๓. สุสีมชาดก ว่าด้วยพระเจ้าสุสีมะ
[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 85
๓. สุสีมชาดก
ว่าด้วยพระเจ้าสุสีมะ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 57]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 85
๓. สุสีมชาดก
ว่าด้วยพระเจ้าสุสีมะ
[๑๗๕] ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าสุสีมะ ช้างสีดำมีงาขาวประมาณ ๑๐๐ เชือกเศษนี้ประดับด้วยข่ายทองเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงระลึกถึงการกระทำแห่งพระบิดา และพระอัยยกาของพระองค์อยู่เนืองๆ ตรัสว่า เราจะให้ช้างเหล่านั้นแก่พราหมณ์เหล่าอื่น ดังนี้ เป็นความจริงหรือพระเจ้าข้า.
[๑๗๖] ดูก่อนพ่อมาณพ ช้างสีดำมีงาขาวประมาณ ๑๐๐ เชือกเศษนี้ประดับด้วยข่ายทองซึ่งเป็นของเรา เราระลึกถึงการกระทำแห่งพระบิดาและพระอัยยกาอยู่เนืองๆ พูดว่า เราจะให้ช้างเหล่านั้นแก่พราหมณ์เหล่าอื่น ดังนี้เป็นความจริง.
จบ สุสีมะชาดกที่ ๓
อรรถกถาสุสีมชาดกที่ ๓
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหารทรงปรารภการถวายทานตามความพอใจ ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 86
ต้นว่า กาฬา มิคา เสตทนฺตา ตว อิเม ดังนี้.
ความพิสดารมีอยู่ว่า ในกรุงสาวัตถี บางคราวสกุลเดียวเท่านั้นถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข. บางคราวมากคนด้วยกันรวมกันถวายเป็นคณะ. บางคราวถวายตามสายถนน. บางคราวชาวเมืองทั้งสิ้นร่วมฉันทะกันถวายทาน. แต่ในครั้งนี้ ชาวเมืองร่วมฉันทะกันเตรียมถวายบริขารทุกชนิด แบ่งออกเป็นสองพวก พวกหนึ่งพูดว่า พวกเราจักถวายทานพร้อมด้วยบริขารทุกชนิดนี้แก่อัญญเดียรถีย์ พวกหนึ่งพูดว่า เราจักถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข. เมื่อการโต้เถียงกันเป็นไปเนืองๆ อย่างนี้ พวกสาวกอัญญเดียรถีย์ก็ว่า ถวายแก่อัญญเดียรถีย์เท่านั้น พวกสาวกของพระพุทธเจ้าก็ว่า ถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเท่านั้น ครั้นคำที่ว่าเราจักกระทำมีมาก พวกที่พูดว่า เราจักถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขก็มีมากเป็นธรรมดา ถ้อยคำของ คนเหล่านั้นก็ยุติ. พวกสาวกของอัญญเดียรถีย์ไม่อาจจะทำอันตรายแก่ทานที่ควรถวายแด่พระพุทธเจ้าได้. ชาวเมืองจึงนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข พากันบำเพ็ญมหาทานตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ ได้ถวายเครื่องบริขารทุกชนิด. พระศาสดาทรงกระทำอนุโมทนา ให้มหาชนตื่นด้วยมรรคผล แล้วจึงเสด็จไปยังเชตวันมหาวิหาร. เมื่อภิกษุสงฆ์แสดงวัตรจึงเสด็จประทับยืนที่หน้ามุขพระคันธกุฏีประทานสุคโตวาท แล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 87
เสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฏี. ในตอนเย็นภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนาในโรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกสาวกของอัญญเดียรถีย์ แม้พยายามจะทำอันตรายแก่ทานที่ควรถวายแด่พระพุทธเจ้าก็ไม่อาจจะทำอันตรายได้. การถวายเครื่องบริขารทั้งปวงนั้นมาถึงบาทมูลของพระพุทธเจ้าทั้งหมด. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกสาวกของอัญญเดียรถีย์เหล่านี้ ได้พยายามเพื่อทำอันตรายทานที่ควรแก่เรา มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็พยายาม อนึ่งเครื่องบริขารนั้นก็มาถึงแทบบาทมูลของเราทุกครั้งแล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาลที่กรุงสาวัตถี ได้มีพระราชาพระนามว่าสุสีมะในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในครรภ์ของพราหมณีของปุโรหิตของพระองค์. เมื่อพระโพธิสัตว์มีอายุได้ ๑๖ ปี บิดาได้ถึงแก่กรรม. อนึ่งปุโรหิตนั้นขณะยังมีชีวิตอยู่ได้เป็นผู้กระทำมงคลแก่ช้างของพระราชา. เขาได้เครื่องอุปกรณ์และเครื่องประดับช้างทุกอย่างที่มีผู้นำมาในที่ทำการมงคลแก่ช้างทั้งหลาย. ในการมงคลครั้งหนึ่งๆ ทรัพย์สินประมาณหนึ่งโกฏิเกิดขึ้นแก่เขา. ต่อมาเมื่อเขาถึงแก่กรรมมหรสพในการมงคลช้างได้มาถึง. พวกพราหมณ์อื่นๆ เข้าไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช มหรสพในการมงคลช้างได้มาถึงแล้ว ควรประกอบพิธี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 88
มงคล แต่บุตรของพราหมณ์ปุโรหิตยังเด็กนักไม่รู้ไตรเพท ไม่รู้สูตรกล่อมช้าง พวกข้าพระพุทธเจ้าจักทำการมงคลช้างกันเองพระเจ้าข้า. พระราชาทรงรับว่าดีแล้ว. พวกพราหมณ์ต่างพากันรื่นเริงยินดีเดินไปมาด้วยคิดว่า พวกเราไม่ให้บุตรปุโรหิตทำการมงคลช้าง จักทำเสียเองแล้วก็จะได้รับทรัพย์ ครั้นถึงวันที่สี่จักมีการมงคลช้าง เพราะฉะนั้นมารดาของพระโพธิสัตว์สดับข่าวนั้น จึงเศร้าโศกคร่ำครวญว่า ขึ้นชื่อว่าการทำการมงคลแก่ช้างเป็นหน้าที่ของเราเจ็ดชั่วตระกูลแล้ว วงศ์ของเราจักเสื่อม และเราจักเสื่อมจากทรัพย์ด้วย. พระโพธิสัตว์ถามว่า ร้องไห้ทำไมแม่ ครั้นได้ฟังเหตุการณ์นั้นแล้ว จึงปลอบว่า แม่จ๋า แม่อย่าเศร้าโศกไปเลย บางทีลูกจักทำการมงคลเอง. มารดาพูดว่า ลูกแม่ ลูกไม่รู้ไตรเพท ไม่รู้สูตรกล่อมช้าง ลูกจักทำการมงคลได้อย่างไร. พระโพธิสัตว์ถามว่า แม่จ๋าเมื่อไร เขาจักทำการมงคลช้างกัน. มารดาตอบว่า ในวันที่สี่จากนี้ไปแหละลูก. พระโพธิสัตว์ถามว่า แม่จ๋า อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญไตรเพทสูตรกล่อมช้างอยู่ที่ไหนเล่าแม่. มารดาบอกว่า ลูกรักอาจารย์ทิศาปาโมกข์เช่นว่านี้อยู่ในเมืองตักกศิลา แคว้นคันธาระสุดทางจากนี้ไปร้อยยี่สิบโยชน์. พระโพธิสัตว์ปลอบมารดาว่า แม่จ๋าลูกจะไม่ยอมให้วงศ์ของเราพินาศ พรุ่งนี้ลูกจะไปเมือง ตักกสิลา เดินทางวันเดียวก็ถึงเรียนไตรเพทและสูตรกล่อมช้างเพียงคืนเดียวเท่านั้น รุ่งขึ้นจะกับมาทำการมงคลช้างในวันที่สี่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 89
ในวันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์บริโภคอาหารแต่เช้า ออกเดินทางคนเดียว เพียงวันเดียวก็ถึงเมืองตักกสิลา เข้าไปไหว้อาจารย์แล้วนั่งอยู่ข้างหนึ่ง. ลำดับนั้นอาจารย์ถามพระโพธิสัตว์ว่า เจ้ามาจากไหนเล่าพ่อ. จากกรุงพาราณสีขอรับท่านอาจารย์. ต้องการอะไรเล่า. ต้องการเรียนไตรเพทและสูตรกล่อมช้างในสำนักของท่านอาจารย์ขอรับ. ดีละ เรียนเถิดพ่อ. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ท่านอาจารย์ขอรับ งานของกระผมค่อนข้างด่วนมาก แล้วก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทราบ กล่าวว่า กระผมมาเป็นระยะทางร้อยยี่สิบโยชน์ เพียงวันเดียวเท่านั้น วันนี้ขอท่านอาจารย์ให้โอกาสแก่กระผมเพียงคืนเดียวเท่านั้น ในวันที่สามจากวันนี้จักมีการมงคลช้าง กระผมขอเรียนทุกวิชาเพียงแต่หัวข้ออย่างเดียวเท่านั้น ครั้นอาจารย์ให้โอกาส จึงล้างเท้าอาจารย์วางถุงทรัพย์พันหนึ่งไว้ข้างหน้าอาจารย์ ไหว้แล้วนั่งลงข้างหนึ่ง เริ่มศึกษา พออรุณ ขึ้นก็เรียนจบไตรเพทและสูตรกล่อมช้าง จึงถามว่า ยังมีสิ่งอื่นๆ อีกหรือท่านอาจารย์ เมื่ออาจารย์กล่าวว่า ไม่มีแล้ว จบหมดแล้ว ยังสอบทานศิลปะให้อาจารย์ฟังว่า ท่านอาจารย์ในคัมภีร์นี้มีบทขาดหายไปเท่านี้ มีที่เลอะเลือนเพราะสาธยายไปเท่านี้ ตั้งแต่นี้ไปท่านพึงบอกอันเตวาสิกทั้งหลายอย่างนี้ เสร็จแล้วบริโภคอาหารแต่เช้าตรู่ไหว้อาจารย์กลับไปกรุงพาราณสีเพียงวันเดียวเท่านั้น แล้วไปไหว้มารดา เมื่อมารดาถามว่า เรียนศิลปะจบแล้วหรือลูก บอกว่า จบแล้วจ้ะแม่ ทำให้มารดาปลาบปลื้มมาก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 90
วันรุ่งขึ้นเขาเตรียมงานมหรสพมงคลช้างกันเป็นการใหญ่ ประชาชนต่างจัดเตรียมช้างของตนๆ สวมเครื่องประดับแล้วด้วยทองคำ ผูกธงแล้วด้วยทองคำ คลุมด้วยตาข่ายทอง. ตกแต่งกันที่พระลานหลวง. พวกพราหมณ์ก็ประดับประดารอท่าตั้งใจว่า พวกเราจักทำการมงคลช้าง. แม้พระเจ้าสุสีมะก็ทรงเต็มยศ ให้ข้าราชบริพารถือเครื่องอุปกรณ์เสด็จไปยังมงคลสถาน. แม้พระโพธิสัตว์ก็ตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับอย่างเด็ก มีบริษัทของตนห้อมล้อมเป็นบริวาร ไปยังสำนักของพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ได้ทราบข่าวว่าพระองค์ทรงทำวงศ์ของข้าพระพุทธเจ้าและของพระองค์เองให้พินาศแล้วได้รับสั่งว่า เราจะให้พราหมณ์อื่นทำการมงคลช้างแล้วมอบเครื่องประดับช้างและเครื่องอุปกรณ์ให้จริงหรือพระพุทธเจ้า แล้วกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า สุสีมะ ช้างสีดำมีงาขาวประมาณร้อยเชือกเหล่านี้ ประดับด้วยข่ายทองเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงระลึกถึงการกระทำของพระบิดาและพระอัยยกาอยู่เนืองๆ ตรัสว่า เราจะให้ช่างเหล่านี้แก่พราหมณ์เหล่าอื่นดังนี้ เป็นความจริงหรือ พระเจ้าข้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 91
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตเต ททามีติ สุสีม พฺรูสิ ความว่า เราให้ช้างเหล่านี้แก่ท่าน คือในสำนักของท่าน. อธิบายว่า เราจะให้ช้างซึ่งประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวงประมาณร้อยเชือก จำพวกสีดำงาขาวแก่พราหมณ์เหล่าอื่น. ข้าแต่พระราชาสุสีมะ พระองค์ตรัสอย่างนี้เป็นความจริงหรือ. บทว่า อนุสฺสรํ เปตฺติปิตามหานํ ความว่า ทรงระลึกถึงการกระทำของพระบิดาและพระอัยยกาเนืองๆ ในวงศ์ของข้าพระพุทธเจ้าและ ของพระองค์เอง. ข้อนี้ท่านอธิบายว่า ข้าแต่มหาราช บิดาและปู่ของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายกระทำมงคลช้างแก่พระชนกและพระอัยยกาของพระองค์จนเจ็ดชั่วตระกูล พระองค์แม้ทรงระลึกได้อย่างนี้ ก็ยังทำวงศ์ของข้าพระองค์ทั้งหลายและของพระองค์ให้พินาศ นัยว่ารับสั่งอย่างนี้จริงหรือ.
พระเจ้าสุสีมะทรงสดับคำของพระโพธิสัตว์ จึงตรัสคาถาที่สองว่า :-
ดูก่อนมาณพ ช้างสีดำมีงาขาวประมาณร้อยเชือกเหล่านี้ ประดับด้วยข่ายทองซึ่งเป็นของเรา เราระลึกถึงการกระทำของพระบิดาและพระอัยยกาอยู่ เนืองๆ พูดว่า ว่าเราจะให้ช้างเหล่านั้นแก่พราหมณ์เหล่าอื่น ดังนี้ เป็นความจริง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 92
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตเต ททามิ ความว่า ดูก่อนมาณพ เราพูดว่า เราจะให้ช้างเหล่านี้แก่พราหมณ์ทั้งหลายเป็นความจริงทีเดียว. อธิบายว่า เราพูดกะพราหมณ์เหล่านั้นว่า เราจะให้ช้างเหล่านี้แก่พราหมณ์ทั้งหลายเป็นความจริง. บทว่า อนุสฺสรํ ความว่า เรายังระลึกได้ถึงกิริยาของพระบิดาและพระ เจ้าปู่อยู่เสมอ มิใช่ระลึกไม่ได้. พระราชารับสั่งอย่างนั้น โดยทรงชี้แจงว่า แม้เราระลึกได้ว่า บิดาและปู่ของเจ้ากระทำพิธีมงคลช้าง แก่พระบิดาและพระอัยยกาของเรา ก็ยังพูดอย่างนี้อีกเป็นความจริง.
ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อพระองค์ยังทรงระลึกถึงวงศ์ของพระองค์และของข้าพระองค์ได้ เพราะเหตุไรพระองค์จึงทิ้งข้าพระองค์เสีย แล้วให้ผู้อื่นกระทำการมงคลช้างเล่าพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า นี่แน่เจ้าพวกพราหมณ์เขาบอกเราว่า นัยว่าเจ้าไม่รู้ไตรเพทและสูตรกล่อมช้าง. เพราะฉะนั้นเราจึงให้พวกพราหมณ์อื่นทำพิธี. พระโพธิสัตว์บรรลือสีหนาทว่า ข้าแต่มหาราช บรรดาพราหมณ์ทั้งหมดนี้ แม้สักคนหนึ่งผิว่าสามารถเจรจากับข้าพระองค์ได้ในพระเวทก็ดี ในพระสูตรก็ดีมีอยู่ จงลุกขึ้นมา พราหมณ์อื่นนอกจากข้าพระพุทธเจ้า ชื่อว่ารู้ไตรเพทและสูตรกล่อมช้างพร้อมด้วยวิธีทำการมงคลช้าง ไม่มีเลยทั่วชมพูทวีป. พราหมณ์แม้สักคนหนึ่งก็ไม่สามารถลุกขึ้นเป็นคู่แข่งกับพระโพธิสัตว์ได้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 93
พระโพธิสัตว์ครั้นดำรงตระกูลวงศ์ของตนให้มั่นคงแล้ว จึงกระทำการมงคล ถือเอาทรัพย์เป็นอันมากกลับไปยังที่อยู่.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประกาศสัจธรรม ทรงประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรมแล้ว ชนบางพวก ได้เป็นโสดาบัน. บางพวกได้พระสกทาคามี บางพวกได้เป็นพระอนาคามี บางพวกได้บรรลุพระอรหัต. มารดาในครั้งนั้นได้เป็นมหามายาในครั้งนี้ บิดาได้เป็นพระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระราชาสุสีมะได้เป็นอานนท์ อาจารย์ทิศาปาโมกข์ ได้เป็นโมคคัลลานะ ส่วนมาณพ คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาสุสีมชาดกที่ ๓