ปฏิจจสมุปบาท เริ่มต้นที่ความไม่รู้

 
Naza
วันที่  22 ส.ค. 2564
หมายเลข  35625
อ่าน  536

อยากสอบถามว่าอาสวะกิเลส กับสังขาร ทำงานสืบเนื่องกันอย่างไรค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 22 ส.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปฏิจจสมุปปาท คือ ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นนั้น ก็เป็นกิเลสวัฏฏ์กัมมวัฏฏ์ และวิปากวัฏฏ์ คือ อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร (กิเลสวัฏฏ์เป็นปัจจัยให้เกิดกัมมวัฏฏ์) สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ (กัมมวัฏฏ์เป็นปัจจัยให้เกิดวิปากวัฏฏ์)

อวิชชา คือ โมหเจตสิก และเป็นอาสวะด้วย คือ เป็นอวิชชาสวะ เป็นอกุศลธรรมที่ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นกิเลสวัฏฏ์ที่เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร

สังขารที่เป็นผลของอวิชชา มี ๓ คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร

ปุญญาภิสังขาร ได้แก่ เจตนาที่กระทำกุศลกรรมที่เนื่องกับรูป คือกามาวจรกุศลกรรมและ รูปาวจรกุศลกรรม

อปุญญาภิสังขาร ได้แก่ เจตนาที่กระทำอกุศลกรรม

อเนญชาภิสังขาร ได้แก่ เจตนาที่เป็นอรูปาวจรกุศลกรรมคือ อรูปฌานกุศล ๔

อวิชชา เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นกิเลสประเภทหนึ่งในบรรดากิเลสทั้งหลาย มีโลภะ โทสะ เป็นต้น ตราบใดก็ตามที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ อวิชชา ก็ยังมีอยู่ เป็นเหตุให้เกิดสังขาร คือ กระทำกรรม ที่เป็นบุญบ้าง เป็นบาปบ้าง

สังขาร คือ เจตนาเจตสิกที่เป็นในการทำกุศลกรรม และ อกุศลกรรม สังขาร จึงไม่ใช่หมายถึง กิเลสครับ แต่หมายถึง เจตนาเจตสิกในการทำกุศล หรือ กุศลครับ ซึ่ง เพราะอาศัย การกระทำกุศลกรรม และ อกุศลกรรมในอดีต เช่น มีการฆ่าสัตว์ เป็นต้น ในอดีตเป็นปัจจัยเกิด วิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต คือ การเกิดในนรกครับ

อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร โดยนัยที่ว่า เพราะความไม่รู้ อวิชชา ในอดีต เป็นปัจจัยให้มีการทำกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม (สังขาร) ในปัจจุบัน และเป็นปัจจัยให้มีการทำกุศลกรรม และ อกุศลกรรมในอนาคตด้วย (สังขาร) และ แม้อวิชชาในปัจจุบัน ไม่ใช่เฉพาะ อวิชชา หรือ โมหะในอดีต เท่านั้น ก็เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร คือ เจตนาในการกระทำอกุศลกรรมด้วยครับ เพราะโมหเจตสิกเกิดกับจิตที่เป็นอกุศลทุกประเภทครับ

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ

ว่าด้วยอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขารอย่างไร [วิภังค์]

เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ

อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 22 ส.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แสดงถึงความเป็นไปของธรรมอย่างแท้จริง เพราะอาศัย อวิชชา ความไม่รู้เป็นปัจจัย จึงทำให้มีการทำกุศลกรรม และ อกุศลกรรม ซึ่งถ้าจะพิจารณาจริงๆ แล้ว จะเห็นได้ว่า ถ้าหากไม่มีอวิชชา แล้ว ก็หมายถึงว่าดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ถึงความ เป็นพระอรหันต์ ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมดสิ้น ไม่มีอวิชชา เมือ่ไม่มีอวิชชา จึง ไม่มีกุศล กับ อกุศล เกิดขึ้นอีกเลย นี้คือ แสดงถึงความต่างที่เห็นอย่างชัดเจน ระหว่าง ผู้ที่ยังมีอวิชชา อยู่ กับผู้ที่ดับอวิชชาได้อย่างหมดสิ้น แล้ว เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังมีอวิชชาจึงยังเป็นปัจจัยให้มีการทำกุศลกรรม และ อกุศลกรรมได้ และ เมื่อมีการทำกุศลกรรม และอกุศลกรรม ที่เป็นเหตุแล้ว ก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดผลในภาย หน้าได้

ประโยชน์จริงๆ คือ ได้รู้ตัวเองว่า ยังเป็นผู้มีอวิชชาอยู่ หนทางที่จะเป็นไปเพื่อขัด เกลาความไม่รู้และกิเลสทั้งหลาย นั้น ก็คือ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งจะขาด การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไม่ได้เลย ทีเดียว พระธรรมที่ได้ฟัง ได้ศึกษา ล้วนเป็น ไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก โดยตลอด ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
petsin.90
วันที่ 22 ส.ค. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ส.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Naza
วันที่ 22 ส.ค. 2564

กราบขอบพระคุณค่ะ อนุโมทนาด้วยค่ะที่นำธรรมะมาสื่อสารให้เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ จะฟังและพิจราณาไตร่ตรองค่ะ ตามเหตุปัจจัยที่สะสมมาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ