๙. อรกชาดก ว่าด้วยการแผ่เมตตา
[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 117
๙ . อรกชาดก
ว่าด้วยการแผ่เมตตา
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 57]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 117
๙. อรกชาดก
ว่าด้วยการแผ่เมตตา
[๑๘๗] ผู้ใดแล ย่อมอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งปวง ด้วยจิตเมตตาหาประมาณมิได้ ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ และเบื้องขวาง โดยประการทั้งปวง.
[๑๘๘] จิตเกื้อกูลหาประมาณมิได้ เป็นจิตบริบูรณ์อันผู้นั้นอบรมดีแล้ว กรรมใดที่เขาทำแล้วพอประมาณ กรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ในจิตนั้น.
จบ อรรถกถาชาดกที่ ๙
อรรถกถาชาดกที่ ๙
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภเมตตสูตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า โย เว เมตฺเตน จิตฺเตน ดังนี้.
สมัยหนึ่งพระศาสดาตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อได้ซ่องเสพเจริญเมตตาเจโตวิมุตติทำให้มาก ทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ไม่ให้ฟุ้งซ่าน สั่งสมเริ่มไว้ด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ ประการ คือ หลับเป็นสุข ๑ ตื่นเป็นสุข ๑ ไม่ฝันร้าย ๑ เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย ๑ เป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 118
ที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย ๑ เทวดาย่อมรักษา ๑ ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ไม่ล่วงเกิน ๑ จิตได้สมาธิเร็ว ๑ สีหน้าผ่องใส ๑ ไม่หลงทำกาลกิริยา ๑ เมื่อยังไม่บรรลุ ย่อมเข้าถึงพรหมโลกชั้นสูง ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อได้ส้องเสพอบรมเมตตาเจโตวิมุตติ ฯเปฯ สั่งสมไว้ด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ ประการเหล่านี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุพึงอบรมเมตตาภาวนาซึ่งยึดอานิสงส์ ๑๑ ประการเหล่านี้ เจริญเมตตาไปในสัตว์ทุกชนิด โดยเจาะจงและไม่เจาะจง พึงมีจิตเกื้อกูลแผ่ไปยังสัตว์ทั้งที่มีจิตเกื้อกูล พึงมีจิตเกื้อกูลแผ่ไปยังสัตว์ทั้งที่ไม่มีจิตเกื้อกูล พึงมีจิตเกื้อกูลแผ่ไปยังสัตว์ทั้งที่มีอารมณ์เป็นกลาง พึงเจริญเมตตาในสรรพสัตว์ โดยเจาะจงและไม่เจาะจงอย่างนี้ พึงเจริญ กรุณา มุทิตา อุเบกขา พึงปฏิบัติในพรหมวิหาร ๔ เพราะเมื่อทำอย่างนี้ แม้ไม่ได้มรรคหรือผล ก็ยังมีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า. แม้โบราณกาลบัณฑิตทั้งหลาย เจริญเมตตาตลอด ๗ ปี แล้วสถิตอยู่ในพรหมโลกนั่นเอง ตลอด ๗ สังวัฏฏกัปและวิวัฏฏกัป แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาเล่า.
ในอดีตกาล ในกัปหนึ่งพระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ครั้นเจริญวัยจึงละกามสุขบวชเป็นฤาษี เป็นครูชื่อ อรกะ ได้พรหมวิหาร ๔ พำนักอยู่ในหิมวันตประเทศ. ครูอรกะมีบริวารมาก เมื่อจะสอนหมู่ฤๅษีจึงประกาศอานิสงส์เมตตาว่า ธรรมดาบรรพชิตควรเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 119
เพราะเหตุชื่อว่า จิตเมตตานี้เมื่อถึงความเป็นจิตแน่วแน่แล้ว ย่อมให้สำเร็จทางไปพรหมโลก ดังนี้ จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
ผู้ใดแลย่อมอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งปวง ด้วยจิตเมตตาหาประมาณมิได้ ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ และเบื้องขวาง โดยประการทั้งปวง จิตเกื้อกูลหาประมาณมิได้ เป็นจิตบริบูรณ์อันผู้นั้นอบรมดีแล้ว กรรมใดที่เขาทำแล้วพอประมาณ กรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ในจิตนั้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า โย เว เมตฺเตน จิตฺเตน สพฺพโลกานุกมฺปติ. ความว่า บรรดากษัตริย์เป็นต้น หรือสมณพราหมณ์ผู้ใดผู้หนึ่ง มีจิตเมตตาอย่างแนบแน่น ย่อมอนุเคราะห์สัตวโลกทั่วไป. บทว่า อุทฺธํ คือตั้งแต่เบื้องล่างของพื้นปฐพี จนถึงพรหมโลกชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ. บทว่า อโธ คือเบื้องล่างของปฐพี จนถึงอุสสทมหานรก. บทว่า ติริยํ คือในมนุษยโลก ได้แก่ ในจักรวาลทั้งหมด อธิบายว่า เจริญเมตตาจิตอย่างนี้ว่า ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดในที่ประมาณเท่านี้ จงอย่ามีเวร อย่าเบียดเบียนกัน อย่ามีความคับแค้น จงมีความสุขรักษาตนเถิด. บทว่า อปฺปมาเณน คือ ชื่อว่า ไม่มีประมาณเพราะยึดสัตว์หาประมาณมิได้เป็นอารมณ์. บทว่า สพฺพโส คือโดยอาการ ทั้งปวง. อธิบายว่า โดยอำนาจแห่งสุคติและทุคติทั้งปวงอย่างนี้ คือ เบื้องบน เบื้องล่าง และเบื้องขวาง. บทว่า อปฺปมาณํ หิตํ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 120
จิตฺตํ ได้แก่ จิตเกื้อกูลในสรรพสัตว์ที่อบรมทำให้ไม่มีประมาณ. บทว่า ปริปุณฺณํ คือไม่บกพร่อง. บทว่า สุภาวิตํ คือเจริญดีแล้ว. บทนี้เป็นชื่อของจิตที่ไม่มีประมาณ. บทว่า ยํ ปมาณํ กตํ กมฺมํ ความว่า กรรมเล็กน้อย คือกรรมเป็นกามาวจรที่อบรมแล้ว ด้วยอำนาจเมตตาภาวนามีอารมณ์เป็นที่สุด และด้วยอำนาจ การถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างนี้ว่า กรรมใดไม่มีประมาณ มีอารมณ์ไม่มีประมาณ. บทว่า น ตํ ตตฺราวสิสฺสติ. ความว่า กรรมเล็กน้อยนั้น คือกรรมเป็นรูปาวจรซึ่งนับว่า จิตอันเกื้อกูลไม่มีประมาณนั้นไม่เหลืออยู่ในจิตนั้น. อธิบายว่า เหมือนน้ำน้อยที่ถูกห้วงน้ำใหญ่ไหลบ่าเข้ามา จะถูกห้วงน้ำนั้นพัดพาไปมิได้ ย่อมไม่เหลืออยู่ คือตั้งอยู่มิได้ภายในห้วงน้ำ ที่แท้ห้วงน้ำใหญ่หุ้มห่อน้ำนั้นไว้ฉันใด กรรมอันเล็กน้อยก็ฉันนั้น ไม่มีโอกาสแห่งผลที่กรรมเป็นของใหญ่จะกำหนดยึดไว้ได้ ย่อมไม่เหลืออยู่ คือ ไม่ดำรงอยู่ ไม่สามารถให้ผลของตน ภายในกรรมอันเป็นของใหญ่นั้นได้ ที่แท้กรรมอันเป็นของใหญ่เท่านั้น ย่อมหุ้มห่อกรรม นั้น คือให้ผล.
พระโพธิสัตว์ครั้นกล่าวถึงอานิสงส์เมตตาภาวนาแก่ อันเตวาสิกทั้งหลายอย่างนี้แล้ว เป็นผู้ไม่เสื่อมจากฌาน จึง บังเกิดในพรหมโลก มิได้กลับมายังโลกนี้อีกตลอด ๗ สังวัฏฏกัป และวิวัฏฏกัป.