พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๒. เกฬิสีลชาดก ว่าด้วยปัญญาสําคัญกว่าร่างกาย

 
บ้านธัมมะ
วันที่  21 ส.ค. 2564
หมายเลข  35616
อ่าน  488

[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 281

๒. เกฬิสีลชาดก

ว่าด้วยปัญญาสําคัญกว่าร่างกาย


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 57]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 281

๒. เกฬิสีลชาดก

ว่าด้วยปัญญาสำคัญกว่าร่างกาย

[๒๕๓] หงส์ก็ดี นกกะเรียนก็ดี นกยูงก็ดี ช้างก็ดี ฟานก็ดี ย่อมกลัวราชสีห์ทั้งนั้น จะถือเอาร่างกายเป็นประมาณไม่ได้ฉันใด.

[๒๕๔] ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น ถ้าแม้เด็กมีปัญญา ก็เป็นผู้ใหญ่ได้ คนโง่ถึงร่างกายจะใหญ่โต ก็เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้.

จบ เกฬิสีลชาดกที่ ๒

อรรถกถาเกฬิสีชาดกที่ ๒

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภท่านพระลกุณฏกภัททิยะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า หํสา โกญฺจา มยุรา จ ดังนี้.

ได้ยินว่า ท่านลกุณฏกภัททิยะเป็นผู้ปรากฏชื่อเสียงในพระพุทธศาสนา มีเสียงเพราะเป็นผู้แสดงธรรมไพเราะ เป็นพระมหาขีณาสพบรรลุปฏิสัมภิทา แต่ท่านตัวเล็กเตี้ยในหมู่พระมหาเถระ ๘๐ องค์ คล้ายสามเณรถูกล้อเลียน. วันหนึ่งเมื่อท่านถวายบังคมพระตถาคตแล้วไปซุ้มประตูพระเชตวัน. ภิกษุชาว

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 282

ชนบทประมาณ ๓๐ รูปไปยังพระเชตวันด้วยคิดว่าจักถวายบังคมพระตถาคต เห็นพระเถระที่ซุ้มวิหาร จึงพากันจับพระเถระที่ชายจีวร ที่มือ ที่ศีรษะ ที่จมูก ที่หู เขย่า ด้วยสำคัญว่าท่านเป็น สามเณร ทำด้วยคะนองมือ ครั้นเก็บบาตรจีวรแล้วก็พากันเข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง เมื่อพระศาสดาทรงกระทำ ปฏิสันถารด้วยพระดำรัสอันไพเราะแล้วจึงทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ ได้ยินว่ามีพระเถระองค์หนึ่งชื่อลกุณฏกภัททิยเถระเป็นสาวกของพระองค์ แสดงธรรมไพเราะ เดี๋ยวนี้พระเถระรูปนั้นอยู่ที่ไหนพระเจ้าข้า พระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประสงค์จะเห็นหรือ. กราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายใคร่จะเห็น. ตรัสว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่พวกเธอเห็นที่ซุ้มประตูแล้วพวกเธอคะนองมือจับที่ชายจีวรเป็นต้นแล้วมา ภิกษุรูปนั้นแหละคือ ลกุณฏกภัททิยะละ. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พระสาวกผู้ถึงพร้อมด้วยอภินิหาร ได้ตั้งความปรารถนาไว้เห็นปานนี้ เพราะเหตุใด จึงมีศักดิ์น้อยเล่าพระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า เพราะอาศัยกรรมที่ตนได้ทำไว้ ภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนา ทรงนำเรื่องอดีต มาตรัสเล่า.

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นท้าวสักกเทวราช. ในกาลนั้นใครๆ ก็ไม่อาจจะให้พระเจ้าพรหมทัตได้ทรงเห็นช้าง ม้า หรือ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 283

โคที่แก่ชรา พระองค์ชอบเล่นสนุก ทอดพระเนตรเห็นสัตว์เช่นนั้น จึงรับสั่งให้พวกมนุษย์ต้อนไล่แข่งกัน เห็นเกวียนเก่าๆ ก็ให้แข่งกันจนพัง เห็นสตรีแก่รับสั่งให้เรียกมากระแทกที่ท้องให้ล้มลง แล้วจับให้ลุกขึ้น ให้ขับร้องเพลง เห็นชายแก่ๆ ก็ให้หกคะเมนตีลังกาเป็นต้น บนพื้นดินดุจนักเล่นกระโดด เมื่อไม่ทรงพบเห็นเอง เป็นแต่ได้สดับข่าวว่า คนแก่มีที่บ้านโน้น ก็รับสั่งให้เรียกตัวมาบังคับให้เล่น. พวกมนุษย์ต่างก็ละอาย ส่งมารดาบิดาของตนไปอยู่นอกแคว้น. ขาดการบำรุงมารดาบิดา. พวกราชเสวกก็พอใจในการเล่นสนุก. พวกที่ตายไปๆ ก็ไปบังเกิดเต็มในอบาย ๔. เทพบริษัททั้งหลายก็ลดลง. ท้าวสักกะไม่ทรงเห็นเทพบุตรเกิดใหม่ ทรงรำพึงว่า เหตุอะไรหนอ ครั้นทรงทราบเหตุนั้นแล้วดำริว่า เราจะต้องทรมานพระเจ้าพรหมทัต จึงทรงแปลงเพศเป็นคนแก่ บรรทุกตุ่มเปรียง ๒ ใบ ใส่ไปบนยาน เก่าๆ เทียมโคแก่ ๒ ตัว ในวันมหรสพวันหนึ่ง เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทรงช้างพระที่นั่งตกแต่งด้วยเครื่องอลังการ เสด็จเลียบพระนครอันตกแต่งแล้ว ทรงนุ่งผ้าเก่าขับยานนั้นตรงไปเฉพาะพระพักตร์พระราชา. พระราชาทอดพระเนตรเห็นยานเก่าเทียมด้วยโคแก่ จึงตรัสให้นำยานนั้นมา. พวกมนุษย์พากันกราบทูลว่า ข้าแต่เทวะยานอยู่ที่ไหน พวกข้าพระองค์มองไม่เห็น. ท้าวสักกะทรง แสดงให้พระราชาเท่านั้นเห็น ด้วยอานุภาพของตน.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 284

ลำดับนั้นเมื่อเกวียนไปถึงหมู่คนแล้ว ท้าวสักกะจึงทรงขับเกวียนนั้นไปข้างบน ทุบตุ่มใบหนึ่งรดบนพระเศียรของพระราชา แล้วกลับมาทุบใบที่สอง. ครั้นแล้วเปรียงก็ไหลลงเปรอะเปื้อนพระราชาตั้งแต่พระเศียร. พระราชาทรงอึดอัดละอาย ขยะแขยง. ครั้นท้าวสักกะทรงทราบว่า พระราชาทรงวุ่นวายพระทัย ก็ทรงขับเกวียนหายไป เนรมิตพระองค์เป็นท้าวสักกะอย่างเดิม พระหัตถ์ทรงวชิราวุธ ประทับยืนบนอากาศ ตรัสคุกคามว่า ดูก่อนอธรรมิกราชผู้ชั่วช้า ชะรอยท่านจะไม่แก่ละหรือ ความชราจักไม่กล้ำกรายสรีระของท่านหรือไร ท่านมัวแต่ เห็นแก่เล่นเบียดเบียนคนแก่มามากมาย เพราะอาศัยท่านผู้เดียว คนที่ตายไปๆ เพราะทำกรรมนั้นจึงเต็มอยู่ในอบาย พวกมนุษย์ไม่ได้บำรุงมารดาบิดา หากท่านไม่งดทำกรรมนี้ เราจะทำลายศีรษะของท่านด้วยจักรเพชรนี้ ตั้งแต่นี้ไปท่านอย่าได้ทำกรรมนี้อีกเลย แล้วตรัสถึงคุณของมารดาบิดา ทรงชี้แจงอานิสงส์ของการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้สูงอายุ ครั้นทรงสอนแล้วก็เสด็จกลับไปยังวิมานของพระองค์. ตั้งแต่นั้นมาพระราชาก็มิได้แม้แต่คิดที่จะทำกรรมนั้นอีกต่อไป. พระศาสดา ตรัสรู้แล้วได้ ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :-

หงส์ก็ดี นกกะเรียนก็ดี ช้างก็ดี ฟานก็ดี ย่อมกลัวราชสีห์ทั้งนั้น จะถือเอาร่างกายเป็น ประมาณมิได้ ฉันใด.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 285

ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น ถ้าแม้เด็กมีปัญญา ก็เป็นผู้ใหญ่ได้ คนโง่ถึงร่างกายจะใหญ่โต ก็เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปสทา มิคา ได้แก่เนื้อฟาน. อธิบายว่า ทั้งเนื้อฟาน ทั้งเนื้อที่เหลือบ้าง. บาลีว่า ปสทมิคา ก็มี ได้แก่ เนื้อฟานนั่นเอง. บทว่า นตฺถิ กายสฺมิ ตุลฺยตา ความว่า ขนาดของร่างกายไม่สำคัญ ถ้าสำคัญไซร้ พวกช้างและเนื้อฟานซึ่งมี ร่างกายใหญ่โต ก็จะพึงฆ่าราชสีห์ได้ ราชสีห์ก็จะพึงฆ่าได้แต่สัตว์เล็กๆ เท่านั้น เช่น หงส์และนกยูงเป็นต้น. เมื่อเป็นเช่นนั้น สัตว์ที่ตัวเล็กเท่านั้นพึงกลัวราชสีห์ แต่สัตว์ใหญ่ไม่กลัว. แต่เพราะข้อนี้เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นสัตว์เหล่านั้นทั้งหมด จึงกลัวราชสีห์. บทว่า สรีรวา ได้แก่ คนโง่ แม้ร่างกายใหญ่โต ก็ไม่ชื่อว่าเป็นใหญ่. เพราะฉะนั้น ลกุณฏกภัททิยะ แม้จะมีร่างกาย เล็ก ก็อย่าเข้าใจว่า เล็กโดยญาณ.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ทรงประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรมบรรดาภิกษุเหล่านั้น บางพวกได้เป็นพระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกได้เป็นพระอนาคามี บางพวกได้เป็นพระอรหันต์. พระราชาในครั้งนั้นได้เป็นลกุณฏกภัททิยะ เธอได้เป็นที่เล่นล้อเลียนของผู้อื่น เพราะค่าที่ตนชอบเล่นสนุกครั้งนี้. ส่วนท้าวสักกะ คือเราตถาคตนี้แล.

จบ อรรถกถาเกฬิสีลชาดกที่ ๒