พรรณนาพุทธกิจ ๕ ประการ
ความเป็นมนุษย์ หาได้ยาก ความเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า หาได้ยาก ความถึงพร้อมด้วยขณะ หาได้ยาก พระสัทธรรม หาได้ยากอย่างยิ่ง ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา หาได้ยาก การบวช หาได้ยาก การฟังพระสัทธรรม หาได้ยาก
ณ ที่นั้น ภิกษุบางพวกทูลถามกรรมฐานกะพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ประทานกรรมฐานที่เหมาะแก่จริตของภิกษุเหล่านั้น.
ลําดับนั้น ภิกษุทั้งปวงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วไปยังที่พักกลางคืนและกลางวันของตนๆ บางพวกก็ไปป่า บางพวกก็ไปสู่โคนไม้ บางพวกก็ไปยังที่แห่งใดแห่งหนึ่ง มีภูเขา เป็นต้น บางพวกก็ไปยังภพของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ฯลฯ บางพวกก็ไปยังภพของเทวดาชั้นวสวัดดี ด้วยประการฉะนี้.
ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ถ้ามีพระพุทธประสงค์ ก็ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ สําเร็จสีหไสยาครู่หนึ่ง โดยพระปรัศว์เบื้องขวา ครั้นมีพระวรกายปลอดโปร่งแล้ว เสด็จลุกขึ้นตรวจดูโลกในภาคที่สอง ณ คาม หรือนิคมที่พระองค์เสด็จเข้าไปอาศัยประทับอยู่ มหาชนพากันถวายทานก่อนอาหาร
ครั้นเวลาหลังอาหารนุ่งห่มเรียบร้อย ถือของหอมและดอกไม้ เป็นต้น มาประชุมกันในพระวิหาร ครั้นเมื่อบริษัทพร้อมเพรียงกันแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปด้วยพระปาฏิหาริย์อันสมควร ประทับนั่ง แสดงธรรมที่ควรแก่กาลสมัย ณ บวรพุทธอาสน์ที่บรรจงจัดไว้ ณ ธรรมสภา ครั้นทรงทราบกาลอันควรแล้วก็ทรงส่งบริษัทกลับ เหล่ามนุษย์ต่างก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วพากันหลีกไป นี้เป็นกิจหลังอาหาร.
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ครั้นเสร็จกิจหลังอาหารอย่างนี้แล้ว ถ้ามีพระพุทธประสงค์จะโสรจสรงพระวรกาย ก็เสด็จลุกจากพุทธอาสนะ เข้าซุ้มเป็นที่สรงสนาน ทรงสรงพระวรกายด้วยน้ำที่ภิกษุผู้เป็นพุทธุปฐากจัดถวาย ฝ่ายภิกษุผู้เป็นพุทธุปฐากก็นําพุทธอาสนะมาปูลาดที่บริเวณพระคันธกุฎี
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองจีวรสองชั้นอันย้อมดีแล้ว ทรงคาดประคดเอว ทรงครองจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง แล้วเสด็จไปประทับนั่งบนพุทธอาสนะนั้น ทรงหลีกเร้นอยู่ครู่หนึ่งแต่ลําพังพระองค์เดียว
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายพากันมาจากที่นั้นๆ แล้วมาสู่ที่ปรนนิบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่นั้น ภิกษุบางพวกก็ทูลถามปัญหา บางพวกก็ทูลขอกรรมฐาน บางพวกก็ทูลขอฟังธรรม
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยับยั้งตลอดยามต้น ทรงให้ความประสงค์ของภิกษุเหล่านั้นสําเร็จ นี้เป็นกิจในปฐมยาม
ก็เมื่อสิ้นสุดกิจในปฐมยาม ภิกษุทั้งหลายถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วหลีกไปเหล่าเทวดาในหมื่นโลกธาตุทั้งสิ้น เมื่อได้โอกาสก็พากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ต่างทูลถามปัญหาตามที่เตรียมมา โดยที่สุดแม้อักขระ ๔ ตัว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตอบปัญหาแก่เทวดาเหล่านั้น ให้มัชฌิมยามผ่านไป นี้เป็นกิจในมัชฌิมยาม
ส่วนปัจฉิมยาม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแบ่งเป็น ๓ ส่วน คือ
ทรงยับยั้งอยู่ด้วยการเสด็จจงกรมส่วนหนึ่ง เพื่อทรงเปลื้องจากความเมื่อยล้าแห่งพระสรีระ อันถูกอิริยาบถนั่งตั้งแต่ก่อนอาหารบีบคั้นแล้ว
ในส่วนที่สอง เสด็จเข้าพระคันธกุฎี ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ สําเร็จสีหไสยาโดยพระปรัศว์เบื้องขวา
ในส่วนที่สาม เสด็จลุกขึ้นประทับนั่งแล้วทรงใช้พุทธจักษุตรวจดูสัตว์โลก เพื่อเล็งเห็นบุคคลผู้สร้างสมบุญญาธิการไว้ ด้วยอํานาจทานและศีล เป็นต้น ในสํานักของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ นี่เป็นกิจในปัจฉิมยาม
พุทธกิจ ๕ ข้อ ที่พระพุทธเจ้าทรงทำทุกวัน
1. เวลาเช้า เสด็จบิณฑบาต
2. เวลาเย็น ทรงแสดงธรรม
3. เวลาค่ำ ประทานโอวาทกับภิกษุ
4. เวลาเที่ยงคืน ตอบปัญหาธรรมกับเทวดา
5. เวลาจวนสว่าง ทรงพิจารณาสัตว์ที่สามารถจะบรรลุที่พระองค์จะเสด็จไปโปรด
เรื่อง พุทธกิจของพระองค์ก็เพื่อช่วยสัตว์โลกเป็นสำคัญ
ลองอ่านดูนะ จะซาบซึ้งในพระมหากรุณาคุณของพระองค์
[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 1104
ผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาเห็นว่า โลกสันนิวาสถูกทิฏฐิ ๖๒ กลุ้มรุม จึงทรงแผ่พระมหากรุณาไปให้หมู่สัตว์ว่า ก็เราแลเป็นผู้ข้ามได้แล้ว แต่สัตว์โลกยังข้ามไม่ได้ เราเป็นผู้พ้นไปแล้ว แต่สัตว์โลกยังไม่พ้นไป เราทรมานได้แล้ว แต่สัตว์โลกยังทรมานไม่ได้ เราสงบแล้ว แต่สัตว์โลกยังไม่สงบ เราเป็นผู้เบาใจแล้ว แต่สัตว์โลกยัง ไม่เบาใจ เราเป็นผู้ดับรอบแล้ว แต่สัตว์โลกยังไม่ดับรอบ ก็เราเป็นผู้ข้ามได้แล้ว จะช่วยให้สัตว์โลกข้ามได้ด้วย เราเป็นผู้พ้นไปแล้วจะช่วยให้สัตว์โลกพ้นไปด้วย เราทรมานได้แล้ว จะช่วยให้สัตว์โลกทรมานได้ด้วย เราเป็นผู้สงบแล้ว จะช่วยให้สัตว์โลกสงบด้วย เราเป็นผู้เบาใจแล้ว จะช่วยให้สัตว์โลกเบาใจด้วย เราเป็นผู้ดับรอบแล้ว จะช่วยให้สัตว์โลกดับรอบด้วย พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ผู้ตรัสรู้แล้วทรงพิจารณาเห็นดังนี้ จึงทรงแผ่พระมหากรุณาไปในหมู่สัตว์ นี้เป็นมหากรุณาสมาปัตติญาณของพระตถาคต.
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย