การแผ่เมตตา
การเจริญเมตตาสามารถเจริญได้ทุกขณะ ไม่เลือกเวลาหรือสถานที่ ขึ้นอยู่ที่ความเข้าใจ แต่ขณะใดที่จิตเป็นอกุศล คือขณะที่เป็นโลภะ โทสะ โมหะ ขณะที่มีความติดข้องในกาม ขณะนั้นไม่มีเมตตา เมื่อไม่มีเมตตา ย่อมแผ่เมตตาไม่ได้ คือในเบื้องต้นต้องเจริญเมตตาจนมีกำลังมากก่อน จึงแผ่ไปทั่วทุกทิศในภายหลัง
เมตตาเป็นสิ่งที่ดีที่ควรเจริญกับทุกคน แต่ยังไม่ต้องไปถึงกับแผ่เมตตาหรอก เพราะผู้ที่จะแผ่เมตตาได้จริงๆ จะต้องเป็นผู้ที่ได้ปฐมฌานขึ้นไป ในชีวิตประจำวันเราได้เจอคนมากมาย เช่น ตามท้องถนน เรามีความเป็นมิตรกับทุกคนไหม หรือว่าบางคนเราเห็นแล้วเฉยๆ
ผู้ที่จะแผ่เมตตาได้ ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีปกติอยู่ด้วยเมตตา มีการอบรมความสงบของจิตที่เป็นสมถด้วยการเจริญพรหมวิหาร จนถึงขั้นอุปจารและอัปปนา ระงับนิวรณธรรมทั้ง ๕ เป็นผู้สงัดจากกาม จากอกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเป็นเหตุแห่งความไม่สงบ ขณะที่กำลังเสพเมถุนธรรม ขณะนั้นเป็นอกุศล เป็นกามฉันทะนิวรณ์ จิตย่อมไม่สงบ ไม่ประกอบด้วยเมตตา ย่อมแผ่เมตตาออกไปไม่ได้
ขอกราบอนุโมทนาบุญ ที่ทุกท่านได้ให้ความกระจ่าง เรื่องการแผ่เมตตา กรณีถ้ายังปฏิบัติไม่ถึงขั้นอุปจาร และอัปปนา แต่มีแค่ขณิกสมาธิอยากแผ่เมตตาให้คนอื่น ด้วยความปรารถนาดีและมีจิตที่เป็นกุศล ต้องการให้เขาพ้นทุกข์ มีความสุข จะได้หรือไม่
ขณะที่มีเมตตาเพียงชั่วขณะจิต ขณะนั้นเป็นจิตที่มีเมตตา และขณะที่คิดที่จะให้คนอื่นมีความสุข ที่คุณเรียกว่าแผ่เมตตา ขณะนั้นก็เป็นเพียงกุศลจิตที่ประกอบด้วยเมตตาความหวังดี เพียงชั่วขณะจิตซึ่งไม่เรียกว่าแผ่ครับ แค่มีจิตหวังดีกับคนอื่น ทั่วๆ ไปเท่านั้นเอง แต่การจะแผ่ได้กับทุกคน และเหล่าสัตว์ทั้งหลายต้องระดับ อัปปนาสมาธิ ขั้นฌาณครับ ขอให้อบรมเมตตาในชีวิตประจำวันนะครับ คนใกล้ตัวเรามีเมตตากับเขาหรือยัง ให้อภัยเขาได้ไหม ถ้าเขาทำผิด หวังดีกับเขาไหม แค่นี้ก่อนครับ ยังไม่ต้องไปแผ่กับคนอื่นหรอกครับ
เรื่อง จะแผ่เมตตากับเหล่าสัตว์ทั้งหลาย ต้องถึงอัปปนาสมาธิ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 788
ข้อความบางตอนจาก อรรถกถา เวลามสูตร
บทว่า เมตฺตจิตฺต ได้แก่ จิตที่แผ่ตามไปเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวง.
แต่จิตนั้นท่านถือเอาแล้วด้วยอำนาจอัปปนาเท่านั้น.
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอถามว่า การที่มีกุศลจิตเมตตาผู้อื่น กับการแผ่เมตตา ต่างกันอย่างไร มีผลแตกต่างกันอย่างไร และการแผ่เมตตามีจุดประสงค์เพื่ออะไรครับ
ขอถามว่า การที่มีกุศลจิตเมตตาผู้อื่น กับการแผ่เมตตา ต่างกันอย่างไร มีผลแตกต่างกันอย่างไร และการแผ่เมตตามีจุดประสงค์เพื่ออะไรครับ
๑. การที่มีกุศลจิตเมตตาผู้อื่น กับการแผ่เมตตา ต่างกันอย่างไร กุศลก็มีระดับกำลังความมากน้อยต่างกัน เช่น ขุ่นใจเล็กน้อย ก็เป็นโทสะ ผูกอาฆาตก็เป็นโทสะ แต่เป็นคนละระดับกันกับประการแรก ฉันใด เมตตาก็เป็นกุศลที่มีหลายระดับ ตามกำลังปัญญา กุศลจิตที่หวังดีก็เป็นเมตตา แต่เกิดขึ้นขณะเดียวแล้วก็ดับไป ไม่มีกำลัง แต่กุศลจิตที่เป็นเมตตาที่อบรมบ่อยๆ จนตั้งมั่นอย่างมากถึงระดับอัปนาสมาธิ (ณาณ) ก็มีกำลังจนสามารถแผ่ไปได้กับสัตว์ทุกหมู่เหล่า เพราะมีกำลัง แต่กุศลจิตเมตตาเพียงเล็กน้อย ยังแผ่ไม่ได้เพราะไม่มีกำลัง และก็ยังมีคนไม่ชอบจริงๆ ใช่ไหม และจะแผ่ได้อย่างไรครับ
๒. มีผลแตกต่างกันอย่างไร กุศลจิตที่มีกำลังก็ย่อมให้วิบากที่ดีกว่าและสามารถระงับโทสะได้นานกว่า
๓. การแผ่เมตตามีจุดประสงค์เพื่ออะไรครับ เพื่อระงับโทสะที่เกิดขึ้นกับตนเอง และระงับโทสะข่มไว้ด้วยกำลังฌาณ (ชั่วคราว)
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 320
ธรรมสำหรับละพยาบาท
อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการย่อมเป็นไป เพื่อละพยาบาท คือ
๑. การกำหนดนิมิตในเมตตาเป็นอารมณ์
๒. การประกอบเนืองๆ ซึ่งเมตตาภาวนา
๓. การพิจารณาถึงความที่สัตว์มีกรรมเป็นของๆ ตน
๔. การทำให้มากซึ่งการพิจารณา
๕. ความมีกัลยาณมิตร
๖. การพูดแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย.
จริงอยู่ แม้เมื่อภิกษุกำหนดเมตตากัมมัฏฐาน ด้วยการแผ่เมตตาไปทั่วทิศโดยเจาะจงหรือไม่เจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมละพยาบาทได้.
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เรื่องการแผ่เมตตา ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยากจริงๆ ถ้าเรายังขัดเกลาตัวเองไม่ได้ คงทำได้แค่มีความเป็นมิตรและมีความปรารถนาที่ดีต่อกันเท่านั้น สำหรับฆราวาสอย่างเรา