พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๗. ตินทุกชาดก ว่าด้วยอุบาย

 
บ้านธัมมะ
วันที่  21 ส.ค. 2564
หมายเลข  35591
อ่าน  442

[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 151

๗. ตินทุกชาดก

ว่าด้วยอุบาย


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 57]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 151

๗. ตินทุกชาดก

ว่าด้วยอุบาย

[๒๐๓] มนุษย์ทั้งหลายมีมือถือแล่งธนู ถือดาบอันคมแล้ว พากันมาแวดล้อมพวกเราได้โดยรอบ ด้วยอุบายอย่างไรพวกเราจึงจะรอดพ้นไปได้.

[๒๐๔] ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง จะพึงเกิดมีแก่มนุษย์ทั้งหลายผู้มีกิจมากเป็นแน่ ยังมีเวลาพอที่จะเก็บเอาผลไม้มากินได้ ท่านทั้งหลาย จงพากันกินผลมะพลับเถิด.

จบ ตินทุกชาดกที่ ๗

อรรถกถาตินทุกชาดกที่ ๗

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภพระปัญญาบารมี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ธนุหตฺถกลาเปหิ ดังนี้.

ความพิสดารมีอยู่ว่า พระศาสดาครั้นทรงสดับวาจาพรรณาพระคุณแห่งปัญญาของพระองค์เหมือนในมหาโพธิชาดก และอุมมังคชาดกแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีปัญญามิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็มีปัญญาและฉลาดในอุบายเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 152

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในกำเนิดวานร มีวานรแปดหมื่นเป็นบริวาร อาศัยอยู่ในหิมวันตประเทศ. ใกล้หิมวันตประเทศนั้น มีบ้านชายแดนแห่งหนึ่ง บางครั้งก็มีคนอยู่ บางครั้งก็ไม่มีคนอยู่ ในท่ามกลางหมู่บ้านนั้นมีต้นมะพลับต้นหนึ่ง กิ่งก้านและค่าคบบริบูรณ์มีผลอร่อย. ฝูงลิงพากันมากินผลมะพลับนั้นในเวลาที่ไม่มีคนอยู่. ครั้นต่อมาถึงคราวมีผลอีก บ้านนั้นได้กลับเป็นที่อยู่ของมนุษย์เรียงรายไปด้วยต้นอ้อ ประกอบไปด้วยประตู. แม้ต้นไม้นั้นก็ออกผลกิ่งลู่น้อมลง. ฝูงลิงคิดว่า เมื่อก่อนเรากินผลมะพลับที่บ้านโน้น บัดนี้มะพลับต้นนั้นมีผลหรือยังหนอ บ้านมีคนอยู่หรือไม่หนอ ครั้นคิดดังนั้นแล้ว จึงส่งลิงไปตัวหนึ่ง โดยกล่าวว่า เจ้าจงไปสืบดูที. ลิงนั้นไปสืบดูก็รู้ว่าไม้นั้นออกผล และบ้านมีผู้คนจับจองอยู่จึงกลับมาบอกแก่พวกลิง. พวกลิง ได้ฟังว่าต้นไม้นั้นออกผล เกิดความอุตสาหะว่าจักกินผลมะพลับอันโอชา จึงบอกความนั้นแก่พญาวานร. พญาวานรถามว่า บ้านมีคนอยู่หรือไม่ มันบอกว่า มีจ้ะนาย. พญาวานรบอกว่า ถ้าเช่นนั้นไม่ควรไป เพราะพวกมนุษย์มีเล่ห์กะเท่มาก. พวกลิงกล่าวว่า เราจักกินตอนเที่ยงคืนในเวลาที่พวกมนุษย์หลับสนิท ครั้นพญาวานรรับรู้แล้ว จึงลงจากป่าหิมพานต์ คอยเวลาที่พวกมนุษย์หลับสนิท นอนอยู่บนหลังแผ่นหินใหญ่ไม่ไกลหมู่บ้านนั้น ครั้นมัชฌิมยามพวกมนุษย์หลับ จึงพากันขึ้นต้นไม้กินผลไม้.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 153

ทีนั้นชายคนหนึ่งออกจากเรือนโดยจะไปถ่ายอุจจาระ ถึงท่ามกลางบ้านเห็นฝูงลิงจึงตะโกนบอกพวกมนุษย์. พวกมนุษย์มากมาย สอดธนูและลูกศร ถืออาวุธต่างๆ ทั้งก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้น พอรุ่งสว่าง พากันยืนล้อมต้นไม้ด้วยหวังว่า จักจับฝูงลิง.

ฝูงลิงแปดหมื่นตัวเห็นพวกมนุษย์ตกใจกลัวตาย พากันไปหาพญาวานรด้วยคิดว่า นอกจากพญาวานรแล้ว ไม่มีผู้อื่นจะเป็นที่พึ่งของพวกเราได้ แล้วกล่าวคาถาแรกว่า :-

พวกมนุษย์มีมือถือธนูและแล่งธนู ถือดาบอันคมกริบ พากันมาแวดล้อมพวกเราไว้โดยรอบ พวกเราจะพ้นไปได้ด้วยอุบายอย่างไร.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ธนุหตฺถกลาเปหิ คือมีมือถือธนูและแล่งธนู อธิบายว่า ถือธนูแลแล่งศรยืนล้อมอยู่. บทว่า ปริกิณฺณมฺหา คือแวดล้อม. บทว่า กถํ ได้แก่ พวกเราจักพ้นได้ด้วยอุบายไรหนอ.

พญาวานรได้ฟังคำของพวกลิงเหล่านั้นแล้วปลอบพวกลิงว่า พวกเจ้าอย่ากลัวเลย ขึ้นชื่อว่าเหล่ามนุษย์มีการงานมาก แม้วันนี้ก็เพิ่งมัชฌิมยาม บางทีเมื่อพวกมนุษย์ยืนล้อมเราด้วยคิดว่า จักฆ่าพวกเรา กิจอื่นอันทำอันตรายแก่กิจนี้พึงเกิดขึ้น แล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 154

ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง จะพึงเกิดแก่มนุษย์ผู้มีกิจมากเป็นแน่ ยังมีเวลาพอที่จะเก็บผลไม้เอามากินได้ พวกท่านจงพากันกินผลมะพลับเถิด.

บทว่า นํ เป็นเพียงนิบาต. ในบทนี้มีอธิบายว่า บางที. ความต้องการอะไรๆ อย่างอื่นพึงเกิดขึ้นแก่พวกมนุษย์ผู้มีกิจมาก. บทว่า อตฺถิ รุกฺขสฺส อุจฺฉินฺนํ ความว่า ยังมีทางที่จะ แย่งเอามากินได้ด้วยการฉุดกระชากผลของต้นไม้นี้. บทว่า ขชฺช ตญฺเว ตินฺทุกํ ความว่า พวกเจ้า จงกินผลมะพลับกันเถิด คือ พวกเจ้ามีความต้องการเท่าใด จงกินเท่านั้น เราจักรู้ในเวลาที่เขาประหารพวกเรา.

พระมหาสัตว์ปลอบฝูงลิงไว้. เพราะว่าเมื่อพวกมันเมื่อไม่ได้การปลอบใจเช่นนี้ ทั้งหมดจะหัวใจแตกถึงแก่ความตาย. พระมหาสัตว์ปลอบฝูงวานรอย่างนี้แล้วกล่าวว่า พวกเจ้าจับนับลิงทั้งหมดที. เมื่อพวกมันนับก็ไม่เห็นวานรชื่อ เสนกะซึ่งเป็นหลานของพญาวานร จึงแจ้งว่า เสนกะไม่มา. พญาวานร กล่าวว่า หากเสนกะไม่มา พวกเจ้าไม่ต้องกลัว เสนกะนั้นจักทำความปลอดภัยให้แก่พวกเจ้าในบัดนี้.

เสนกะหลับในเวลาที่ฝูงลิงมา ภายหลังตื่นขึ้นไม่เห็นใครๆ จึงเดินตามรอยเท้ามา ครั้นเห็นพวกมนุษย์จึงรู้ว่า ภัยเกิดขึ้นแก่ฝูงลิงเสียแล้ว จึงไปหาหญิงแก่ซึ่งตามไฟกรอด้ายอยู่ ณ ท้าย

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 155

เรือนหลังหนึ่ง แล้วทำเป็นเด็กชาวบ้านเดินไปนา คว้าคบไฟดุ้นหนึ่งวิ่งไปจุดบ้านซึ่งตั้งอยู่เหนือลม. พวกมนุษย์พากันผละพวกลิงไปดับไฟ. ลิงทั้งหลายก็พากันหนีเก็บผลไม้ได้ตัวละผล เพื่อนำไปให้เสนกะแล้วพากันหนีไป.

พระศาสดาทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดก. เสนกะหลานพญาวานรในครั้งนั้นได้เป็นมหานามศากยะในครั้งนี้ ฝูงลิงได้เป็นพุทธบริษัท ส่วนพญาวานร คือเราตถาคตนี้แล.

จบ อรรถกถาตินทุกชาดกที่ ๗