ไม่มีเราทำ แต่ต้องค่อยๆ เข้าใจจากฟังแล้วไตร่ตรอง

 
kchat
วันที่  24 เม.ย. 2550
หมายเลข  3554
อ่าน  1,362

คงไม่ลืมว่า พระพุทธศาสนา พระไตรปิฎก และอรรถกถา นี้ไม่ใช่สำหรับอ่าน แต่สำหรับศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ ที่จะเข้าใจในอรรถ เพราะว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ที่ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นจะเป็นสิ่งที่รู้ง่าย หรือรู้ยาก แม้ว่าสิ่งนี้จะมี แต่ถ้าไม่มีการได้ฟังธรรมเลย เราจะคิดได้ไหมว่า ขณะนี้ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน แต่มีธรรมะฃึ่งปรากฎ เกิดขึ้นแต่ละทางด้วย สับสนกันไม่ได้เลย เวลาที่ได้ยิน ได้ฟัง จะอ่านเองก็ต้องไตร่ตรองคือ ศึกษาให้เข้าใจ สิ่งที่เราอ่านนี้ว่า สอดคล้อง ตามความเป็นจริงหรือเปล่า แม้พยัญชนะ กล่าวไว้อย่างนี้ถูกต้อง ไม่ผิด แต่ " อรรถ " ความหมาย คืออะไร เช่น คำว่า " ปัญญา " คือ รู้ชัด เราข้ามคำนี้ไปเลยไปถึง " ไปถึง รูปนั่ง ... " แล้ว

ความจริงขณะนี้ที่กำลัง " นั่ง " รู้ธรรมะอะไร เพราะว่าต้องเป็นปัญญาที่รู้ชัดในธรรมะไม่ใช่ในสิ่งซึ่งเราเคยยึดถือว่าเป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ถ้าอย่างนั้นก็คือไม่รู้อะไรเลย เหมือนเดิมทุกอย่าง แต่เพียงกล่าวคำว่า " ธรรมะ " นี้ เราไตร่ตรองพอที่จะรู้ไหมว่า ธรรมะ หมายความถึง สิ่งที่มีแน่นอน และ สิ่งนั้นไม่ใช่ของใคร และ ไม่มีใครเป็นเจ้าของด้วย เป็นลักษณะของธรรมะแต่ละอย่าง ฃึ่งปรากฎให้เห็นตามความเป็นจริง คือ ขณะนี้ธรรมะเมื่อกี้นี้ดับหมดแล้ว แล้วไม่ใช่อย่างช้าด้วย เร็วจนกระทั่งไม่ว่าเราจะพูดถึงอะไรว่าเดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวคิด เดี๋ยวแข็ง ทั้งหมดเราว่าเร็ว ความจริงเร็วยิ่งกว่านั้นอีก เดี๋ยวนี้ความจริงก็มีสภาพธรรมหลายอย่างปรากฎ แม้กระนั้นจะบอกว่าเห็นก็มี ได้ยินก็มี คิดก็มี ได้ยินอย่างนี้ ไม่ได้เข้าใจความเป็นธรรมะเลย เป็นเราจะรู้ตรงไหนอีก ไม่เคยรู้เลยว่า จริงๆ แล้ว ธรรมะที่ทรงแสดง แสดงความจริงของสภาพธรรมะ แล้วยังถามกันอีกว่าเป็นโลภะ หรือเปล่า และความจริงวันนี้ขณะไหนบ้าง ที่ไม่ใช่โลภะ ไม่เป็นโลภะ ตั้งแต่ตื่นมารู้ไหม? ก็ไม่รู้ใช่ไหม แม้แต่กำลังจะดู กำลังจะจ้องกำลังจะทำ ก็เป็นโลภะ ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะมีโลภะกับรูปร่างที่แฝง ที่เราไม่สามารถที่จะรู้โลภะได้เลย ถ้าปัญญาไม่เกิดขึ้นและไม่ได้ศึกษา ไม่ได้พิจารณาโดยเข้าใจว่าธรรมะทั้งหมดเป็นสัจจะ เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างไร ทรงแสดงให้เข้าใจถูกต้อง ตามความเป็นจริง อย่างนั้น เช่น เห็นกับได้ยินมี เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เราเลยจะไปจ้องที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ไม่ต้องไปจ้อง ดับหมดแล้ว เพียงแต่ว่าให้เข้าใจ ความจริงในชีวิตประจำวันว่า เป็นธรรมอย่างไร เมื่อมีความเข้าใจขึ้น ขณะนั้นละความเป็นเราหรือความต้องการที่จะทำ เพราะรู้ว่าทำไม่ได้ มีธรรมะเกิดแล้ว เป็นไปแล้วตามเหตุตามปัจจัย สะสมความเข้าใจเพื่อละความเป็น ตัวเรา และที่จะละความเป็นตัวเราได้ ก็คือ ละโลภะ ความติดข้องซึ่งเห็นยากมาก เพราะว่าอยากจะทำ อยากจะรู้ " อยาก " ไม่ใช่ ปัญญา แล้วจะทำตามอยาก หรือเปล่า หรือรู้ว่าแม้ขณะนั้นอยากก็มีจริงๆ เป็นธรรมะจนกว่า จะรู้ว่าทั้งวันนี้ไม่มีอะไร ที่ไม่ใช่ธรรมะ ที่เกิดดับเลย
นี่คือ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องตรงตามความเป็นจริง ไม่มีเราทำ แต่ต้องค่อยๆ เข้าใจจากฟังแล้วไตร่ตรอง แล้วอบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ไม่คลาดเคลื่อน


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 25 เม.ย. 2550

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
อิสระ
วันที่ 25 เม.ย. 2550

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
narong.p
วันที่ 25 เม.ย. 2550

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 25 เม.ย. 2550

อนุโมทนาครับขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 5 มิ.ย. 2567

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ