๑. กาสาวชาดก ว่าด้วยผู้ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ
[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 383
๘. กาสาววรรค
๑. กาสาวชาดก
ว่าด้วยผู้ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 57]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 383
๘. กาสาววรรค
๑. กาสาวชาดก
ว่าด้วยผู้ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ
[๒๙๑] ผู้ใดยังมีกิเลสดุจน้ำฝาด ยังคายออกไม่ได้ ปราศจากทมะ และสัจจะ จักนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด ผู้นั้นย่อมไม่สมควรจะนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดเลย.
[๒๙๒] ส่วนผู้ใดคายกิเลสดุจน้ำฝาดแล้ว ตั้งมั่นอยู่ในศีลทั้งหลาย ประกอบด้วยทมะ และสัจจะ ผู้นั้นแลย่อมสมควรจะนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดได้.
จบ กาสาวชาดกที่ ๑
อรรถกถากาสาววรรคที่ ๘
อรรถกถาสาวชาดกที่ ๑
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อนิกฺกสาโว กาสาวํ ดังนี้. แต่เรื่องเกิดขึ้นในกรุงราชคฤห์.
สมัยหนึ่งพระธรรมเสนาบดีอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหารกับภิกษุ ๕๐๐ รูป. ครั้งนั้นพระเทวทัตห้อมล้อมไปด้วยบริษัทผู้ทุศีลสมควรแก่ตนอยู่ ณ คยาสีสประเทศ. สมัยนั้นชาวกรุง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 384
ราชคฤห์เรี่ยไรกันจัดตระเตรียมทาน. ครั้งนั้นมีพ่อค้าผู้มาเพื่อทำการค้าขายผู้หนึ่ง ได้ให้ผ้ากาสาวะมีกลิ่นหอม มีค่ามาก ว่าท่านทั้งหลายจงจำหน่ายผ้าสาฎกนี้แล้วให้เรามีส่วนบุญร่วมด้วยเถิด. ชาวพระนครถวายทานกันมากมาย. วัตถุทานทุกอย่างที่ร่วมใจกันรวบรวมจัดครบเรียบร้อยแล้วด้วยกหาปณะทั้งนั้น. ผ้าสาฎกผืนนั้นจึงได้เหลือ. มหาชนประชุมกันว่า ผ้าสาฎกมีกลิ่นหอมผืนนี้เป็นของเกิน เราจะถวายผ้าผืนนั้นแก่รูปไหน เราจักถวายแก่พระสารีบุตร หรือแก่พระเทวทัต. ในมนุษย์เหล่านั้น บางพวกกล่าวว่า จักถวายแก่พระสารีบุตรเถระ อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า พระสารีบุตรเถระอยู่ชั่ว ๒ - ๓ วันแล้วก็จะหลีกไปตามชอบใจ ส่วนพระ เทวทัตอยู่อาศัยเมืองของเราแห่งเดียวเป็นประจำ ท่านองค์นี้แหละได้เป็นที่พึ่งของเราทั้งในงานมงคล และอวมงคล พวกเราจักถวายแก่พระเทวทัต. แม้พวกที่กล่าวกันไปหลายอย่างนั้น พวกที่กล่าวว่า เราจักถวายแก่พระเทวทัตมีมากกว่า. มหาชนจึงได้ถวายผ้านั้นแก่พระเทวทัต. พระเทวทัตให้ช่างตัดผ้ากาสาวะมีกลิ่นหอมนั้นออก แล้วให้เย็บเป็นสองชั้น ให้ย้อมจนมีสีดังแผ่นทองคำห่ม.
ในกาลนั้น ภิกษุประมาณ ๓๐๐ รูป ออกจากกรุงราชคฤห์ไปยังกรุงสาวัตถี ถวายบังคมพระศาสดา พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารแล้วได้ทูลให้ทรงทราบเรื่องราว แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พระเทวทัตห่มผ้ากาสาวะอันเป็นธงชัยของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 385
พระอรหันต์อันไม่สมควรแก่ตนอย่างนี้. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตนุ่งห่มผ้ากาสาวะอันเป็นธงชัยของพระอรหันต์อันไม่สมควรแก่ตนในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้เมื่อก่อนเทวทัตก็นุ่งห่มแล้วเหมือนกัน ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลช้างที่ป่าหิมพานต์ ครั้นเติบใหญ่แล้วได้เป็นหัวหน้าโขลงมีช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือก เป็นบริวาร อาศัยอยู่ในราวป่า ครั้งนั้นมีมนุษย์เข็ญใจผู้หนึ่ง อาศัยอยู่ในกรุงพาราณสี เห็นช่างกลึงงาที่ถนนช่างทำเครื่องงา กำลังทำเครื่องงา ต่างๆ มีกำไลงาเป็นต้น จึงถามว่า ท่านได้งาช้างแล้วจักรับซื้อไหม. พวกช่างงาตอบว่า เรารับซื้อซิ. มนุษย์เข็ญใจนั้นรับว่า ตกลง จึงถืออาวุธนุ่งห่มผ้าย้อมฝาด คลุมศีรษะยืนคอยอยู่ที่ทางช้างผ่าน ใช้อาวุธฆ่าช้างแล้วเอางามาขายที่เมืองพาราณสีเลี้ยงชีพ. ต่อมาคนเข็ญใจนั้นได้เริ่มฆ่าช้างบริวารของพระโพธิสัตว์ที่เดินล้าหลังช้างทั้งหมด. เมื่อช้างขาดหายไปทุกวันๆ พวกช้างจึงแจ้งแก่พระโพธิสัตว์ว่า ช้างขาดหายไปด้วยเหตุอะไรหนอ. พระโพธิสัตว์คอยสังเกตดู ก็รู้ว่า บุรุษคนหนึ่งถือเพศอย่างพระปัจเจกพุทธเจ้ายืนอยู่ที่ริมทาง ช้างผ่าน เจ้าคนนี้กระมังฆ่าช้าง เราจักคอยจับมัน วันหนึ่งจึงให้พวกช้างเดินไปข้างหน้าตน ตนเองเดินไปข้างหลัง. มนุษย์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 386
เข็ญใจ เห็นพระโพธิสัตว์จึงถืออาวุธตรงเข้าไป. พระโพธิสัตว์ถอยหลังกลับมายืนอยู่ คิดว่า จักจับฟาดดินให้ตาย จึงยื่นงวงออกเห็นผ้ากาสายะที่มนุษย์นั้นนุ่งห่มอยู่ คิดว่า ผ้ากาสายะอัน เป็นธงชัยของพระอรหันต์นี้เราควรทำความเคารพ จึงม้วนงวงหดกลับแล้วกล่าวว่า นี่แน่ะเจ้าบุรุษ ผ้ากาสายะอันเป็นธงชัย ของพระอรหันต์นี้ไม่สมควรแก่เจ้ามิใช่ หรือ ไฉนเจ้าจึงห่มผ้าผืนนั้นเล่า ได้กล่าวคาถานี้ว่า
ผู้ใดมีกิเลสดุจน้ำฝาด ปราศจากทมะ และสัจจะ จักนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด ผู้นั้นย่อมไม่สมควรจะนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดเลย. ส่วนผู้ใดคาย กิเลสดุจน้ำฝาดแล้ว ตั้งมั่นอยู่ในศีลทั้งหลาย ประกอบด้วยทมะ และสัจจะ ผู้นั้นแลย่อมสมควรจะนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดได้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อนิกฺกสาโว ความว่า ท่านเรียก กิเลสเพียงดังว่าน้ำฝาดนั้น ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ มักขะ (ความลบหลู่คุณท่าน) ปลาสะ (ตีเสมอท่าน) อิสสา (ความริษยา) มัจฉริยะ (ความตระหนี่) มายา (เจ้าเล่ห์) สาเถยยะ (ความ โอ้อวด) ถัมภะ (หัวดื้อ) สารัมภะ (แข่งดี) มานะ (ความถือตัว) อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน) มทะ (ความมัวเมา) ปมาทะ (ความ เลินเล่อ) อกุสลธรรมทั้งหมด ทุจริตทั้งหมด กรรมที่นำไปสู่ภพทั้งหมด กิเลสพันห้า นี่ชื่อว่า กสาวะกิเลสเพียงดังว่าน้ำฝาด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 387
กิเลสเพียงดังว่าน้ำฝาดนั้น บุคคลใดยังละไม่ได้ ยังอาศัยอยู่ ยังไม่ออกจากสันดานของบุคคลใด บุคคลนั้นชื่อว่ามีกิเลสเพียงดังว่าน้ำฝาดอันยังไม่คายออก. บทว่า กาสาวํ ได้แก่ มีสีเหลือง อันเป็นรสของน้ำฝาด เป็นธงชัยของพระอรหันต์. บทว่า โย วตฺถํ ปริทหิสฺสิ ความว่า ผู้ใดเป็นอย่างนี้จักใช้สรอย คือ นุ่ง และห่มผ้าชนิดนี้. บทว่า อเปโต ทมสจฺเจน ความว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ปราศจาก คือ ห่างไกลจากทมะอัน ได้แก่ การฝึกอินทรีย์ และปรมัตถสัจจะอัน ได้แก่ พระนิพพาน. บทว่า น โส กาสาวมรหติ ความว่า บุคคลนั้น ไม่คู่ควรผ้ากาสาวะอันเป็น ธงชัยของพระอรหันต์ เพราะยังมีกิเลสเพียงดังว่าน้ำฝาด ยังคายออกไม่ได้ จึงไม่สมควรแก่ผ้ากาสาวะนั้น. บทว่า โย จ วนฺตกสาวสฺส ความว่า ส่วนบุคคลใด ชื่อว่าเป็นผู้มีกิเลสเพียงดังน้ำฝาดคายออกแล้ว เพราะกิเลสเพียงดังน้ำฝาดตามที่กล่าวแล้วนั่น คายออกหมดแล้ว. บทว่า สีเลสุ สุสมาหิโต คือเป็นผู้มั่นคงด้วยศีลในมรรคศีล และผลศีล คือตั้งมั่นในมรรคศีล และผลศีลเหล่านั้น ดุจน้ำมาตั้งไว้. บทว่า อุเปโต ได้แก่ ถึงพร้อม คือ ประกอบพร้อม. บทว่า ทมสจฺเจน คือ ด้วยทมะ และสัจจะ มีประการดังกล่าวแล้ว. บทว่า ส เว กาสาวมรหติ ความว่า บุคคลเห็นปานนี้นั้น ย่อมคู่ควรผ้ากาสาวะ อันเป็นธงชัยของ พระอรหันต์นี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 388
พระโพธิสัตว์กล่าวเหตุนี้แก่บุรุษนั้นอย่างนี้แล้ว ขู่ว่า ตั้งแต่นี้ไป เจ้าอย่ามาที่นี่อีกเป็นอันขาด หากเจ้ามา เจ้าจะต้องตายแล้วปล่อยให้หนีไป.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก. บุรุษผู้ฆ่าช้างในครั้งนั้น ได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้ ส่วนช้างผู้เป็นหัวหน้าโขลง คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถากาสาวชาดกที่ ๑