๒. จุลลนันทิยาชาดก ผลของกรรมดีและกรรมชั่ว
[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 389
๒. จุลลนันทิยาชาดก
ผลของกรรมดีและกรรมชั่ว
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 57]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 389
๒. จุลลนันทิยาชาดก
ผลของกรรมดี และกรรมชั่ว
[๒๙๓] ปาราสริยพราหมณ์ได้กล่าวคำใดไว้ว่า ท่านอย่าได้กระทำกรรมชั่ว อันจะทำตัวท่านใหเดือดร้อนในภายหลังนะ คำนี้นั้น เป็นถ้อยคําของท่านอาจารย์.
[๒๙๔] บุรุษทำกรรมเหล่าใดไว้ เขาย่อมเห็นกรรมเหล่านั้นในตน ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น.
จบ จุลลนันทิยชาดกที่ ๒
อรรถกถาจุลลนันทิยชาดกที่ ๒
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อิทํ ตทาจริยวโจ ดังนี้.
ความย่อมีอยู่ว่า วันหนึ่งพวกภิกษุประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าพระเทวทัตเป็นผู้กักขฬะหยาบช้า โผงผาง ประกอบการมุ่งปลงพระชนม์พระ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 390
สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กลิ้งศิลา ปล่อยช้างนาฬาคิรี มิได้มีแม้แต่ขันติเมตตา และความเห็นอกเห็นใจ ในพระตถาคตเลย. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตกักขฬะ หยาบคาย ไร้กรุณามิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนเทวทัตก็กักขฬะ หยาบคาย ไร้กรุณาเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นวานร ชื่อ นันทิยะ อยู่ในหิมวันตประเทศ มีน้องชายชื่อว่า จุลลนันทิยะ ทั้งสองพี่น้องมีวานร ๘๔,๐๐๐ เป็นบริวาร ปรนนิบัติมารดาซึ่งตาบอด อาศัยอยู่ในหิมวันตประเทศ. วานรสองพี่น้องให้มารดาพักนอนที่พุ่มไม้ เข้าไปป่าหาผลไม้ที่มีรสอร่อยได้แล้ว ส่งไปให้มารดา. ลิงที่นำมามิได้เอาไปให้มารดา. มารดาถูกความหิวครอบงำ จนผอมซูบซีดเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์จึงถามมารดาว่า แม่จ๋า ลูกส่งผลไม้มีรสอร่อยมาให้แม่ ไฉนแม่ จึงซูบผอมนักเล่า. มารดาตอบว่า ลูกเอ๋ย แม่ไม่เคยได้เลย. พระโพธิสัตว์คิดว่า เมื่อเรายังปกครองฝูงวานรอยู่ แม่ของเราคงตายเป็นแน่ เราจะละฝูงวานรไปปรนนิบัติแม่เท่านั้น. พระโพธิสัตว์จึงเรียกจุลลนันทิยะมากล่าวว่า นี่แน่ะ น้อง น้องจงปรกครองฝูงวานรเถิด พี่จักปรนนิบัติแม่เอง. ฝ่ายจุลลนันทิยะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 391
จึงกล่าวว่า พี่จ๋า น้องไม่ต้องการปกครองฝูงวานร น้องก็จะปรนนิบัติแม่บ้าง. พี่น้องทั้งสองนั้นมีความเห็นเป็นอันเดียวกัน ฉะนี้แล้ว จึงละฝูงวานรพามารดาออกจากหิมวันตประเทศ อาศัยอยู่ที่ต้นไทรชายแดน ปรนนิบัติมารดา.
ครั้งนั้น มีพราหมณ์มาณพชาวกรุงพาราณสีผู้หนึ่ง เรียนจบศิลปะทุกประการ ในสํานักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ในเมืองตักกสิลา อําลาอาจารย์ว่า กระผมจักไป ฝ่ายอาจารย์ก็รู้ด้วยอานุภาพวิชชาในตนว่า มาณพนั้นเป็นคนกักขฬะ หยาบช้า โผงผาง จึงสั่งสอนว่า แน่ะพ่อ เจ้าเป็นคนกักขฬะ หยาบช้า โผงผาง ถ้าขืนเป็นอย่างนี้จะไม่มีผลสำเร็จเช่นเดียวกันตลอดกาล ย่อมต้องพบความพินาศ ความทุกข์อย่างใหญ่หลวง ท่านอย่าได้เป็นคนกักขฬะ หยาบช้า อย่าได้ทำกรรมอันให้เดือดร้อนในภายหลังเลย ดังนี้แล้วจึงส่งไป. พราหมณ์มาณพนั้นไหว้อาจารย์แล้วไปสู่กรุงพาราณสี มีครอบครัวแล้ว เมื่อไม่สามารถจะเลี้ยงชีพด้วยศิลปะอย่างอื่น จึงคิดว่า เราจักยึดเอาคันธนูเป็นที่พึ่งเลี้ยงชีวิต คือจักหากินทางเป็นพราน ออกจากกรุงพาราณสี อยู่ที่บ้านชายแดน ผูกสอดธนู และแล่งธนูเสร็จแล้ว เข้าป่าล่าเนื้อนานาชนิด เลี้ยงชีพด้วยการขายเนื้อ. วันหนึ่งเขาหาอะไรในป่าไม่ได้เลย กำลังเดินกลับพบต้นไทรอยู่ที่ริมเนิน คิดว่าน่าจะมีอะไร อยู่ที่ต้นไทรนี้บ้าง จึงเดินตรงไปยังต้นไทร. ขณะนั้นวานรสองพี่น้องนั่งอยู่ระหว่างค่าคบ ให้มารดาเคี้ยวกินผลไม้อยู่ข้างหน้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 392
เห็นพราหมณ์มาณพนั้นเดินมา คิดว่าถึงจะเห็นมารดาเรา ก็คงจะไม่ทำอะไร จึงแอบอยู่ระหว่างกิ่งไม้. ฝ่ายบุรุษโผงผางผู้นั้น มาถึงโคนต้นไม้แล้ว เห็นมารดาของวานรนั้นแก่ทุพพลภาพ ตาบอด คิดว่า เราจะกลับไปมือเปล่าทำไม จักยิงนางลิงตัวนี้เอาไปด้วย จึงโก่งธนูหมายจะยิงนางลิงแก่ตัวนั้น. พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นจึงกล่าว พ่อจุลลนันทิยะบุรุษผู้จะยิงมารดาของเรา. พี่จะสละชีวิตให้แทนมารดา เมื่อพี่ตายไปแล้ว น้องจงเลี้ยงดูมารดาเถิด จึงออกจากระหว่างกิ่งไม้กล่าวว่า ท่านผู้เจริญขอท่านอย่าได้ยิงมารดาของเราเลย มารดาของเราตาบอด ทุพพลภาพ เราจะสละชีวิตให้แทนมารดา ขอท่านอย่าได้ฆ่ามารดาเลย จงฆ่าเราเถิด รับปฏิญญาของบุรุษนั้นแล้ว จึงไปนั่งในที่ใกล้ลูกศร. บุรุษนั้นปราศจากความกรุณา ยิงพระโพธิสัตว์ตกลง แล้วขึ้นธนูอีกเพื่อจะยิงมารดาของพระโพธิสัตว์ด้วย. จุลลนันทิยะเห็นดังนั้น คิดว่าบุรุษผู้นี้ใคร่จะยิงมารดาของเรา มารดาของเราแม้จะมีชีวิตอยู่วันเดียว ก็ยังได้ชื่อว่ารอดชีวิตแล้ว เราจักสละ ชีวิตให้แทนมารดา จึงออกจากระหว่างกิ่งไม้กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านอย่ายิงมารดาของเราเลย เราจักสละชีวิตให้แทนมารดา ท่านยิงเราแล้วเอาเราสองพี่น้องไป จงไว้ชีวิตแก่มารดาของเราเถิด รับปฏิญญาของบุรุษนั้นแล้ว นั่งในที่ใกล้ลูกศร. บุรุษนั้นจึงยิงจุลลนันทิยะนั้นตกลง แล้วคิดว่าเราจักเอาไปเผื่อเด็กๆ ที่บ้าน จึงยิงมารดาของวานรทั้งสองด้วยตกลง หาบไปทั้ง ๓ ตัว มุ่งหน้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 393
ตรงไปบ้าน. ครั้งนั้นสายฟ้าได้ตกลงที่บ้านของบุรุษชั่วนั้น ไหม้ภรรยา และลูกสองคนพร้อมกับบ้าน เหลือแต่เพียงเสากับขื่อ.
ขณะนั้นบุรุษผู้หนึ่ง พบบุรุษชั่วนั้นที่ประตูบ้านนั่นเอง จึงเล่าความเป็นไปให้ฟัง. บุรุษชั่วผู้นั้นถูกความเศร้าโศกถึงบุตร และภรรยาครอบงำ ทิ้งหาบเนื้อ และธนูกับแล่งไว้ตรงนั้นเอง ปล่อยผ้า เปลือยกายประคองแขนร่ำไห้เข้าไปที่เรือน ขณะนั้น ขื่อหักตกลงมาถูกศีรษะแตก แผ่นดินแยกออกเป็นช่องเปลวไฟแลบขึ้นมาจากอเวจีมหานรก. บุรุษชั่วผู้นั้นกำลังถูกแผ่นดินสูบ ระลึกถึงโอวาทของอาจารย์ได้ คิดว่าท่านปาราสริยพราหมณ์เห็นเหตุนี้ จึงได้ให้โอวาทแก่เรา ได้กล่าวคาถาสอง คาถารำพันว่า :-
ปาราสริยพราหมณ์ได้กล่าวคำใดไว้ว่า ท่านอย่าได้กระทำกรรมชั่ว อันจะทำตัวท่านให้เดือดร้อนในภายหลังนะ คำนี้นั้นเป็นถ้อยคำของท่านอาจารย์.
บุรุษทำกรรมเหล่าใดไว้ เขาย่อมเห็นกรรมเหล่านั้นในตน ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น.
อธิบายแห่งคาถานั้นว่า ปาราสริยพราหมณ์ ได้กล่าวคำใดไว้ว่า เจ้าอย่าได้ทำบาปนะ บาปใดเจ้าทำไว้ บาปนั้นจะเผา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 394
ผลาญท่านในภายหลัง นี่เป็นคำของท่านอาจารย์ บุรุษทํากรรมเหล่าใดไว้ทางกายทวาร วจีทวาร และมโนทวาร เมื่อเขากลับได้ผลของกรรมนั้น ย่อมพบกรรมเหล่านั้นเองในตน ผู้ทำกรรมดี ย่อมเสวยผลดี แต่ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมเสวยผลชั่วช้าลามกไม่น่าปรารถนา แท้จริงแม้ในทางโลกบุคคลหว่านพืชเช่นใดไว้ ย่อมนำไปซึ่งพืชนั้น คือย่อมเก็บผล ได้รับผล เสวยผล อันสมควร แก่พืชนั้นเอง.
บุรุษผู้ชั่วช้านั้นคร่ำครวญอยู่อย่างนั้นเอง เข้าไปสู่แผ่นดิน เกิดในอเวจีมหานรก.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตกักขฬะหยาบช้ามิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็กักขฬะ หยาบช้า ไร้กรุณาเหมือนกัน แล้วทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาทรงประชุมชาดก. บุรุษพรานในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้ อาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้เป็นสารีบุตร จุลลนันทิยวานรได้เป็นอานนท์ มารดาวานรได้เป็นมหาปชาบดีโคตมี ส่วนมหานันทิยวานร คือ เราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาจุลลนันทิยชาดกที่ ๒