พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๐. สัญชีวชาดก ว่าด้วยโทษที่ยกย่องอสัตบุรุษ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  20 ส.ค. 2564
หมายเลข  35556
อ่าน  378

[เล่มที่ 56] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 607

๑๐. สัญชีวชาดก

ว่าด้วยโทษที่ยกย่องอสัตบุรุษ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 56]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 607

๑๐. สัญชีวชาดก

ว่าด้วยโทษที่ยกย่องอสัตบุรุษ

[๑๕๐] "ผู้ใดยกย่องและคบหาอสัตบุรุษ อสัตบุรุษย่อมทำผู้นั้นแหละให้เป็นเหยื่อ เหมือนพยัคฆ์ที่สัญชีวมาณพชุบขึ้น ย่อมทำเขานั่นแลให้เป็นเหยื่อ ฉะนั้น".

จบ สัญชีวชาดกที่ ๑๐

อรรถกถาสัญชีวชาดกที่ ๑๐

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ทรงปรารภการยกย่องอสัตบุรุษของพระเจ้าอชาตศัตรู ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "อสนฺตํ โย ปคฺคณฺหาติ" ดังนี้.

ความพิสดารว่า พระเจ้าอชาตศัตรูนั้น ทรงเลื่อมใสในพระเทวทัตผู้ทุศีล มีบาปธรรม เป็นเสี้ยนหนามต่อพระพุทธองค์และพุทธสาวก ทรงยกย่องพระเทวทัตนั้น ผู้ไม่สงบระงับเป็นอสัตบุรุษ ทรงพระดำริว่าจักทำสักการะแก่เธอ ดังนี้แล้ว ทรงบริจาคทรัพย์เป็นอันมากให้สร้างวิหารที่คยาสีสประเทศ ทรง

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 608

เชื่อถ้อยคำของเธอ สำเร็จโทษพระราชบิดาผู้เป็นพระราชา ผู้ตั้งอยู่ในธรรม เป็นพระอริยสาวกชั้นพระโสดาบันเสีย ตัดรอนอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรคของพระองค์ ถึงความพินาศใหญ่หลวง ครั้นท้าวเธอทรงสดับว่า พระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบ ก็สะดุ้งตกพระทัยว่า ตัวเราเล่า จักถูกแผ่นดินสูบบ้างไหมหนอ ไม่ได้รับความสุขในราชสมบัติ ไม่ได้ประสบความยินดีบนพระแท่นบรรทม ทรงหวาดผวาอยู่เที่ยวไป เหมือนเปรตที่ถูกทรมานอย่างรุนแรง ท้าวเธอนึกเห็นเป็นเสมือนกำลังถูกแผ่นดินสูบ เหมือนเปลวเพลิงในอเวจีกำลังแลบออกมา และเหมือนพระองค์ถูกบังคับให้บรรทมหงายเหนือแผ่นดินเหล็กที่ร้อน แล้วถูกแทงด้วยหลาวเหล็กฉะนั้น ด้วยเหตุนั้น ขึ้นชื่อว่า ความสงบพระทัยแม้ชั่วครูจึงมิได้มีแก่พระองค์ ผู้หวาดผวาเหมือนไก่ที่ถูกเชือด ท้าวเธอมีพระประสงค์จะเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระประสงค์จะให้พระพุทธองค์ทรงอดโทษ ทั้งมีพระประสงค์จะทูลถามปัญหา แต่เพราะพระองค์มีความผิดอย่างใหญ่หลวง จึงมิอาจที่จะเข้าเฝ้าได้.

ครั้งนั้นประจวบกับพระนครราชคฤห์มีงานราตรีประจำเดือนกัตติกา ประชาชนพากันตกแต่งบ้านเมืองประหนึ่งเทพนคร พระเจ้าอชาตศัตรูแวดล้อมไปด้วยหมู่อำมาตย์ ประทับนั่งเหนือพระราชอาสน์ทองคำในท้องพระโรงหลวง ทอดพระเนตรเห็นหมอชีวกโกมารภัจนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง ได้ทรงมีพระปริวิตกว่า

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 609

เราจักชวนหมอชีวกไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราไม่อาจที่จะชวนไปตรงๆ ทีเดียวว่า ชีวกผู้สหาย เราไม่สามารถที่จะไปตามลำพังได้ มาเถิด เธอช่วยพาฉันไปเฝ้าพระศาสดาด้วยเถิด ดังนี้ ต้องพรรณาถึงความเพริดพริ้งงดงามแห่งยามราตรีแก่เขาด้วยปริยายเป็นอันมาก แล้วจึงค่อยกล่าวว่า ไฉนเล่าหนอ วันนี้พวกเราน่าจะเข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์ ที่เมื่อพวกเราเข้าไปหาท่าน จะพึงทำจิตใจให้ผ่องใสได้ ฟังคำนั้นแล้ว พวกอำมาตย์จักพากันพรรณนาคุณศาสดาทั้งหลายของตน ถึงหมอชีวกเล่า ก็คงจะกล่าวพรรณนาคุณแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจักชวนเขาไปสู่สำนักพระศาสดา ดังนี้ ท้าวเธอจึงพรรณนาราตรีกาล ด้วยบททั้ง ๕ ดังนี้.

"ชาวเราเอ๋ย คืนวันเพ็ญ เจิดจ้า แท้หนอ

ชาวเราเอ๋ย คืนวันเพ็ญ งามจริง ยิ่งหนอ

ชาวเราเอ๋ย คืนวันเพ็ญ น่าทัศนา จริงหนอ

ชาวเราเอ๋ย คืนวันเพ็ญ แจ่มใส จริงหนอ

ชาวเราเอ๋ย คืนวันเพ็ญ น่ารื่นรมย์ แท้หนอ".

วันนี้ใครเล่าหนอ ที่ชาวเราควรเข้าไปหา ท่านผู้ใดเล่าที่พวกเราเข้าไปหา จิตใจจะพึงเลื่อมใสได้ ครั้งนั้น อำมาตย์ผู้หนึ่ง กล่าวถึงคุณของปูรณกัสสป คนหนึ่งกล่าวถึงคุณของมักขลิโคศาล คนหนึ่งกล่าวถึงคุณของอชิตเกสกัมพล คนหนึ่งกล่าวคุณปกุทธกัจจายนะ คนหนึ่งกล่าวคุณของสญชัยเวลัฏฐบุตร

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 610

คนหนึ่งกล่าวคุณของนิครนถนาฏบุตร พระราชาทรงสดับคำของเขาเหล่านั้นแล้ว ได้ทรงดุษณีภาพด้วยว่า ท้าวเธอทรงปรารถนาถ้อยคำของมหาอำมาตย์ชีวกเท่านั้น ฝ่ายหมอชีวกดำริว่า เมื่อพระราชาตรัสกับเรานั่นแหละ เราจึงจักกราบทูล ดังนี้แล้วก็นั่งนิ่งอยู่ในที่ไม่ไกล ครั้งนั้น พระราชาจึงตรัสกะเขาว่า ดูก่อนสหายชีวก ท่านเล่าทำไมจึงนิ่งเสีย ขณะนั้น ชีวกก็ลุกจากอาสนะ ประณมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ กราบทูลว่า ขอเดชะ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น กำลังเสด็จประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของข้าพระองค์ กับภิกษุสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป ก็แลกิตติศัพท์อันงามอย่างนี้ เฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ระบือไปแล้ว พลางประกาศปาฏิหาริย์เก้าร้อยประการ อานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีบุรพนิมิตรตั้งแต่ประสูติเป็นต้นเป็นประเภท แล้วกราบทูลว่า ขอเชิญพระองค์ผู้สมมติเทพ เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงสดับธรรม ตรัสถามปัญหาเถิดพระเจ้าข้า พระราชาทรงมีพระมโนรถเต็มเปี่ยม ตรัสว่า สหายชีวก ถ้าเช่นนั้น เธอจงสั่งให้จัดแจงช้างเถิด ครั้นรับสั่งให้จัดเตรียมยานพาหนะแล้ว เสด็จดำเนินไปสู่ชีวกัมพวัน ด้วยราชานุภาพอันใหญ่หลวง ทอดพระเนตรเห็นพระตถาคตเจ้าแวดล้อมด้วยหมู่ภิกษุในโรงโถง ณ ชีวกัมพวันนั้น ทรงชำเลืองดูหมู่ภิกษุ ผู้ปราศจากการเคลื่อนไหว ประหนึ่ง

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 611

เรือใหญ่ในท่ามกลางทะเล ยามมีคลื่นลมสงบแล้ว ฉะนั้น โดยถ้วนทั่ว ทรงเลื่อมใสในอิริยาบถนั้นแล ด้วยทรงพระดำริว่า บริษัทเห็นปานดังนี้ เราไม่เคยเห็นเลย พลางประคองอัญชลีแด่พระสงฆ์ ตรัสชมเชย ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลถามปัญหาในสามัญญผล ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสามัญญผลสูตรประดับด้วยภาณวาร ๒ ภาณวาร แก่ท้าวเธอ ในเวลาจบพระสูตร ท้าวเธอดีพระทัย ทูลขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอดโทษ เสด็จลุกจากอาสนะ ทรงกระทำประทักษิณ แล้วเสด็จหลีกไป.

เมื่อพระราชาเสด็จไปแล้วไม่นาน พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชาองค์นี้ ถูกขุดเสียแล้ว ถูกโค่นเสียแล้ว ถ้าท้าวเธอจักไม่ปลงพระชนม์พระราชบิดา ผู้ประกอบด้วยธรรม เป็นราชาโดยธรรมเสีย เพราะมุ่งความเป็นใหญ่ไซร้ ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน จักบังเกิดในขณะประทับนั่งนี้ทีเดียว แต่ท้าวเธออาศัยพระเทวทัต ทำการยกย่องอสัตบุรุษ จึงเสื่อมเสียจากโสดาปัตติผล ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายยกเรื่องขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ได้ยินว่า พระเจ้าอชาตศัตรูเสื่อมเสียจากโสดาปัตติผล เพราะทำการยกย่องอสัตบุรุษ อาศัยพระเทวทัตผู้ทุศีล มีบาปธรรม ทรงกระทำปิตุฆาตกรรม เป็นพระราชาที่พระเทวทัตให้ฉิบหายแล้ว พระศาสดาเสด็จมา

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 612

ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่อชาตศัตรูทำการยกย่องอสัตบุรุษถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวง แม้ในกาลก่อนเธอก็ทำลายตนเสียด้วยการยกย่องอสัตบุรุษเหมือนกัน ทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ มีสมบัติมาก เจริญวัยแล้วไปสู่เมืองตักกสิลา เรียนสรรพศิลปวิทยา เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในพระนครพาราณสี บอกศิลปะแก่มาณพ ๕๐๐ คน ในมาณพเหล่านั้น มีมาณพคนหนึ่งชื่อ สัญชีวะ พระโพธิสัตว์ได้ให้มนต์ทำคนตายให้ฟื้นแก่เขา เขาเรียนแต่มนต์ทำคนตายให้ฟื้นอย่างเดียว ไม่ได้เรียนมนต์สำหรับป้องกัน วันหนึ่งไปป่าหาฟืนกับพวกเพื่อน เห็นเสือตายตัวหนึ่ง ก็พูดกะพวกมาณพว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เราจักทำเสือตายตัวนี้ให้ฟื้นขึ้น มาณพทั้งหลายกล่าวแย้งว่า ท่านจักไม่สามารถดอก เขากล่าวว่า เราจักทำให้มันฟื้นขึ้น ให้พวกท่านเห็นกันทุกคนทีเดียว พวกมาณพเหล่านั้น จึงกล่าวว่า ถ้าท่านสามารถ ก็จงปลุกให้มันตื่นขึ้นเถิด ครั้นกล่าวแล้ว ต่างรีบปีนขึ้นต้นไม้ สัญชีวมาณพร่ายมนต์แล้วขว้างเสือตายด้วยก้อนกรวด เสือลุกขึ้น โดดกัดสัญชีวมาณพที่ก้านคอ ทำให้สิ้นชีวิต ล้มลงตรงนั้นเอง

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 613

ทั้งคู่นอนตายอยู่ในที่เดียวกัน พวกมาณพพากันขนฟืนไปแล้ว แจ้งความเป็นไปนั้นแก่อาจารย์ อาจารย์จึงเรียกมาณพทั้งหลายมากล่าวว่า พ่อคุณทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า ผู้ที่ยกย่องอสัตบุรุษ กระทำสักการะและสัมมานะในที่อันไม่สมควร ย่อมกลับได้รับทุกข์เห็นปานนี้ทั้งนั้น แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า.

"ผู้ใดยกย่องและคบหาอสัตบุรุษ อสัตบุรุษย่อมทำผู้นั้นแหละให้เป็นเหยื่อ เหมือนพยัคฆ์ที่สัญชีวมาณพชุบขึ้น ย่อมทำเขานั่นแลให้เป็นเหยื่อ ฉะนั้น" ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสนฺตํ ได้แก่ ผู้ทุศีล มีบาปธรรม ประกอบด้วยทุจริตทั้ง ๓ ประการ.

บทว่า โย ปคฺคณฺหาติ ความว่า บรรดาชนมีกษัตริย์เป็นต้น ผู้ใดผู้หนึ่งยกย่อง คือทำสักการะ สัมมานะ อสัตบุรุษผู้ทุศีลเห็นปานนี้ ที่เป็นบรรพชิต ด้วยการถวายปัจจัยมีจีวรเป็นต้น ที่เป็นคฤหัสถ์ด้วยการให้ครอบครองตำแหน่งอุปราชและเสนาบดีเป็นต้น.

บทว่า อสนฺตํ จูปเสวติ ความว่า อนึ่งเล่าผู้ใดย่อมเข้าไปซ่องเสพ คบหา สนิทสนม อสัตบุรุษผู้ทุศีลเห็นปานนี้.

บทว่า ตเมว ฆาสํ กุรุเต ความว่า บุคคลชั่วผู้ทุศีลนั้น ย่อมกัดผู้นั้น คือผู้ที่ยกย่องอสัตบุรุษนั้นแล กินเสีย ได้แก่ ทำผู้นั้นให้ถึงความพินาศ.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 614

เช่นไรเล่า.

เหมือนพยัคฆ์ที่คืนชีพ เพราะมาณพชุบขึ้น อธิบายว่า พยัคฆ์ที่ตายคืนชีพได้โดยที่สัญชีวมาณพร่ายมนต์ยกย่องด้วยการมอบชีวิตให้ กลับปลงชีพสัญชีวมาณพผู้ให้ชีวิตแก่มัน ให้ล้มลงตรงนั้นเอง ฉันใด แม้ผู้อื่นก็ฉันนั้น ผู้ใดทำการยกย่องอสัตบุรุษ อสัตบุรุษทุศีลนั้น ย่อมทำลายล้างผู้ที่ยกย่องตนนั้นเสียทีเดียว พวกชนที่ยกย่องอสัตบุรุษ ย่อมพากันถึงความพินาศ ด้วยประการฉะนี้.

พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่มาณพทั้งหลายด้วยคาถานี้ กระทำบุญมีให้ทานเป็นต้น แล้วก็ไปตามยถากรรม.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า มาณพผู้ทำเสือตายให้ฟื้นในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเจ้าอชาตศัตรูในบัดนี้ ส่วนอาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ สัญชีวชาดกที่ ๑๐

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 615

รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. โคธชาดก ๒. สิคาลชาดก ๓. วิโรจนชาดก ๔. นังคุฏฐชาดก ๕. ราธชาดก ๖. กากชาดก ๗. ปุปผรัตตชาดก ๘. สิคาลชาดก ๙. เอกปัณณชาดก ๑๐. สัญชีวชาดก.

จบ กกัณฏกวรรคที่ ๑๕

รวมชาดกที่มีในเอกนิบาตนี้ คือ

๕. อัตถกกามวรรค ๖. อาสิงสวรรค ๗. อิตถีวรรค ๘. วรุณวรรค ๙. อปายิมหวรรค ๑๐. ลิตตวรรค ๑๑. ปโรสตวรรค ๑๒. หังสิวรรค ๑๓. กุสินาฬิวรรค ๑๔. อสัมปทานวรรค ๑๕. กกัณฏกวรรค

จบ เอกนิบาต