พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๘. สิคาลชาดก ว่าด้วยสุนัขเข้าอยู่ในท้องช้าง

 
บ้านธัมมะ
วันที่  20 ส.ค. 2564
หมายเลข  35554
อ่าน  413

[เล่มที่ 56] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 591

๘. สิคาลชาดก

ว่าด้วยสุนัขเข้าอยู่ในท้องช้าง


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 56]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 591

๘. สิคาลชาดก

ว่าด้วยสุนัขเข้าอยู่ในท้องช้าง

[๑๔๘] "ไม่เอาอีกแล้ว ไม่เอาอีกละ เราจะไม่ขอเข้าสู่ซากช้างซ้ำอีกละ เพราะเวลาอยู่ในท้องช้าง ถูกภัยคุกคามเจียนตาย".

จบ สิคาลชาดกที่ ๘

อรรถกถาสิคาลชาดกที่ ๘

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการข่มกิเลส ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "นาหํ ปุนํ น จ ปุนํ" ดังนี้.

ได้ยินว่า เศรษฐีบุตรในเมืองสาวัตถีประมาณ ๕๐๐ คนเป็นเพื่อนกัน ต่างมีสมบัติคนละมากมาย ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว พากันบวชถวายชีวิตในพระศาสนา อยู่ในกุฏิแถวสุดในพระวิหารเชตวัน อยู่มาวันหนึ่ง เป็นเวลาท่ามกลางรัตติกาล ความดำริอาศัยกิเลสเป็นเจ้าเรือนบังเกิดขึ้นแก่พวกภิกษุเหล่านั้น พวกเธอต่างกระสัน เกิดจิตตุปบาทเพื่อที่จะยึดครองกิเลสที่ตนละแล้วอีก ครั้งนั้น พระศาสดาทรงชูประทีป อันมีพระสัพพัญญุตญาณเป็นด้าม ในระหว่างท่ามกลางรัตติกาล

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 592

ทรงตรวจดูอัธยาศัยของภิกษุทั้งหลายว่า พวกภิกษุพากันพำนักอยู่ในพระเชตวันวิหาร ด้วยความยินดีอย่างไหนเล่าหนอ ได้ทรงทราบความที่พวกภิกษุเหล่านั้นต่างมีความดำริในกามราคะเกิดขึ้นในภายใน ก็ธรรมดาพระศาสดาย่อมรักษาหมู่สาวกของพระองค์ ประดุจหญิงมีบุตรคนเดียวถนอมบุตรของตน ประดุจคนมีตาข้างเดียวระวังนัยน์ตาของตน ก็ปานกัน ในสมัยใดๆ มีเวลาเช้าเป็นต้น กองกิเลสเกิดแก่หมู่สาวกนั้น ก็ไม่ทรงยอมให้กองกิเลสเหล่านั้น ของสาวกเหล่านั้น พอกพูนไปกว่านั้น ทรงข่มเสียในสมัยนั้นๆ ทีเดียว ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงได้มีพระปริวิตกว่า กาลนี้ เป็นประดุจดังกาลที่เกิดพวกโจรขึ้นภายในพระนครของพระเจ้าจักรพรรดิ ฉะนั้น เราต้องแสดงพระธรรมเทศนาข่มกองกิเลสแล้วให้พระอรหัตตผลแก่พวกเธอในบัดนี้ทีเดียว พระองค์จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฎีมีกลิ่นหอม มีพระดำรัสด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะเรียกท่านพระอานนท์ ผู้เป็นขุนคลังแห่งธรรม ว่า ดูก่อนอานนท์ พระเถระเจ้ารับพระพุทธดำรัสว่า อะไร พระเจ้าข้า มาถวายบังคมยืนอยู่ ตรัสว่า อานนท์ ภิกษุมีเท่าไร ที่อยู่ในกุฏิแถวหลังสุด เธอจงให้ประชุมกันในบริเวณคันธกุฎีทั้งหมดทีเดียว ได้ยินว่าพระองค์ได้ทรงมีพระดำริดังนี้ว่า แม้นเราให้เรียกภิกษุ ๕๐๐ พวกนั้นเท่านั้นมาประชุม พวกเธอจักพากันสลดใจว่า พระศาสดาทรงทราบความที่กองกิเลสเกิดขึ้นในภายในของพวกเราแล้ว จักมิอาจ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 593

ที่จะรับพระธรรมเทศนาได้ เหตุนั้นจึงตรัสว่า ให้ประชุมทั้งหมด พระเถระรับพระพุทธดำรัสว่า ดีละ พระเจ้าข้า แล้วถือลูกดาลเที่ยวไปทั่วบริเวณ บอกให้ภิกษุทั้งหมดประชุมกัน ณ บริเวณพระคันธกุฎี แล้วจัดปูลาดพระพุทธอาสน์ไว้.

พระศาสดาทรงคู้บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ประทับเหนือพระพุทธอาสน์ที่จัดไว้ ปานประหนึ่งขุนเขาสิเนรุอันดำรงอยู่เหนือปฐพีศิลา ทรงเปล่งพระพุทธรัศมีเป็นทิวแดงมีพรรณ ๖ ประการ ฉวัดเฉวียนประสานสีทีละคู่ๆ พระรัศมีแม้เหล่านั้นมีประมาณเท่าถาด เท่าฉัตรและเท่าโคมแห่งเรือนยอด ขาดเป็นระยะวนเวียนรอบพระกายประหนึ่งสายฟ้าในนภากาศ กาลนั้น ได้เป็นเสมือนเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังเริ่มฉายแสงอ่อนๆ ทำให้ท้องมหรรณพมีประกายสาดแสงระยิบระยับฉะนั้น ภิกษุสงฆ์เล่า ก็น้อมเกล้าถวายบังคมพระศาสดา ดำรงจิตอันเคารพไว้มั่นคง นั่งล้อมพระองค์โดยรอบประหนึ่งแวดวงไว้ด้วยม่านกำพลแดง พระบรมศาสดาทรงเปล่งพระสุรเสียงดังเสียงพรหม ทรงเตือนภิกษุทั้งหลาย ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุไม่ควรตรึกอกุศลวิตกทั้ง ๓ นี้ คือกามวิตก ความตรึกในกาม พยาบาทวิตก ความตรึกในพยาบาท วิหิงสาวิตก ความตรึกในวิหิงสา ขึ้นชื่อว่ากิเลสเป็นเช่นกับปัจจามิตร และปัจจามิตรเล่า จะชื่อว่าเล็กน้อยไม่มีเลย ได้โอกาสแล้วย่อมทำให้ถึงความพินาศโดยส่วนเดียว กิเลสแม้ถึงจะมีประมาณน้อยเกิดขึ้นแล้ว ได้โอกาส

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 594

เพื่อจะเพิ่มพูน ย่อมยังความพินาศอย่างใหญ่หลวงให้เกิดขึ้นได้อย่างนั้นทีเดียว ขึ้นชื่อว่ากิเลสนี้ เปรียบด้วยยาพิษที่ร้ายแรง เป็นเช่นกับด้วยหัวฝีที่มีผิวหนังปอกไปแล้ว เทียบกันได้กับอสรพิษ คล้ายกับไฟที่เกิดจากอสนีบาต ไม่ควรเลยที่จะนิยมยินดี ควรจะกีดกันเสียด้วยพลังแห่งการพิจารณา ด้วยพลังแห่งภาวนา ในขณะที่เกิดทีเดียว ควรจะละเสียด้วยการที่กองกิเลสทั้งนั้นจะเลือนไปไม่ทันตั้งอยู่ในหทัยแม้เพียงครู่เดียว เหมือนหยาดน้ำกลิ้งตกไปจากใบบัว ฉันใดก็ฉันนั้น แม้ถึงบัณฑิตในครั้งก่อนทั้งหลาย ก็ติเตียนกิเลสแม้มีประมาณน้อย ข่มมันเสียไม่ยอมให้เกิดขึ้นในภายในได้อีกฉะนั้น ดังนี้ แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดหมาจิ้งจอก พำนักอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำใกล้ป่า ครั้งนั้นช้างแก่ตัวหนึ่งล้มอยู่ที่ฝั่งคงคา สุนัขจิ้งจอกออกหาเหยื่อ พบซากช้างนั้น คิดว่า เหยื่อชิ้นใหญ่เกิดแก่เราแล้ว จึงไปที่ซากช้างนั้น กัดที่งวง ก็เป็นเหมือนเวลาที่กัดงอนไถ มันคิดว่า ตรงนี้ไม่ควรกิน จึงกัดที่งาทั้งคู่ ก็เป็นเหมือนเวลาที่กัดเสา กัดหูเล่า ก็ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดขอบกระด้ง กัดที่ท้อง ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดยุ้งข้าว กัดที่เท้า ก็ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดครก กัดที่หาง ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดสาก ดำริว่า แม้ในที่นี้ก็ไม่ควรกิน เมื่อไม่ได้รับความพอใจในอวัยวะ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 595

ทั้งปวง ก็กัดตรงวัจมรรค ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดขนมนุ่ม มันดำริว่า คราวนี้เราได้ที่ที่ควรกินอันอ่อนนุ่มในสรีระนี้แล้ว จึงกัดแต่วัจมรรคนั้น เข้าไปถึงภายในท้อง กินตับและหัวใจเป็นต้น เวลากระหายน้ำ ก็ดื่มโลหิต เวลาอยากจะนอนก็เอาพื้นท้องรองนอน ครั้งนั้น สุนัขจิ้งจอกได้มีปริวิตกว่า ซากช้างนี้เป็นเหมือนเรือนของเรา เพราะเป็นที่อยู่สบาย ครั้นอยากกิน ก็มีเนื้ออย่างเพียงพอ ทีนี้เราจะไปที่อื่นทำไม จึงไม่ยอมไปในที่อื่นอีกเลย คงอยู่กินเนื้อในท้องช้างแห่งเดียว.

ครั้งเวลาล่วงไป ผ่านไปจนถึงฤดูแล้ง ซากช้างนั้นก็หดตัวเหี่ยวแห้ง ด้วยถูกลมสัมผัสและถูกแสงอาทิตย์แผดเผา ช่องที่สุนัขจิ้งจอกเข้าไปก็ปิด ภายในท้องก็มืด ปรากฏแก่มันเหมือนอยู่ในโลกันตนรก ฉะนั้น เมื่อซากเหี่ยวแห้ง แม้เนื้อก็พลอยแห้ง แล้วโลหิตก็เหือดหาย มันไม่มีทางออก ก็เกิดความกลัว ซมซานไปกัดทางโน้นทางนี้ วุ่นวายหาทางออกอยู่ เมื่อสุนัขจิ้งจอกนั้นตกอยู่ในท้องช้างอย่างนี้ ก็เป็นเหมือนก้อนแป้งในหม้อข้าว ล่วงมา สองสามวันฝนตกใหญ่ ครั้นซากนั้นชุ่มน้ำฝนก็พองขึ้น จนมีสัณฐานเป็นปกติ วัจมรรคก็เปิด ปรากฏเหมือนดวงดาว มันเห็นช่องนั้น คิดว่า คราวนี้เรารอดได้แน่แล้ว ถอยหลังไปจนจดหัวช้าง วิ่งไปโดยเร็ว เอาหัวชนวัจมรรคออกไปได้ เพราะว่าร่างกายของมันซูบซีดเหี่ยวแห้ง ขนทั้งหมดก็เลยติดอยู่ที่วัจมรรคนั่นเอง มันมีจิตสะดุ้งด้วยสรีระอันไร้ขน

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 596

เหมือนลำตาล วิ่งไปครู่หนึ่ง กลับนั่งมองดูสรีระแล้วสลดใจว่า ทุกข์นี้ของเรา สิ่งอื่นมิได้ทำให้เลย แต่เพราะความโลภเป็นเหตุ เพราะความโลภเป็นตัวการ เราอาศัยความโลภก่อทุกข์นี้ไว้เอง บัดนี้นับแต่นี้ เราจะไม่ยอมอยู่ในอำนาจของความโลภ ขึ้นชื่อว่าซากช้างละก็ เราจะไม่ขอเข้าไปอีก ดังนี้แล้ว กล่าวคาถานี้ ความว่า.

"ไม่เอาอีกแล้ว ไม่เอาอีกละ เราจะไม่ขอเข้าสู่ซากช้างซ้ำอีกละ เพราะเวลาอยู่ในท้องช้าง ถูกภัยคุกคามเจียนตาย" ดังนี้.

ในคาถานั้น อักษร ในบาทคาถาว่า น จาปิ อปุนปฺปุนํ เป็นเพียงนิบาต ก็ในคาถาทั้งหมดนี้ มีอรรถาธิบายดังนี้ว่า.

ก็ต่อแต่นี้ไป เราจะไม่เข้าไปอีกละ ได้แก่ เราจะไม่ขอเข้าไปสู่ซากช้าง คือสรีระของช้าง หลังจากที่พูดไว้ว่า ไม่เอาอีกแล้ว ดังนี้ เพราะเหตุไร เพราะว่า เวลาอยู่ในท้องช้าง ถูกภัยคุกคามแทบตาย อธิบายว่า เพราะเราถูกภัยในการเข้าไปทั้งนี้ทีเดียว คุกคามแทบตาย คือต้องถึงความสะดุ้ง ความสลดใจ เพราะกลัวตาย.

ก็แลสุนัขจิ้งจอกนั้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็หนีไปจากที่นั้นทันที ขึ้นชื่อว่าสรีระช้างตัวนั้นหรือตัวอื่น มันจะไม่ยอมเหลียวหลังไปมองดูอีกเลย ต่อจากนั้น สุนัขจิ้งจอกนั้น ก็ไม่ตกอยู่ในอำนาจของความโลภ.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 597

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่ากิเลสที่เกิดขึ้นภายใน ต้องไม่ให้พอกพูนได้ ควรข่มเสียทันทีทันใดทีเดียว แล้วตรัสประกาศสัจจะทั้งหลาย ทรงประชุมชาดกในเวลาจบสัจจะ ภิกษุที่เหลือแม้ทั้ง ๕๐๐ รูป ก็ดำรงอยู่ในพระอรหัตตผล ในบรรดาภิกษุที่เหลือเล่า บางเหล่าก็ได้เป็นพระโสดาบัน บางเหล่าเป็นพระสกทาคามี บางเหล่าได้เป็นพระอนาคามี ก็ในกาลครั้งนั้น สิคาล (จิ้งจอก) ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ อรรถกถาสิคาลชาดกที่ ๘