๒. ทุมเมธชาดก คนโง่ได้ยศก็ไม่เกิดประโยชน์
[เล่มที่ 56] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 469
๒. ทุมเมธชาดก
คนโง่ได้ยศก็ไม่เกิดประโยชน์
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 56]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 469
๒. ทุมเมธชาดก
คนโง่ได้ยศก็ได้เกิดประโยชน์
[๑๒๒] "ผู้มีปัญญาทรามได้ยศแล้ว ย่อมประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ย่อมปฏิบัติเพื่อความเบียดเบียนตนและคนอื่น".
จบ ทุมเมธชาดกที่ ๒
อรรถกถาทุมเมธชาดกที่ ๒
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "ยสํ ลทฺธาน ทุมฺเมโธ" ดังนี้.
ความโดยย่อว่า ภิกษุทั้งหลายพากันกล่าวโทษของพระเทวทัตในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตมองดูพระพักตร์อันทรงสิริเหมือนดวงจันทร์เต็มดวงและพระอัตภาพอันประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ และมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ แวดวงด้วยพระรัศมีแผ่ซ่านประมาณ ๑ วา ถึงความงามเลิศเป็นยอดเยี่ยม เปล่งพระพุทธรัศมีเป็นแฉกคู่ๆ กัน โดยอาการต่างๆ สลับกันของพระตถาคตแล้ว ไม่อาจยังจิตให้เลื่อมใสได้ มิหนำซ้ำยังกระทำความริษยาเอาด้วยไม่อาจจะอดใจ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 470
ได้ในเมื่อมีผู้กล่าวว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงประกอบแล้วด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติญาณทัสสนะเห็นปานนี้ กระทำความริษยาถ่ายเดียว พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า (* ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เทวทัตกระทำการริษยาเราในเมื่อมีผู้กล่าวถึงคุณของเรา แม้ในปางก่อนก็ได้เคยกระทำแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้ามคธองค์หนึ่งครองราชสมบัติในกรุงราชคฤห์ พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดช้าง ได้เป็นช้างเผือก ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติ เช่นเดียวกับที่พรรณนามาแล้วในหนหลัง พระราชาพระองค์นั้นทรงพระดำริว่า ช้างนี้สมบูรณ์ด้วยลักษณะ จึงได้ทรงแต่งตั้งให้เป็นมงคลหัตถี ครั้นถึงวันมหรสพวันหนึ่ง โปรดให้ประดับตกแต่งพระนครทั้งสิ้นงดงามดังเทพนคร เสด็จขึ้นสู่มงคลหัตถี อันประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ ทรงกระทำประทักษิณพระนครด้วยราชานุภาพอันใหญ่หลวง มหาชนยืนดูในที่นั้นๆ เห็นสรีระอันถึงความงามเลิศด้วยสมบัติของมงคลหัตถี ก็พากันพรรณนาถึงมงคลหัตถีเท่านั้น ว่ารูปงาม การเดินสง่า ท่าทางองอาจ สมบูรณ์ด้วยลักษณะอย่างแท้จริง พระยาช้างเผือกเห็นปานนี้ สมควรเป็นคู่บุญบารมีของพระเจ้าจักรพรรดิ พระราชาทรงสดับเสียงสรรเสริญมงคลหัตถี ไม่ทรงสามารถจะอดพระทัยได้ ทรงเกิด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 471
ความริษยา ดำริว่า วันนี้แหละจะให้มันตกเขาถึงความสิ้นชีวิตให้จงได้ แล้วรับสั่งให้หานายหัตถาจารย์มา รับสั่งถามว่า ช้างนี้ ต้องทำอย่างไรบ้าง เจ้าให้ศึกษาแล้วหรือ นายหัตถาจารย์กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ให้ศึกษาดีแล้วพระเจ้าข้า รับสั่งท้วงว่า ยังฝึกไม่ดีนะ กราบทูลยืนยันว่า ฝึกดีแล้ว พระเจ้าข้า รับสั่งว่า ถ้าฝึกดีแล้ว เจ้าจักอาจให้มันขึ้นสู่ยอดเขาเวปุลละ ได้หรือ กราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ รับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้นมาเถิด พระองค์เองเสด็จลงให้นายหัตถาจารย์ขึ้นนั่งไสไปถึงเชิงเขา เมื่อนายหัตถาจารย์นั่งเหนือหลังช้างไสถึงยอดเขาเวปุลละแล้ว แม้พระองค์เองแวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ก็เสด็จขึ้นสู่ยอดเขา แล้วทรงบังคับนายหัตถาจารย์ ให้ไสช้างบ่ายหน้าไปทางเหว รับสั่งว่า เจ้าบอกว่าช้างเชือกนี้ฝึกดีแล้ว จงให้มันยืน ๓ ขาเท่านั้น นายหัตถาจารย์นั่งบนหลัง ได้ให้สัญญาแก่ช้างด้วยส้นเท้า ให้ช้างรู้ว่า พ่อเอ๋ย จงยืน ๓ ขาเถิด พระราชารับสั่งว่า ให้มันยืนด้วยเท้าหน้าทั้งสองเท่านั้นเถิด ช้างผู้มหาสัตว์ ก็ยกเท้าหลังทั้งสองขึ้น ยืนด้วยสองเท้าหน้า แม้เมื่อพระราชาตรัสว่า ให้มันยืนด้วยสองเท้าหลังเท่านั้น ก็ยกเท้าทั้งสองข้างหน้าขึ้น ยืนด้วยสองเท้าหลัง แม้เมื่อตรัสสั่งว่า ให้ยืนขาเดียว ก็ยกเท้าทั้งสามขึ้นเสีย ยืนด้วยเท้าข้างเดียวเท่านั้น พระราชาครั้นทรงทราบความที่พระยาช้างนั้นไม่ตก ก็ตรัสสั่งว่า ถ้าสามารถจริง ก็จงให้ยืนในอากาศเถิด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 472
นายหัตถาจารย์คิดว่า ทั่วชมพูทวีป ช้างที่ได้ชื่อว่าฝึกดีแล้วเช่นกับพระยาช้างนี้ไม่มีเลย ก็แต่พระราชาพระองค์นี้ มีพระประสงค์ให้ช้างนั้นตกเขาตายเป็นแน่ไม่ต้องสงสัย คิดแล้วก็กระซิบที่ใกล้หูว่า พ่อเอ๋ย พระราชานี้ประสงค์จะให้เจ้าตกเขาตายเสีย เจ้าไม่คู่ควรแก่ท้าวเธอ ถ้าเจ้ามีกำลังพอจะไปทางอากาศได้ ก็จงพาเราผู้นั่งบนหลัง เหาะขึ้นสู่เวหาไปสู่พระนครพาราณสีเถิด พระมหาสัตว์ถึงพร้อมด้วยบุญฤทธิ์ ได้ยืนอยู่ในอากาศในขณะนั้นเอง นายหัตถาจารย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ช้างนี้ถึงพร้อมด้วยบุญฤทธิ์ ไม่คู่ควรแก่คนมีบุญน้อย ปัญญาทราม เช่นพระองค์ คู่ควรแก่พระราชาผู้เป็นบัณฑิตถึงพร้อมด้วยบุญ ขึ้นชื่อว่า คนบุญน้อยเช่นพระองค์ ถึงได้พาหนะเช่นนี้ ก็มิได้รู้คุณของมัน รังแต่จะยังพาหนะนั้นและยศสมบัติที่เหลือให้ฉิบหายไปฝ่ายเดียว ทั้งๆ ที่นั่งอยู่บนคอช้าง กล่าวคาถานี้ ความว่า.
"ผู้มีปัญญาทรามได้ยศแล้ว ย่อมประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ย่อมปฏิบัติเพื่อความเบียดเบียนตนและคนอื่น" ดังนี้.
ในคาถานั้นมีความสังเขปดังนี้ ข้าแต่มหาราชเจ้า คนโง่ๆ คือคนที่ไร้ปัญญาเช่นพระองค์ ได้บริวารสมบัติแล้ว ย่อมประพฤติความฉิบหายแก่ตน เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า คนโง่ๆ นั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 473
มัวเมาในยศแล้ว มิได้รู้การที่ควรทำและไม่ควรทำ ย่อมปฏิบัติเพื่อเบียดเบียนตนและคนอื่นๆ คือย่อมดำเนินการเพื่อที่ยังความลำบากและความทุกข์เกิดขึ้น ซึ่งเรียกว่า เบียดเบียนเท่านั้นเอง.
นายหัตถาจารย์แสดงธรรมแก่พระราชาด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้ แล้วกราบทูลว่า คราวนี้เชิญเสด็จประทับอยู่เถิด แล้วพลางเหาะขึ้นในอากาศ ตรงไปพระนครพาราณสีทีเดียว หยุดอยู่ในอากาศที่ท้องพระลานหลวง ทั่วทั้งพระนครอื้อฉาวเอิกเกริกเป็นเสียงเดียวกันว่า ช้างเผือกของพระราชาแห่งชาวเรามาทางอากาศ หยุดยืนอยู่ที่ท้องพระลานหลวง ราชบุรุษทั้งหลายรีบกราบทูลพระราชา พระราชาเสด็จมาตรัสว่า ถ้าเจ้ามาเพื่อเป็นอุปโภคแก่เรา เชิญเจ้าลงยืนที่พื้นดินเถิด พระโพธิสัตว์ก็ลงยืนที่แผ่นดิน อาจารย์ก็ก้าวลงถวายบังคมพระราชา ได้รับพระดำรัสว่า พ่อคุณ พ่อมาจากไหน กราบทูลว่า มาจากเมืองราชคฤห์ พระเจ้าข้า แล้วกราบทูลเรื่องทั้งปวงให้ทรงทราบ พระราชาตรัสว่า พ่อคุณ การที่พ่อมาที่นี่ กระทำสิ่งที่น่าชื่นชมจริงๆ ทรงหรรษาและดีพระทัย ตรัสให้ตระเตรียมพระนคร ทรงตั้งพญาช้างในตำแหน่งมงคลหัตถี ทรงแบ่งราชสมบัติทั้งสิ้นออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งพระราชทานแก่พระโพธิสัตว์ ส่วนหนึ่งแก่อาจารย์ ส่วนหนึ่งพระองค์ทรงครอบครอง ก็นับจำเดิมแต่พระโพธิสัตว์มาแล้วนั่นแล ราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้น ก็ตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระราชา พระองค์เป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 474
พระราชาผู้ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีป ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น แล้วเสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า พระราชามคธในครั้งนั้น ได้มาเป็นเทวทัต พระเจ้ากรุงพาราณสี ได้มาเป็นพระสารีบุตร นายหัตถาจารย์ ได้มาเป็นอานนท์ ส่วนช้าง ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาทุมเมธชาดกที่ ๒