การหยั่งรู้อนาคต

 
wr_ya
วันที่  17 ส.ค. 2564
หมายเลข  35485
อ่าน  971

พอดีอ่านเจอว่า เราสามารถที่จะรู้อนาคตได้ จากการที่เทวดาดลใจ เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทั่วไปเลยใช่ไหมคะ หรือจะเกิดแค่กับคนที่ปฏิบัติธรรมอย่างเดียว


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 17 ส.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ทางที่เป็นทางให้รับรู้อารมณ์ มี 6 ทาง คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ทางตา (จักขุปสาทรูป) เป็นทางให้มีการเห็น หู (โสตปสาทรูป) เป็นทางให้มีการได้ยิน จมูก (ฆานปสาทรูป) เป็นทางให้ได้กลิ่น ลิ้น (ชิวหาปสาทรูป) เป็นทางให้รู้รส ทางกาย (กายปสาทรูป) เป็นทางให้รู้กระทบสัมผัส เย็น ร้อน เป็นต้นประสาทสัมผัส จึงมี 5 ประการตามที่กล่าวมา ส่วนทางใจ ที่เป็นทางที่หก คือ รู้สภาพธรรมทุกอย่าง ทั้ง สิ่งที่เห็น เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส และเรื่องราว ความคิดนึกก็รู้ได้ทางใจครับ ซึ่งในความเป็นจริงในทางธรรม ก็คือ อาศัยทางใจ ทำให้มีการคิดนึก ตรึกไปเป็นเรื่องราวที่คิดนึก ถึงสิ่งบางสิ่ง ซึ่งอาจจะตรงหรือไม่ตรง แต่ที่สำคัญก็เป็นเพียงการคิดนึกเท่านั้นครับ ซึ่งบุคคลที่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ถูกบ้าง ก็อาจเป็นเพราะเทวดาดลใจประการหนึ่ง หรือ เคยเป็นผู้อบรมฌาน สมถภาวนามาในอดีตชาติก็สามารถระลึกถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าได้บ้าง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไปครับ ซึ่งเทวดาดลใจ ไม่ได้เกิดขึ้นได้กับทุกคน ต้องเป็นบุคคลที่มีสำคัญ มีคุณธรรม มีพระโพธิสัตว์ เป็นต้น ครับ

การที่คิดว่าว่าตนเองรู้อะไรล่วงหน้า ก็ไม่พ้นไปจากความคิด ซึ่งอาจจะถูกบ้าง ผิดบ้าง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอะไร ต่อให้รู้ว่าในอนาคตข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้น คนนั้นคนนี้จะมีชีวิตเป็นไปอย่างไร แต่ไม่มีปัญญาไม่ได้เข้าใจธรรม แม้แต่ในขณะที่คิดก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ได้รู้สภาพธรรมใดๆ ตามความเป็นจริงเลย ย่อมไม่สามารถที่จะพ้นไปจากทุกข์ได้ ก็ยังเต็มไปด้วยความไม่รู้ ความสำคัญตน และอกุศลธรรมประการต่างๆ ดังนั้น กิจที่ควรทำอย่างยิ่ง ก็คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง สิ่งที่ควรรู้ ก็คือ ธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wr_ya
วันที่ 17 ส.ค. 2564

ขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 17 ส.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆ โดยปราศจากเหตุปัจจัย ล้วนเกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้น แสดงถึงความเป็นจริงของธรรมที่เป็นอนัตตา เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับแล้ว เป็นอดีต สภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ เป็นปัจจุบัน และเมื่อยังไม่เกิดขึ้น ก็เป็นอนาคต

สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ไม่สามารถย้อนกลับไปได้เลย และสิ่งที่จะเกิดต่อไป ก็ล้วนแล้วแต่จะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ทั้งหมด สิ่งที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลในขณะนี้ คือ ทำดีและฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ จะไม่เป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนเสียใจในภายหลังได้เลย และเป็นที่พึ่งสะสมไปในภายหน้า เป็นประโยชน์ในอนาคตอีกด้วย ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ส.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ