๔. โลมหังสชาดก ว่าด้วยการแสวงหาอย่างประเสริฐ
[เล่มที่ 56] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 343
๔. โลมหังสชาดก
ว่าด้วยการแสวงหาอย่างประเสริฐ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 56]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 343
๔. โลมหังสชาดก
ว่าด้วยการแสวงหาอย่างประเสริฐ
[๙๔] "เราเร่าร้อนแล้ว หนาวเหน็บแล้ว อยู่ผู้เดียวในป่าอันน่าสะพรึงกลัว เป็นคนเปลือย ไม่ได้ผิงไฟ เป็นมุนีขวนขวายแล้วในการแสวงบุญ".
จบ โลมหังสชาดกที่ ๔
อรรถกถาโลมหังสชาดกที่ ๔
พระศาสดา ทรงอาศัยพระนครเวสาลี ประทับอยู่ ณ ปาฏิการาม ทรงปรารภท่านพระสุนักขัตตะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "โสตตฺโต โสสีโต" ดังนี้.
ความพิสดารว่า สมัยหนึ่งท่านพระสุนักขัตตะเป็นผู้อุปัฏฐากพระศาสดา ถือบาตรจีวรตามเสด็จไป เกิดพอใจธรรมของโกรักขัตติยปริพาชก ถวายบาตรจีวรคืนพระทศพล ไปอาศัยโกรักขัตติยปริพาชก ในเมื่อโกรักขัตติยปริพาชกนั้นไปเกิดในกำเนิดอสูรพวกกาลัญชิกะ จึงสึกเป็นคฤหัสถ์เที่ยวกล่าวติโทษพระศาสดา ตามแนวกำแพงทั้ง ๓ ในพระนครเวสาลีว่า อุตตริมนุษยธรรม คือญาณทัสสนอันวิเศษซึ่งพอแก่ความเป็นพระอริยเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 344
ของพระสมณโคดม ไม่มีดอก พระสมณโคดมแสดงธรรมที่ตนกำหนดนึกเอาเอง ค้นคว้าเอาตามที่สอบสวน เป็นปฏิภาณของตนเอง และธรรมที่พระสมณโคดมแสดงนั้นเล่า ก็มิได้นำไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้ปฏิบัติตาม คราวนั้น ท่านพระสารีบุตรเถระเจ้าเที่ยวบิณฑบาต ได้ยินเขากล่าวติโทษเรื่อยมา กลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็กราบทูลข้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร สุนักขัตตะเป็นคนมักโกรธ เป็นโมฆบุรุษ กล่าวอย่างนี้ด้วยอำนาจความโกรธเท่านั้น กล่าวอยู่ว่าธรรมนั้นมิได้นำไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้ปฏิบัติตามนั้น ดังนี้ แม้ต้องอำนาจแห่งความโกรธมาก เพราะเหตุที่ไม่รู้จริง จึงกล่าวโทษเราอยู่ตลอดเวลา ก็เขาเป็นโมฆบุรุษ จึงไม่รู้คุณของเราเลย ดูก่อนสารีบุตร ที่แท้คุณพิเศษที่ชื่อว่า อภิญญา ๖ ของเราก็มี แม้ข้อนี้ก็เป็นอุตตริมนุษยธรรมของเราเหมือนกัน พล ๑๐ ก็มี เวสารัชชญาณ ๔ ประการก็มี ญาณที่จะกำหนดรู้กำเนิดทั้ง ๔ ก็มี ญาณที่จะกำหนดรู้คติทั้ง ๕ ก็มี แม้ข้อนี้ก็เป็นอุตตริมนุษยธรรมของเราเหมือนกัน ก็ผู้ใดกล่าวว่า เราผู้ถึงพร้อมด้วยอุตตริมนุษยธรรมเพียงเท่านี้ อย่างนี้ว่า อุตตริมนุสสธรรมของพระสมณโคดมไม่มีดอก ผู้นั้นไม่ละคำนั้น ไม่ละความคิดนั้น ไม่ถอนคืนความเห็นนั้น ย่อมถูกฝังในนรกเหมือนกับถูกจับมาฝัง ฉะนั้น ครั้นตรัสพระคุณแห่งอุตตริมนุษยธรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 345
ที่มีในพระองค์อย่างนี้แล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร ได้ยินว่า สุนักขัตตะ เลื่อมใสในมิจฉาตบะ ด้วยกิริยาแห่งกรรมอันบุคคลทำได้ยากของโกรักขัตติยะ เมื่อเลื่อมใสอยู่ ก็ไม่สมควรจะเลื่อมใสในเราทีเดียว ที่จริง ในที่สุดแห่งกัป ๙๑ แต่ภัททกัปนี้ เราทดลองมิจฉาตบะของลัทธิภายนอก เพื่อจะรู้ว่าสาระในตบะนั้นมีจริงหรือไม่ อยู่บำเพ็ญพรหมจรรย์อันประกอบด้วยองค์ ๔ เรากล่าวได้ว่า เป็นผู้เรืองตบะ เรืองตบะอย่างยอดเยี่ยม เป็นผู้เศร้าหมอง เศร้าหมองอย่างยอดเยี่ยม เป็นผู้น่าเกลียด น่าเกลียดอย่างยอดเยี่ยม เป็นผู้เงียบ เงียบอย่างยอดเยี่ยม ดังนี้ อันพระเถระเจ้ากราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาลที่สุดแห่งกัปที่ ๙๑ พระโพธิสัตว์ดำริว่า เราจักทดลองตบะของพวกนอกลู่นอกทางดู จึงบวชเป็นอาชีวก ไม่นุ่งผ้า คลุกเคล้าด้วยธุลี เงียบฉี่อยู่คนเดียว เห็นพวกมนุษย์แล้ว ต้องวิ่งหนี เหมือนมฤคมีมหาวิกัติเป็นโภชนะ บริโภคโคมัยแห่งลูกโคเป็นต้น เพื่อจะอยู่ด้วยความไม่ประมาท จึงอยู่ในไพรสณฑ์เปลี่ยวตำบลหนึ่งในราวไพร เมื่ออยู่ในถิ่นนั้น เวลาหิมะตกตอนกลางคืน ออกจากไพรสณฑ์ อยู่กลางแจ้ง ชุ่มโชกด้วยน้ำหิมะ เวลากลางวันก็ทำนองเดียวกัน ให้ตนชุ่มโชกด้วยหยาดน้ำที่ไหลจากไพรสณฑ์ เสวยทุกข์แต่ความหนาวทั้งกลางวันกลางคืนอยู่อย่างนี้ อนึ่งในเดือนท้ายแห่งฤดูร้อน ตอนกลางวันก็ถึงความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 346
รุ่มร้อนด้วยแสงแดด ณ ที่โล่ง กลางคืนก็อย่างนั้นเหมือนกับถึงความรุ่มร้อนอยู่ในไพรสณฑ์ที่ปราศจากลม หยาดเหงื่อไหลออกจากสรีระ ครั้งนั้น คาถานี้ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ได้ปรากฏแจ่มแจ้งว่า.
"เราเร่าร้อนแล้ว หนาวเหน็บแล้ว อยู่ผู้เดียวในป่าอันน่าสะพรึงกลัว เป็นคนเปลือย ไม่ได้ผิงไฟ เป็นมุนีขวนขวายแล้วในการแสวงบุญ" ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสตตฺโต ความว่า เราเร่าร้อนด้วยความแผดเผาจากดวงอาทิตย์.
บทว่า โสสีโต ความว่า เราหนาวเหน็บ คือชุ่มโชกด้วยน้ำหิมะ.
ด้วยบทว่า เอโก ภิํสนเก วเน นี้ ท่านแสดงความว่า เราอยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนเลย ในป่าชัฎอันน่าสะพรึงกลัวถึงกับทำให้ผู้ที่เข้าไปแล้วต้องขนลุกขนพองโดยมาก.
ด้วยบทว่า นคฺโค น จคฺคิมาสีโน นี้ ท่านแสดงว่า เราเป็นคนเปลือย ทั้งไม่ได้ผิงไฟ คือแม้จะถูกลมหนาวเบียดเบียน ก็มิได้อาศัยผ้านุ่งผ้าห่มเป็นต้น และไม่ได้ผิงไฟอีกด้วย.
ด้วยบทว่า เอสนาปสุโต นี้ ท่านแสดงว่า แม้ในอพรหมจรรย์ ก็มีความมั่นหมายว่า เป็นพรหมจรรย์ในความเพียรนั้น คือเป็นผู้ขวนขวายพากเพียรถึงความมั่นหมายในการแสวงหาพรหมจรรย์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 347
นั้นอย่างนี้ว่า ก็แลข้อนี้เป็นพรหมจรรย์แท้ การแสวงหาและการค้นหาเป็นอุบายแห่งพรหมโลก.
ด้วยบทว่า มุนี นี้ ท่านแสดงว่า ได้เป็นผู้อันชาวโลกยกย่องอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้ ปฏิบัติเพื่อต้องการญาณเป็นเครื่องรู้ เป็นมุนีแล.
ก็พระโพธิสัตว์ประพฤติพรหมจรรย์ประกอบด้วยองค์ ๔ อย่างนี้ เล็งเห็นลางนรกปรากฏชัดขึ้นในเวลารุ่งอรุณ ก็ทราบว่า การสมาทานวัตรนี้ไร้ประโยชน์ จึงทำลายลัทธินั้นเสียในขณะนั้นเอง กลับถือสัมมาทิฏฐิ เกิดในเทวโลกแล้ว.
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า สมัยนั้นเราตถาคต ได้เป็นอาชีวกนั้นแล.
จบ อรรถกถาโลมหังสชาดกที่ ๔