงขั้นอุปาทานอย่างไรแค่ไหน ครับ?

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 14 ส.ค. 2564

เรียน ความคิดเห็นที่ ๖ ครับ

แสดงความเป็นจริงของอกุศลธรรมในระดับต่างๆ ซึ่งหลากหลาย ตามความเป็นไปของอกุศลธรรมนั้นๆ ซึ่งเป็นชีวิตประจำวันจริงๆ อย่างประเด็นที่กล่าวถึง คือ ความติดข้อง ก็มีหลายระดับ ระดับที่บางเบา ก็ไหลไปอย่างรวดเร็วแล้วก็สะสมหมักหมมสืบต่อไป จนถึงมีกำลังขึ้น จนยากที่จะสละออก ยึดมั่นไว้ ซึ่งเป็นอุปาทาน นั่นเอง เป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจของธรรม ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Jans
วันที่ 15 ส.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
มังกรทอง
วันที่ 15 ส.ค. 2564

เราจะค่อยๆ พิจารณาแล้วเข้าใจ แล้วตรงกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัส แต่ต้องเข้าใจ ไม่ใช่พระองค์ตรัสแล้วเราจำแล้วเราพูดตาม แต่ต้องเข้าใจเดี๋ยวนี้ น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
tim7755tim
วันที่ 15 ส.ค. 2564

กราบ อนุโมทนาสาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เมตตา
วันที่ 15 ส.ค. 2564

ขอบพระคุณ และยินดียิ่งในกุศลจิต ของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Kalaya
วันที่ 15 ส.ค. 2564

พระธรรมลึกซึ้ง ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ