ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๒๒
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๒๒ * *
~ ถ้ารู้ว่ามีค่า มีใครบ้างที่ไม่ต้องการ สิ่งที่ทุกคนต้องการ คือ สิ่งที่มีค่าสำหรับคนนั้น ทุกคนอยากจะได้สิ่งที่มีค่า อะไรที่มีค่า ที่ทำให้จิตใจเบิกบาน ไม่เศร้าหมอง? สิ่งที่มีค่า มีประโยชน์จริงๆ เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ พระธรรม
~ จุดประสงค์ของการฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ ความเข้าใจคือปัญญา พุทธศาสนาจะช่วยให้พุทธศาสนิกชนค่อยๆ มีความเห็นถูกขึ้น จึงจะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และปัญญาที่เป็นความเห็นถูกจะละความเห็นผิดและจะค่อยๆ ละอกุศลอื่นตามกำลังของปัญญา แต่ต้องนำด้วยปัญญา ถ้าคำสอนใดไม่ทำให้เกิดความเข้าใจ คำสอนนั้นจะไม่ใช่พุทธศาสนา
~ เริ่มเห็นคุณของพระธรรมว่า เป็นที่พึ่งที่แท้จริงที่จะทำให้เราได้เกิดปัญญามีความเห็นที่ถูกต้อง เพราะว่าสิ่งอื่นพึ่งจริงๆ ไม่ได้เลย และสมบัติที่มีมากก็สูญหายกันไปได้ แต่ว่าความดีด้วยความเข้าใจธรรม จะติดตามไปได้ เมื่อฟังอีกก็เข้าใจได้เร็ว แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจขึ้นๆ ได้
~ ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ คนอื่นไม่สามารถทำให้เราเข้าใจความจริงได้ แต่เพราะได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จึงมีความเข้าใจถูกเห็นถูก
~ สิ่งที่เกิดแล้ว ต้องมีปัจจัยที่จะให้เกิด ไม่ใช่ตามความปรารถนาของเราหรือของใคร นี้คือ สิ่งที่จะต้องพิจารณา ฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกต้อง ในธรรมคือสิ่งที่มีจริง
~ บางคนไม่มีทุกข์ใจ แต่มีทุกข์กาย บางคนทุกข์กายไม่มีเลย แต่มีทุกข์ใจ ต้องแยกกัน กายไม่ได้เจ็บหรือไม่ได้ปวดเลย แต่แสนจะเศร้า แสนจะโทมนัส แสนที่จะรำคาญใจ นั้นคือทุกข์ใจ แต่พระอรหันต์ ท่านไม่มีทุกข์ใจเลย แต่เมื่อมีกายก็เป็นรังของโรคภัยและความเจ็บปวด
~ เราโกรธคนอื่น เห็นแต่ความไม่ดีของคนอื่น ในขณะนั้น คนที่เราโกรธนั้นกำลังสบาย แต่เรากำลังเติมความดำความสกปรกให้กับจิตใจของเรา ซึ่งคนอื่นก็เอาความดำความสกปรกของจิตใจเราออกไม่ได้ นอกจากปัญญาของเราเอง เพราะฉะนั้น ปัญญาจะทำให้เราสามารถที่จะเข้าใจเหตุผลได้ตามความเป็นจริง เห็นอกุศลเป็นอกุศล แล้วก็เห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง
~ โลภะ เกิด คนนั้นเห็นอะไรชอบหมดทุกอย่างเลย อยากจะได้ไปหมด โลภะตลอดวัน ถ้าคนไหนที่สะสมความขุ่นเคืองใจ คนนั้นก็มักโกรธ เจออะไรนิดหนึ่งก็ไม่ถูกใจ เพราะเหตุว่าสะสมสะสมไว้เรื่อยๆ บางคนก็เป็นคนที่ริษยา เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นคนที่สะสมความริษยาไว้ ความริษยาก็มีมากกว่าคนอื่นที่ไม่ได้สะสมมา
~ สภาพธรรมทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น เราจะต้องทราบความเป็นอนัตตาว่า ถ้าเป็นอนัตตาแล้ว อนัตตาจริงๆ คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย เราจะต้องค่อยๆ เข้าใจความหมายของอนัตตาตามลำดับ ต้องเข้าใจความหมายว่าสภาพธรรม เกิดจากเหตุปัจจัยจริงๆ เมื่อนั้น จึงจะไม่มีเรา
~ เกิดมามีชีวิตที่สั้นมาก ไม่มีใครที่จะรู้ได้ว่าจะหมดสิ้นความเป็นบุคคลนี้เมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น โอกาสสำคัญที่จะพูด ควรรอไหมที่จะพูดความจริง? เพราะว่าความจริงที่มีประโยชน์ คนที่พูด พูดด้วยความหวังดี ให้คนอื่นได้รู้ความจริงด้วย ได้เข้าใจความจริงด้วย เป็นประโยชน์ไหม? แต่ถ้าเขาไม่อยากฟัง ก็ไม่ต้องพูด
~ ขณะใดที่มีโอกาสที่จะได้ทำความดีแม้เล็กน้อย ก็ไม่ประมาท ทำความดีให้ถึงพร้อม เพราะเห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดมาก เท่านี้ยังไม่พอ ต้องชำระจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลสคือความไม่รู้ ซึ่งนำมาซึ่งกิเลสอื่นๆ ซึ่งจะดับได้ หมดได้ ก็เพราะความรู้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้น
~ เป็นมิตรที่หวังดีจริงๆ ให้สิ่งที่ดีที่สุด คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เขาจะไม่ชอบ ก็ไม่เป็นไร แต่เราก็มีความหวังดีถึงที่สุด แล้วแต่ว่ากาลไหน โอกาสไหน ก็ตามแต่ ก็พูดคำจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง คือ เปิดเผยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งพระธรรมและพระวินัย ให้คนได้พิจารณาไตร่ตรอง เพื่อประโยชน์ของเขาเอง
~ ไม่มีใครสามารถทำให้เกิดจิตเห็น จิตได้ยิน หรือจิตเป็นกุศล หรือจิตเป็นอกุศลได้ แต่สภาพธรรมทุกอย่างมีปัจจัยจึงเกิดขึ้น ซึ่งปัญญาสามารถที่จะอบรมรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมนั้นว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
~ ถ้าเป็นผู้ที่โกรธ แต่ไม่พยาบาท อภัยได้ และไม่ผูกโกรธ ก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เป็นเรื่องของผู้ที่ว่ายาก แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ยอมอภัย และยังพอใจที่จะโกรธอยู่ เป็นผู้ที่ไม่น้อมประพฤติปฏิบัติธรรม นั่นคือ ผู้ที่ว่ายาก
~ เห็นโทษของอกุศลมากน้อยเพียงใด อย่าเพียงแต่เห็นโทษของอกุศลที่ถึงขั้นที่จะล่วงทุจริตกรรมทางกาย ทางวาจา แต่แม้ว่าไม่ใช่อกุศลที่แรงจนถึงกับล่วงทุจริตกรรม ก็ต้องเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรละเว้น ควรขจัดให้เบาบางด้วย
~ เรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ที่จะละคลายกิเลสเป็นเรื่องที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปจริงๆ แม้แต่ในขั้นของความเข้าใจ ถ้าฟังพระธรรมอยู่เรื่อยๆ พิจารณาธรรมอยู่เรื่อยๆ ก็จะเห็นได้ว่า ความเข้าใจเพิ่มขึ้นจากตอนต้นนี้มาก แต่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยที่ไม่มีกำหนดรู้ได้ว่า เพิ่มขึ้นมากในตอนไหน แต่จะต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเรื่อยๆ
~ ผู้นำในการที่จะเข้าใจความจริง ต้องเป็นผู้ที่คิดไตร่ตรองว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดจริง สิ่งใดไม่จริง มิฉะนั้นแล้ว ก็เป็นผู้นำไม่ได้ เพราะเหตุว่า ไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจ ก็จะต้องนำไปในทางที่ไม่รู้หมด ถ้าผู้นำไม่รู้ ผู้ตามก็ไม่รู้ด้วย ใช่ไหม?
~ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง พิสูจน์ได้ทุกขณะ อย่างเห็นเดี๋ยวนี้ พิสูจน์ได้ เห็นจริงๆ
~ สิ่งที่เป็นประโยชน์ ย่อมเป็นประโยชน์ทุกเมื่อ
~ ทุกคำที่เป็นประโยชน์ ต้องเป็นคำที่ทำให้เกิดการไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเห็นที่ถูกต้องของตัวเอง
~ เพื่อนที่แท้จริง กัลยาณมิตร เพื่อนที่ดี เป็นเพื่อนที่ไม่ได้นำโทษมาให้กับใครเลยทั้งสิ้น มีแต่ประโยชน์ มีแต่ความหวังดี มีแต่จะให้สิ่งที่ถูกต้อง ไม่คำนึงว่าเขาจะรัก จะชังประการใด แต่ว่า มีความหวังดีต่อคนที่ไม่รู้ ให้เขาได้เข้าใจถูกต้อง
~ การได้ยินได้ฟังพระธรรมในวันนี้ จะเป็นพืชเชื้อที่จะทำให้มีความสนใจที่จะเข้าใจต่อไปไหม? เพราะว่า มีหนทางที่จะทำให้เข้าใจได้ ไม่ว่าวัยไหนทั้งสิ้น สามารถที่จะใฝ่ใจสนใจที่จะรู้ความจริง จึงทำให้มีการฟังและมีการไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจถูกต้องและรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น
~ กังวลใจทำไม เดือดร้อนใจทำไม ในเมื่อรู้ความจริงว่า ไม่มีใครสามารถที่จะดลบันดาลได้ ทำดีที่สุด เพราะว่า ชีวิตสั้นมาก ใครจะรู้ว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น โอกาสที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็ทำดีที่สุดและเข้าใจพระธรรม
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ครั้งที่ ๕๒๑
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
เพื่อนที่แท้จริง กัลยาณมิตร เพื่อนที่ดี เป็นเพื่อนที่ไม่ได้นำโทษมาให้กับใครเลยทั้งสิ้น มีแต่ประโยชน์ มีแต่ความหวังดี มีแต่จะให้สิ่งที่ถูกต้อง ไม่คำนึงว่าเขาจะรัก จะชังประการใด แต่ว่า มีความหวังดีต่อคนที่ไม่รู้ ให้เขาได้เข้าใจถูกต้อง น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ