๑๐. อสาตรูปชาดก ว่าด้วยสิ่งที่ครอบงําคนประมาท
[เล่มที่ 56] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 383
๑๐. อสาตรูปชาดก
ว่าด้วยสิ่งที่ครอบงําคนประมาท
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 56]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 383
๑๐. อสาตรูปชาดก
ว่าด้วยสิ่งที่ครอบงำคนประมาท
[๑๐๐] "สิ่งที่ไม่เป็นที่พอใจ สิ่งที่ไม่เป็นที่รัก สิ่งที่เป็นทุกข์ ย่อมครอบงำผู้ประมาทด้วยสิ่งเป็นที่พอใจ สิ่งเป็นที่รักและสิ่งที่เป็นสุข".
จบ อสาตรูปชาดกที่ ๑๐
อรรถกถาอสาตรูปชาดกที่ ๑๐
พระศาสดา ทรงอาศัยกุณฑิยนครประทับอยู่ ณ กุณฑธานวัน ทรงปรารภอุบาสิกานามว่า สุปปวาสา ผู้เป็นธิดาแห่งโกลิยกษัตริย์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "อสาตํ สาตรูเปน" ดังนี้.
ความพิสดารว่า ในสมัยนั้น พระนางสุปปวาสา ต้องทรงบริหารพระครรภ์ถึง ๗ ปี แล้วยังต้องเจ็บพระครรภ์อีก ๗ วัน เวทนาเป็นไปขนาดหนัก พระนางแม้จะถูกเวทนาขนาดหนักเสียดแทงถึงอย่างนี้ ก็อดกลั้นทุกข์เสียได้ด้วยวิตก ๓ ประการเหล่านี้ คือพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดเล่า ทรงแสดงธรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 384
เพื่อการละทุกข์เห็นปานนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้หนอ หมู่แห่งสาวกของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ใดเล่าปฏิบัติแล้วเพื่อการละทุกข์เห็นปานนี้ หมู่สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น นั้นเป็นผู้ปฏิบัติดีแน่หนอ ทุกข์เห็นปานนี้ไม่มีในพระนิพพานใดเล่า พระนิพพานนั้นเป็นสุขจริงหนอ พระนางตรัสเรียกพระสวามีมาแล้ว ขอให้ไปเฝ้าพระศาสดาเพื่อกราบทูลความเป็นไปของพระนาง และข่าวกราบถวายบังคม พระศาสดาทรงทราบข่าวการถวายบังคมแล้ว ตรัสว่า โกลิยธิดา สุปปวาสา จงมีความสุขเถิด จงมีความสุข ไม่มีโรค คลอดโอรสผู้หาโรคมิได้เถิด ก็พร้อมๆ กับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นแหละ พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา ก็ทรงสำราญ ปราศจากพระโรคาพาธ ประสูติพระโอรสผู้ไม่มีโรคแล้ว ครั้นพระสวามีของพระนางเสด็จถึงนิเวศน์ ทอดพระเนตรเห็นพระนางประสูติแล้ว ได้ทรงเกิดอัศจรรย์หลากพระทัยว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ อานุภาพของพระตถาคตเหลือประมาณ แม้พระนางสุปปวาสาทรงประสูติพระกุมารแล้ว ก็ปรารถนาจะถวายมหาทานแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธองค์เป็นประมุข จึงส่งพระสวามีกลับไป เพื่อนิมนต์ ก็สมัยนั้นเล่า อุปัฏฐากของพระมหาโมคคัลลานะ นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธองค์เป็นประมุขไว้แล้ว พระศาสดาจึงส่งพระสวามีของพระนางไปสู่สำนักของพระเถระเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 385
ให้ท่านทำให้อุปัฏฐากยอมตกลง เพื่อให้โอกาสแก่ทานของพระนางสุปปวาสาแล้ว ทรงรับทานของพระนางตลอด ๗ วันกับภิกษุสงฆ์.
ครั้นถึงวันที่ ๗ พระนางสุปปวาสาตกแต่งพระสีวลีกุมารผู้โอรส ให้ถวายบังคมพระศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ เมื่อพระกุมารถูกนำเข้าไปสู่สำนักของพระเถระเจ้าโดยลำดับ พระเถระเจ้าได้กระทำปฏิสันถารกับเธอว่า สีวลี เธอยังจะพอทนได้หรือ สีวลีกุมารตรัสคำเห็นปานนี้กับพระเถระเจ้าว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ กระผมจะมีความสุขที่ไหนได้เล่า กระผมนั้นต้องอยู่ในโลหกุมภีถึง ๗ ปี พระนางสุปปวาสาทรงสดับถ้อยคำนั้นของพระโอรสแล้ว ทรงโสมนัสว่า ลูกของเราเกิดได้ ๗ วันคุยกับพระอนุพุทธรรมเสนาบดีได้ พระศาสดาตรัสว่า สุปปวาสา ยังจะปรารถนาบุตรอย่างนี้คนอื่นๆ อีกไหมเล่า พระนางกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้ากระหม่อมฉัน พึงได้โอรสอื่นๆ อย่างนี้ ๗ คน เกล้ากระหม่อมฉันพึงปรารถนาทีเดียว พระเจ้าค่ะ พระศาสดาทรงเปล่งพระอุทาน กระทำอนุโมทนาแล้วเสด็จหลีกไป ฝ่ายพระกุมารสีวลี พอมีพระชนม์ได้ ๗ พรรษาเท่านั้น ก็ทรงบวชถวายชีวิตในพระศาสนา ครั้นมีอายุครบก็ได้อุปสมบท เป็นผู้มีบุญ ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภและยศ บรรลือลั่นตลอดพื้นปฐพี บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว ได้รับฐานะเป็นเอตทัคคะในกลุ่มแห่งท่านผู้มีบุญทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 386
พวกภิกษุประชุมกันในธรรมสภา ตั้งข้อสนทนากันว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเถระที่มีนามว่า สีวลี มีบุญมาก มีความปรารถนาอันตั้งไว้แล้ว เป็นสัตว์อุบัติในภพสุดท้ายเห็นปานนี้ ต้องอยู่ในโลกโลหกุมภีถึง ๗ ปี แล้วยังต้องถึงความหลงครรภ์ ๗ วัน น่าสงสารพระมารดาต้องทรงเสวยทุกข์อย่างใหญ่หลวง ท่านได้กระทำกรรมอะไรไว้หนอแล พระศาสดาเสด็จไป ณ ธรรมสภานั้น ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรในบัดนี้ เมื่อพวกภิกษุกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การอยู่ในโลหกุมภีถึง ๗ ปีและการถึงความหลงครรภ์อีก ๗ วันของสีวลีผู้มีบุญมาก มีกรรมที่ตนทำไว้เป็นมูลทีเดียว ความทุกข์ในอันบริหารครรภ์ด้วยการอุ้มท้องไว้ถึง ๗ ปีและทุกข์เพราะหลงครรภ์ถึง ๗ วัน แม้ของพระนางสุปปวาสานั้นเล่า ก็มีกรรมที่ตนกระทำไว้เป็นมูลเหมือนกัน อันภิกษุทั้งหลายกราบทูลอาราธนา แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระอุทรแห่งพระมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตพระองค์นั้น ทรงเจริญวัยแล้ว ทรงศึกษาสรรพศิลปวิทยา ณ เมืองตักกสิลา ครั้นพระชนกเสด็จทิวงคต ก็ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม สมัยนั้นพระเจ้าโกศลทรงกรีฑาพลเป็นกองทัพใหญ่ เสด็จมายึดพระนครพาราณสีได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 387
สำเร็จโทษพระราชาเสียแล้ว กระทำอัครมเหสีของพระราชานั้นแหละให้เป็นอัครมเหสีของพระองค์ ฝ่ายพระโอรสของพระเจ้าพาราณสี เวลาที่พระราชบิดาเสด็จสวรรคต เสด็จหนีไปทางช่องระบายน้ำ ทรงรวบรวมกำลังได้ ยกมาสู่พระนครพาราณสี ประทับพักแรมในที่ไม่ไกล ทรงส่งหนังสือไปถึงพระราชานั้นว่า จงมอบราชสมบัติคืนหรือมิฉะนั้นจงรบกัน พระราชานั้นทรงตอบหนังสือไปว่า เราจะทำการยุทธ ฝ่ายพระราชมารดาของพระราชกุมารทรงสดับสาสน์นั้นแล้ว ลอบส่งหนังสือไปว่า ไม่ต้องทำการรบดอก จงล้อมพระนครพาราณสี ตัดการไปมาของพระนครเสียให้เด็ดขาดสัก ๗ วัน แต่นั้นก็ยึดพระนครซึ่งผู้คนลำบากแล้วด้วยการสิ้นฟืน น้ำและภัต โดยไม่ต้องรบเลย พระราชกุมารฟังข่าวของพระมารดาแล้ว ก็ล้อมพระนครไว้ ตัดการไปมาเด็ดขาดตลอด ๗ วัน ชาวเมืองไปมาไม่ได้ ก็ตัดเอาเศียรของพระราชานั้นไปถวายพระกุมาร ในวันที่ ๗ พระราชกุมารก็เสด็จเข้าพระนครครองราชสมบัติ เมื่อสิ้นพระชนมายุ ก็เสด็จไปตามยถากรรม.
ในกาลบัดนี้ พระสีวลีนั้นต้องอยู่ในโลหกุมภีตลอด ๗ ปี ถึงความเป็นผู้หลงครรภ์ ๗ วัน ด้วยกระแสกรรมที่ล้อมพระนคร ตัดการไปมาเสียเด็ดขาดถึง ๗ วันแล้วยึดเอา ก็แต่ว่าท่านได้ให้มหาทาน กระทำความปรารถนาไว้แทบพระบาทแห่งพระปทุมุตตรพุทธเจ้าว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นผู้เลิศกว่าบุคคลผู้มีลาภ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 388
ทั้งหลาย และในครั้งพระวิปัสสีพุทธเจ้า ร่วมกับชาวเมืองถวายเนยแข็งมีมูลค่าราคาหนึ่งพัน แล้วได้กระทำความปรารถนาไว้ ด้วยอานุภาพแห่งทานนั้น จึงได้เป็นผู้เลิศกว่าผู้มีลาภทั้งหลาย ส่วนพระนางสุปปวาสาเล่า เพราะส่งข่าวไปว่า จงล้อมพระนครยึดเอาเถิดพ่อ จึงต้องทรงบริหารครรภ์อุ้มพระอุทรตลอด ๗ ปี แล้วยังต้องเกิดครรภ์หลงอีกถึง ๗ วัน ดังนี้แล.
พระศาสดาทรงนำเอาเรื่องในอดีตนี้มาสาธกแล้ว ตรัสพระคาถานี้เป็นอภิสัมพุทธคาถา ความว่า.
"สิ่งที่ไม่น่าชื่นชม ข่มผู้ประมาทไว้ด้วยทีท่าอันน่าชื่นชม สิ่งที่ไม่น่ารัก ข่มผู้ประมาทไว้ด้วยทีท่าอันน่ารัก ทุกข์ข่มผู้ประมาทไว้ด้วยทีท่าของความสุข" ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสาตํ สาตรูเปน ความว่า สิ่งที่ไม่น่าชื่นชม คือไม่มีรสหวานเลย ย่อมข่มผู้ประมาทด้วยทีท่าเหมือนมีรสอร่อย.
บทว่า ปมตฺตมติวตฺตติ มีอธิบายว่า สิ่งทั้ง ๓ อย่างนี้ คือสิ่งที่ไม่น่าชื่นชม สิ่งที่ไม่น่ารัก และทุกข์ ย่อมข่ม คือครอบงำบุคคลผู้ประมาทแล้ว ด้วยสามารถแห่งการอยู่ปราศจากสติ ด้วยอาการมีทีท่าอันน่าชื่นชมเป็นต้นนี้ เรื่องนี้พึงทราบว่า ข้อที่มารดาและบุตรเหล่านั้น ถูกสิ่งที่ไม่น่าชื่นชม กล่าวคือ การบริหารครรภ์และการอยู่ในครรภ์เป็นต้นนี้ ครอบงำแล้ว ด้วยการ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 389
เปรียบให้เห็น การปิดล้อมพระนครไว้ในครั้งก่อนเป็นต้น อันใดก็ดี ข้อที่บัดนี้อุบาสิกานั้น ยอมให้สิ่งที่ไม่น่าชื่นชม ไม่น่ารัก เป็นทุกข์เห็นปานนี้ ครอบงำซ้ำอีกถึง ๗ ครั้ง ด้วยรูปเทียม อันชวนให้เข้าใจผิดว่าน่าชื่นชม กล่าวคือ บุตรอันเป็นที่ตั้งแห่งความรักเป็นต้น จึงกราบทูลอย่างนั้น อันใดก็ดี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาสิ่งนั้นๆ ทั้งหมด ตรัสแล้ว.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ราชกุมารผู้ล้อมพระนครแล้วสืบราชสมบัติในครั้งนั้น ได้มาเป็นสีวลีในครั้งนี้ พระมารดาได้มาเป็นพระนางสุปปวาสา ส่วนพระเจ้าพาราณสีผู้เป็นพระราชบิดา ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อสาตรูปชาดกที่ ๑๐
รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ลิตตชาดก ๒. มหาสารชาดก ๓. วิสสาสโภชนชาดก ๔. โลมหังสชาดก ๕. มหาสุทัสสนชาดก ๖. เตลปัตตชาดก ๗. นามสิทธิชาดก ๘. กูฏวาณิชชาดก ๙. ปโรสหัสสชาดก ๑๐. อสาตรูปชาดก
จบ ลิตตวรรคที่ ๑๐
จบ มัชฌิมปัณณาสก์