๑. โสมทัตตชาดก ว่าด้วยอาการของผู้ขอ
[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 321
๗. พีรณัตถัมภกวรรค
๑. โสมทัตตชาดก
ว่าด้วยอาการของผู้ขอ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 57]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 321
๗. พีรณัตถัมภกวรรค
๑. โสมทัตตชาดก
ว่าด้วยอาการของผู้ขอ
[๒๗๑] ท่านเป็นผู้ไม่ประมาทเป็นนิจ ได้ทำความเพียรอยู่ในป่าช้า ชื่อพีรณัตถัมภกะถึงหนึ่งปี ครั้นเข้าประชุมบริษัท กลับกล่าวให้ผิดพลาดไป ความเพียรย่อมป้องกันผู้ปราศจากปัญญาไม่ได้.
[๒๗๒] ดูก่อนพ่อโสมทัตต์ บุคคลผู้ขอ ย่อมประสบอาการ ๒ อย่าง คือได้ทรัพย์ ๑ ไม่ได้ทรัพย์ ๑ เพราะว่าการขอมีอาการอย่างนี้เป็นธรรมดา.
จบ โสมทัตตชาดกที่ ๑
อรรถกถาพีรณัตถัมภกวรรคที่ ๗
อรรถกถาโสมทัตตชาดกที่ ๑
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระโลฬุทายีเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อกาสิ โยคฺคํ ดังนี้.
เรื่องย่อมีว่า พระโลฬุทายีเถระนั้น ไม่สามารถจะกล่าว คำแม้สักคำเดียวได้สำเร็จ ในระหว่างชนสองสามคน เป็นผู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 322
ประหม่าครั่นคร้ามคิดจะพูดคำหนึ่งกลับไปพูดอีกคำหนึ่ง. ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันถึงเรื่องราวของพระเถระนั้น. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลฬุทายีมิใช่เป็นผู้ประหม่า ครั่นคร้ามแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็เป็นผู้ประหม่าครั่นคร้ามเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง ในแคว้นกาสี ครั้นเจริญวัยเรียนศิลปะในเมืองตักกสิลา ครั้นสำเร็จแล้วจึงกลับมาเรือน รู้ว่ามารดาบิดายากจนคิดว่า เราจักกู้ตระกูลที่ตกต่ำ จึงอำลามารดาบิดาไปรับราชการในกรุงพาราณสี. พระโพธิสัตว์เป็นที่รักโปรดปรานของพระราชา. ครั้งนั้นเมื่อบิดาของพระโพธิสัตว์ซึ่งไถนาเลี้ยงชีพด้วยโคสองตัว โคตัวหนึ่งได้ตายไป. บิดาจึงไปหาพระโพธิสัตว์กล่าวว่า นี่แน่ะลูก โคตายไปเสียตัวหนึ่งแล้ว เลยทำกสิกรรมไม่ได้ ลูกจงขอพระราชทานโคกะพระราชาสักตัวหนึ่งเถิด. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พ่อจ๋า ลูกรับราชการยังไม่นานนัก จะทูลขอโคในตอนนี้ยังไม่สมควร พ่อทูลขอเองเถิด. พราหมณ์กล่าวว่า นี่ลูก ลูกไม่รู้ว่าพ่อเป็นคนประหม่าครั่นคร้ามดอกหรือ ต่อหน้าคนสองสามคน พ่อไม่อาจจะพูดได้ถูกต้องนัก หากพ่อจะไปเฝ้าทูลขอโค พ่อคง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 323
จะถวายโคตัวนี้เสียก็ได้. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า จะอย่างไรก็ตามเถิดพ่อ ลูกไม่อาจทูลขอโคได้ เอาอย่างนี้เถิดพ่อ ลูกจะซักซ้อมให้พ่อเอง. พราหมณ์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นลูกจงซ้อมพ่อให้ดีก็แล้วกัน. พระโพธิสัตว์พาบิดาไปป่าช้าชื่อพีรณัตถัมภกะ มัดฟ่อนหญ้าไว้เป็นแห่งๆ สมมตินามแสดงแก่บิดาตามลำดับว่า นี้พระราชา นี้อุปราช นี้เสนาบดี แล้วกล่าวว่า พ่อจ๋าพ่อไปเฝ้าพระราชาแล้ว จงกราบถวายพระพรว่า ขอพระองค์จงทรงพระเจริญเถิด แล้วจึงค่อยกล่าวคาถานี้ทูลขอโค จึงให้บิดาเรียนคาถาว่า :-
ข้าแต่มหาราช ข้าพระพุทธเจ้ามีโคสำหรับไถนาอยู่สองตัว ในโคสองตัวนั้นตายเสียตัวหนึ่งแล้ว ขอพระองค์โปรดพระราชทานโคตัวที่สองเถิดพระเจ้าข้า.
พราหมณ์เรียนคาถานี้ได้คล่องแคล่วเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว จึงบอกพระโพธิสัตว์ว่า โสมทัต ลูกพ่อ พ่อจำคาถาได้คล่องแล้ว บัดนี้พ่อสามารถจะกล่าวได้ไม่ว่าในสำนักใดๆ ลูกจงนำพ่อไปเฝ้าพระราชาเถิด. พระโพธิสัตว์รับว่า ดีแล้วพ่อ จึงให้จัดหา เครื่องบรรณาการนำบิดาไปเฝ้าพระราชา. พราหมณ์กราบทูลว่า ขอมหาราชเจ้าจงทรงพระเจริญเถิดพระเจ้าข้า แล้วทูลถวายเครื่องบรรณาการ. พระราชาตรัสว่า โสมทัต พราหมณ์ผู้นี้เป็นอะไรกับเจ้า. กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้าเป็นบิดาของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 324
ข้าพระพุทธเจ้า พระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า มาธุระอะไร. ขณะนั้น พราหมณ์เมื่อจะกล่าวคาถาทูลขอโค จึงทูลว่า :-
ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระพุทธเจ้ามีโคสำหรับไถนาอยู่สองตัว ในโคสองตัวนั้นตายเสียตัวหนึ่งแล้ว ขอพระองค์โปรดรับตัวที่สองไปเถิด พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงทราบว่า พราหมณ์พูดผิด ทรงพระสรวล ตรัสถามว่า โสมทัต ในเรือนเจ้าเห็นจะมีโคหลายตัวซินะ. โสมทัต กราบทูล ขอเดชะข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์พระราชทานแล้ว ก็จักมีมากพระเจ้าข้า. พระราชาทรงโปรดปรานพระโพธิสัตว์ พระราชทานโค ๑๖ ตัว กับเครื่องประดับ และบ้านสำหรับอยู่เป็นรางวัลด้วย แล้วทรงส่งพราหมณ์ไปด้วยศยิ่งใหญ่. พราหมณ์ขึ้นรถเทียมด้วยม้ามีขาวล้วน ได้ไปบ้านพร้อมด้วยบริวารใหญ่. พระโพธิสัตว์นั่งไปในรถกับบิดา กล่าวว่า พ่อ ลูกทำการซ้อมมาทั้งปี แต่พอถึงคราวเอาจริงเอาจังเข้า พ่อกลับทูลถวายโคของพ่อแด่พระราชาเสียนี่ แล้วกล่าวคาถาแรกว่า :-
ท่านเป็นผู้ไม่ประมาทเป็นนิจ ได้ทำความเพียรอยู่ในป่าช้าชื่อ พีรณัตถัมภกะถึงหนึ่ง ครั้นเข้าประชุมบริษัทกลับกล่าวให้ผิดพลาดไป ความเพียรย่อมป้องกันผู้ปราศจากปัญญามิได้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 325
ในบทเหล่านั้น บทว่า อกาสิ โยคฺคํ ธุวํ อปฺปมตฺโต สํวจฺฉรํ วีรณตฺถมฺภกสฺมึ ความว่า พ่อจ๋า พ่อไม่ประมาทเป็นนิจ ได้ทำการซักซ้อมที่ป่าช้าชื่อ พีรณัตถัมภกะถึงหนึ่งปี. บทว่า พฺยากาสิ อญฺํ ปริสํ วิคยฺห ความว่า ครั้นพ่อเข้าประชุม บริษัท ได้ทำเป็นอย่างอื่น คือได้ทำพลาดไป ได้แก่เปลี่ยนแปลงไป. บทว่า น นิยฺยโม ตายติ อปฺปปญฺํ ความว่า ความเพียรย่อมไม่ป้องกัน คือไม่รักษาบุคคลผู้มีปัญญาน้อยแม้ทำบ่อยๆ ได้.
พราหมณ์ฟังคำของพระโพธิสัตว์ แล้วจึงกล่าวคาถา ที่ ๒ ว่า :-
ดูก่อนพ่อโสมทัต บุคคลผู้ขอย่อมประสบอาการสองอย่างคือ ได้ทรัพย์ ๑ ไม่ได้ทรัพย์ ๑ เพราะว่าการขอมีอาการอย่างนี้เป็นธรรมดา.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ ธมฺมา หิ ยาจนา ได้แก่ เพราะการขอมีสภาพเป็นอย่างนี้.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลฬุทายีมิใช่เป็นผู้ประหม่าครั่นคร้ามในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็เป็นผู้ประหม่าครั่นคร้าม แล้วทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ทรงประชุมชาดก. บิดาของโสมทัตได้เป็นโลฬุทายี ส่วนโสมทัต คือ เราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาโสมทัตตชาดกที่ ๑