๕. ราธชาดก ว่าด้วยการพูดเพ้อเจ้อเพราะความเขลา
[เล่มที่ 56] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 578
๕. ราธชาดก
ว่าด้วยการพูดเพ้อเจ้อเพราะความเขลา
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 56]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 578
๕. ราธชาดก
ว่าด้วยการพูดเพ้อเจ้อเพราะความเขลา
[๑๔๕] "ราธะเอ๋ย เจ้าไม่รู้จักคนทั้งหลายที่ยังไม่มา ในเวลาปฐมยาม เจ้าพูดจาเพ้อเจ้อไปตามความโง่เขลา ในเมื่อแม่โกสิยายนีหมดความรักใคร่ในบิดาของเจ้าเสียแล้ว".
จบ ราธชาดกที่ ๕
อรรถกถาราธชาดกที่ ๕
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการเล้าโลมของภรรยาเก่า ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "น ตฺวํ ราธ วิชานาสิ" ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันจักมีแจ้งในอินทริยชาดก (ข้อที่แปลกคือ) ก็พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุนั้นมาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่า มาตุคาม เป็นผู้อันใครรักษาไม่ได้ แม้จะระมัดระวังแข็งแรง ก็ไม่สามารถจะรักษาไว้ได้ ดูก่อนภิกษุ ในครั้งก่อน ถึงเธอก็ตั้งการป้องกันคอยรักษามาตุคามอยู่ แต่ไม่อาจรักษาไว้ได้เลย บัดนี้ เธอจะรักษาไว้ได้อย่างไรกัน แล้วทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 579
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนกแขกเต้า พราหมณ์ผู้หนึ่งในแคว้นกาสี เลี้ยงพระโพธิสัตว์และน้องชายไว้ในฐานะเป็นลูก ในนกทั้งสองนั้น พระโพธิสัตว์ได้นามว่า โปฏฐปาทะ น้องชายได้นามว่า ราธะ แต่ภรรยาของพราหมณ์เป็นหญิงไม่มีมารยาท ทุศีล เมื่อพราหมณ์จะออกเดินทางไปค้าขาย ก็สั่งเสียนกทั้งสองพี่น้องไว้ว่า ดูก่อนพ่อทั้งสอง ถ้าพราหมณี แม่ของเจ้าจะประพฤติไม่ดีไม่งามละก้อ เจ้าคอยห้ามเขานะ นกพระโพธิสัตว์กล่าว ครับคุณพ่อ ถ้าสามารถห้ามได้ผมก็จักห้าม ถ้าห้ามไม่ได้ก็ต้องนิ่ง พราหมณ์มอบนางพราหมณีแก่นกแขกเต้าทั้งสองอย่างนี้แล้ว ก็เดินทางไปค้าขาย ตั้งแต่วันที่พราหมณ์จากไป พราหมณีก็เริ่มประพฤตินอกใจ ทั้งคนที่เข้าไปและคนที่ออกมา หาประมาณมิได้ นกราธะเห็นกิริยาของนางก็กล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า พี่ครับ คุณพ่อของเราสั่งไว้ก่อนไปว่า ถ้าแม่ของเจ้าทั้งสองประพฤติไม่ดีไม่งามละก็ เจ้าคอยห้ามนะดังนี้ แล้วจึงไป บัดนี้เล่า นางกำลังจะประพฤติไม่ดีไม่งาม เราช่วยกันห้ามนางเถิด พระโพธิสัตว์กล่าวเตือนว่า น้องรัก เจ้าพูดด้วยความโง่ เพราะความไม่ฉลาดเฉลียวของตนแท้ๆ ขึ้นชื่อว่า มาตุคาม แม้บุคคลจะคอยอุ้มไว้พาไป ก็ยังไม่อาจรักษาไว้ได้เลย ไม่สมควรที่เราจะทำสิ่งที่ไม่สามารถจะกระทำได้ แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 580
"ราธะเอ๋ย เจ้าไม่รู้จักคนทั้งหลายที่ยังไม่มา ในเวลาครึ่งคืนข้างหน้า เจ้าพูดเพ้อเจ้อไปอย่างโง่ๆ ในเมื่อแม่โกสิยายนี หมดความรักในบิดาของเราเสียแล้ว" ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตฺวํ ราธ วิชานาสิ อฑฺฒรตฺเต อนาคเต ความว่า พ่อราธะเอ๋ย เจ้าไม่รู้อะไร ในครึ่งคืนข้างหน้า คือในยามแรกเท่านั้น คนที่ยังไม่มามีถึงเท่านี้ บัดนี้ ใครเล่าจะรู้ว่า คนอีกเท่าไรจักพากันมา.
บทว่า อพฺยายตํ วิลปสิ ความว่า เจ้าอย่าพูดเพ้อเจ้อเพราะความเขลา.
บทว่า วิรตฺเต โกสิยาย ความว่า พราหมณีโกสิยายนี มารดาของเรา หมดรักเสียแล้ว คือไม่มีความรักในบิดาของเราเสียแล้ว ถ้าแกยังมีความเยื่อใยหรือความรักในคุณพ่อ ก็ไม่น่าจะประพฤติไม่ดีไม่งามอย่างนี้เลย ด้วยพยัญชนะ (ในคาถา) เหล่านี้ พระโพธิสัตว์ประกาศความดังพรรณนามานี้.
ครั้นพระโพธิสัตว์ประกาศอย่างนี้แล้ว ไม่ยอมให้นกราธะน้องชาย พูดกะนางพราหมณี นางก็ประพฤติชั่วได้ตามใจชอบ ตราบเท่าเวลาที่พราหมณ์ยังไม่กลับมา พราหมณ์มาแล้ว ถามนกโปฏฐปาทะว่า พ่อคุณ แม่ของเจ้าทั้งสองเป็นอย่างไร พระโพธิสัตว์บอกเรื่องตามเป็นจริงทั้งหมดแก่พราหมณ์ แล้วกล่าวว่า คุณพ่อครับ หญิงประพฤติชั่วอย่างนี้ คุณพ่อเลี้ยงไว้ทำไม แล้วกล่าวต่อไปว่า คุณพ่อครับ นับแต่เวลาที่กระผม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 581
ทั้งสองกล่าวโทษของคุณแม่แล้ว ก็ไม่อาจอยู่ที่นี้ได้ กราบเท้าพราหมณ์ แล้วก็บินเข้าป่าไป.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสประกาศสัจจะ เมื่อจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า พราหมณ์และพราหมณีในครั้งนั้น ได้มาเป็นคนทั้งคู่นี้แหละ นกราธะได้มาเป็นอานนท์ ส่วนนกโปฏฐปาทะ ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาราธชาดกที่ ๕