๙. หริตมาตชาดก ว่าด้วยผู้มีอิสรภาพ
[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 464
๙. หริตมาตชาดก
ว่าด้วยผู้มีอิสรภาพ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 57]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 464
๙. หริตมาตชาดก
ว่าด้วยผู้มีอิสรภาพ
[๓๒๗] ดูก่อนท่านผู้เป็นบุตรกบเขียว ปลาทั้งหลายรุมกัดฉันผู้มีพิษแล่นเร็ว เข้าไปยังปากลอบ เรื่องนี้ท่านชอบใจหรือ.
[๓๒๘] บุรุษผู้มีอิสรภาพอยู่เพียงใด ก็ย่ำยีผู้อื่นได้อยู่เพียงนั้น คนอื่นมาย่ำยีตนคราวใด คราวนั้นผู้ที่ถูกย่ำยีก็ย่ำยีตอบบ้าง.
จบ หริตมาตชาดกที่ ๙
อรรถกถาหริตมาตชาดกที่ ๙
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเจ้าอชาตศัตรู ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อาสีวิสมฺปิ มํ สนฺตํ ดังนี้.
ความพิสดารมีว่า พระมหาโกศลพระราชบิดาของพระเจ้าโกศล พระราชทานพระธิดาแก่พระเจ้าพิมพิสาร ได้ประทานหมู่บ้านกาสีเป็นค่าสรงสนานแก่พระธิดา. พระเทวีนั้นเมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูกระทำปิตุฆาตกรรม ก็ได้สิ้นพระชนม์เพราะ ความเสน่หาต่อพระราชาไม่นานนัก. พระเจ้าอชาตศัตรูแม้ เมื่อพระชนนีสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ก็คงครองบ้านนั้นอยู่ตามเดิม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 465
พระเจ้าโกศลทรงดำริว่า เราจักไม่ให้หมู่บ้านอันเป็นของตระกูลของเราแก่โจรผู้ฆ่าบิดา จึงรบกับพระเจ้าอชาตศัตรู. บางคราวพระเจ้าน้าก็ชนะ บางคราวพระเจ้าหลานก็ชนะ. แต่คราวใด พระเจ้าอชาตศัตรูทรงชนะ คราวนั้นก็ทรงโสมนัส ปักธงชัยบนรถ เข้าไปสู่พระนครด้วยยศอันยิ่งใหญ่. คราวใดทรงปราชัย คราวนั้นก็ทรงโทมนัส ไม่ให้ใครๆ ทราบเลย เสด็จเข้าสู่พระนคร. อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระเจ้าอชาตศัตรูทรงชนะพระเจ้าน้าแล้วดีพระทัย ทรงปราชัยก็ทรงโทมนัส.
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนพระเจ้าอชาตศัตรูนั้น ทรงชนะแล้วก็ดีพระทัย ทรงปราชัยแล้วก็ทรงโทมนัสเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในกำเนิดกบเขียว. ครั้งนั้นมนุษย์ทั้งหลายได้ดักลอบเพื่อต้องการจะจับปลาในที่มีแม่น้ำและลำธารเป็นต้น. มีปลาเป็นอันมากเข้าไปติดอยู่ในลอบใบหนึ่ง. ครั้งนั้นมีงูปลาตัวหนึ่ง จะกินปลาจึงเข้าไปสู่ลอบนั้น. ปลาเป็นอันมากรวมกันเข้าไปกัดงูตัวนั้นจนเลือดออกนอง. งูปลาไม่เห็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 466
ที่พึ่ง กลัวตายจึงหนีออกทางปากลอบ ได้รับความเจ็บปวด นอนอยู่บนพื้นน้ำ. ในขณะนั้น กบเขียวขึ้นไปเกาะบนหลักลอบ งูเมื่อไม่ได้ที่จะตัดสินความ เห็นกบนอนอยู่บนหลักลอบนั้น เมื่อจะถามว่า ดูก่อนสหายกบ กิริยาของพวกปลาเหล่านี้ ท่านพอใจบ้างไหม ได้กล่าวคาถาแรกว่า :-
ดูก่อนท่านผู้เป็นบุตรกบเขียว ปลาทั้งหลายรุมกัดฉันผู้มีพิษแล่นเร็ว เข้าไปยังปากลอบ เรื่องนี้ท่านชอบใจหรือ.
ลำดับนั้นกบเขียวจึงกล่าวกะงูว่า ดูก่อนสหาย ถูกแล้ว ข้าพเจ้าพอใจ เพราะอะไร เพราะหากพวกปลามาถึงถิ่นของท่าน ท่านก็ย่อมกิน ฝ่ายพวกปลาก็ย่อมกินท่านผู้ไปอยู่ถิ่นของตน อันการจะอ่อนกำลังในถิ่นหากิน ในที่เป็นแดนของตนๆ ย่อมไม่มี ได้กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
บุรุษผู้มีอิสรภาพอยู่เพียงใดก็ย่ำยีผู้อื่นได้อยู่เพียงนั้น คนอื่นมาย่ำยีตนคราวใด คราวนั้นผู้ที่ถูกย่ำยีก็ย่ำยีตอบบ้าง.
ในบทเหล่านั้น บทว่า วิลุมฺปเตว ฯปฯ อุปกปฺปติ ความว่า ความมีอิสรภาพย่อมสำเร็จ ย่อมเป็นไปแก่บุรุษเพียงใด เขาย่อมย่ำยีผู้อื่นได้เพียงนั้น. อธิบายว่า บุรุษนั้นสามารถย่ำยีได้ตลอดกาล. บทว่า ยทา จญฺเ วิลุมฺปนฺติ คือ คนอื่นที่มีอิสรภาพ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 467
มาย่ำยีตนคราวใด. บทว่า โส วิลุตฺโต วิลุมฺปติ ความว่า คราวนั้นผู้ย่ำยีนั้นย่อมถูกย่ำยี.
เมื่อพระโพธิสัตว์วินิจฉัยคดีแล้ว ฝูงปลารู้ว่างูปลาอ่อนกำลัง คิดว่าจักจับศัตรูจึงกรูกันออกจากปากลอบทำให้งูปลาตายในที่นั้นเอง แล้วต่างก็หลีกไป.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก. งูปลาในครั้งนั้นได้เป็นพระเจ้าอชาตศัตรูในครั้งนี้. ส่วนกบเขียว คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาหริตมาตชาดกที่ ๙