๗. คามณิจันทชาดก ลิงเป็นสัตว์ไม่รู้จักเหตุ
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 51
๗. คามณิจันทชาดก
ลิงเป็นสัตว์ไม่รู้จักเหตุ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 51
๗. คามณิจันทชาดก
ลิงเป็นสัตว์ไม่รู้จักเหตุ
[๓๗๐] สัตว์ตัวนี้ไม่ฉลาดที่จะทําเรือน มีปกติหลุกหลิก หนังที่หน้าย่น พึงประทุษร้ายของที่เขาทําไว้แล้ว ตระกูลสัตว์นี้มีอย่างนั้นเป็นธรรมดา.
[๓๗๑] ขนอย่างนี้ ไม่ใช่ขนของสัตว์ที่มีความคิดฉลาด ลิงตัวนี้จะทําให้ผู้อื่นปลอดโปร่งใจไม่ได้พระราชบิดาของเราทรงพระนามว่าชน-สันธนะ ได้ตรัสสอนไว้ว่า ธรรมดาลิงย่อมไม่รู้จักเหตุอันใดอันหนึ่ง.
[๓๗๒] สัตว์เช่นนี้ จะพึงเลี้ยงดูมารดาบิดาหรือพี่ชายพี่สาวของตนไม่ได้เลย คําสอนนี้พระราชบิดาของเราได้ทรงสั่งสอนไว้อย่างนี้.
จบ คามณิจันทชาดกที่ ๗
อรรถกถาคามณิจันทชาดกที่ ๗
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการสรรเสริญปัญญา จึงตรัสเรื่องนี้ มีคําเริ่มต้นว่า นายํ ฆรานํกุสโล ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 52
ได้ยินว่า ภิกษุทั้งหลายนั่งสรรเสริญพระปัญญาของพระทศพลในโรงธรรมสภาว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตมีพระปัญญามากมีพระปัญญาหนา มีพระปัญญารื่นเริง มีพระปัญญาไว มีพระปัญญากล้าแข็ง มีพระปัญญาชําแรกกิเลส ก้าวล่วงโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกด้วยพระปัญญา พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลายบัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายมิใช่ในบัดนี้เท่านั้นแม้ในกาลก่อน ตถาคตก็มีปัญญาเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล มีพระราชาพระนามว่า ชนสันธะ ครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี. พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชานั้น. หน้าของพระโพธิสัตว์นั้น เกลี้ยงเกลา บริสุทธิ์ดุจพื้นแว่นทองคํา ถึงความงามอันเลิศยิ่ง. ด้วยเหตุนั้นในวันตั้งชื่อ ญาติทั้งหลายจึงตั้งชื่อของพระโพธิสัตว์นั้นว่า อาทาสมุขกุมาร. ภายใน ๗ ปีเท่านั้น พระชนกให้กุมารนั้นศึกษาพระเวททั้ง ๓ และสิ่งทั้งปวงที่จะพึงทําในโลก แล้วได้สวรรคตในเวลาที่พระกุมารนั้นมีอายุ ๗ ขวบ อํามาตย์ทั้งหลายได้ถวายพระเพลิงพระศพของพระราชาด้วยบริวารใหญ่โต แล้วถวายทานเพื่อผู้ตายในวันที่ ๗ ประชุมกันที่พระลานหลวงหารือกันว่า พระกุมารยังเด็กเกินไป ไม่อาจอภิเษกให้ครองราชย์ได้ พวกเราจักทดลองพระกุมารนั้นแล้วจึงค่อยอภิเษก. วันหนึ่ง อํามาตย์เหล่านั้นให้ตกแต่งพระนคร จัดแจง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 53
สถานที่วินิจฉัย ให้แต่งตั้งบัลลังก์แล้วไปเฝ้าพระกุมารทูลว่า ขอเดชะ ควรเสด็จไปยังสถานที่วินิจฉัย (ตัดสินความ). พระกุมารรับคําแล้วเสด็จไปด้วยบริวารเป็นอันมาก ประทับนั่งบนบัลลังก์. ในเวลาที่พระกุมารนั้นประทับนั่งแล้ว อํามาตย์เหล่านั้นให้เอาลิงตัวหนึ่งซึ่งเดิน ๒ - เท้าได้ ให้แต่งเป็นเพศอาจารย์ผู้มีวิชาดูที่ แล้วนําไปยังสถานที่วินิจฉัยความ ทูลว่า ขอเดชะ บุรุษผู้นี้เป็นอาจารย์รู้วิชาดูที่ ในสมัยของพระชนกผู้มหาราช ย่อมรู้คุณ-โทษในที่มีรัตนะ ๗ ภายในพื้นดินด้วยวิชาอันคล่องแคล่ว สถานที่ตั้งวังของราชตระกูล บุรุษผู้นี้แหละจัดการ ขอพระองค์จงสงเคราะห์บุรุษผู้นี้ โปรดสถาปนาไว้ในฐานันดรเถิด. พระกุมารแลดูลิงนั้นทั้งเบื้องล่างและเบื้องบนก็ทรงทราบว่า ผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ ผู้นี้เป็นลิง แล้วทรงดําริว่า ธรรมดาลิงย่อมรู้แต่จะทําลายสิ่งที่เขาทําไว้ ย่อมไม่รู้จะทําหรือจัดสิ่งที่เขายังไม่ได้ทํา จึงกล่าวคาถาแรกแก่พวกอํามาตย์ว่า :-
สัตว์ตัวนี้ไม่ฉลาดที่จะทําเรือนมีปกติหลุกหลิก หนังที่หน้าย่น พึงประทุษร้ายของที่เขาทําไว้แล้ว ตระกูลสัตว์นี้ มีอย่างนี้เป็นธรรมดา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นายํ ฆรานํ กุสโล ความว่าสัตว์นี้ไม่ฉลาดเรื่องบ้านเรือน คือไม่เฉลียวฉลาดเพื่อจะจัดหรือทําเรือน. บทว่า โลโล แปลว่า มีกําเนิดโลเล. บทว่า วลีมุโข
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 54
ความว่า ชื่อว่ามีหน้าย่น เพราะมีรอยย่นที่หน้า. บทว่า เอวํธมฺมมิทํ กุลํ ความว่า ธรรมดาตระกูลลิงนี้ มีสภาวะอย่างนี้คือประทุษร้ายสิ่งที่เขาทําไว้ให้พินาศ.
อํามาตย์ทั้งหลาย ทูลว่า ขอเดชะ จักเป็นดังพระดํารัสอย่างนั้นแล้วนําลิงนั้นออกไป พอล่วงไปวันสองวัน ก็ประดับลิงตัวนั้นแหละอีกแล้วนําไปยังที่วินิจฉัยอรรถคดี กราบทูลว่า ขอเดชะ ผู้นี้เป็นอํามาตย์ผู้วินิจฉัยอรรถคดี เมื่อครั้งพระชนกผู้มหาราช กระบวนการวินิจฉัยของท่านผู้นี้เป็นไปเรียบร้อยดี ควรที่พระองค์จะทรงอนุเคราะห์ท่านผู้นี้ ให้ทําหน้าที่วินิจฉัยอรรถคดีต่อไป. พระกุมารแลดูแล้วรู้ว่าคนที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์ มีความคิดย่อมไม่มีขนเห็นปานนี้ แม้ผู้นี้คงเป็นลิงที่ไม่มีความคิด จักไม่สามารถทํากิจในการวินิจฉัยอรรถคดีได้ จึงตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :-
ขนอย่างนี้ ไม่ใช่ขนของสัตว์ที่มีความคิด ลิงตัวนี้จะทําให้ผู้อื่นปลอดโปร่งใจไม่ได้ พระราชบิดาของเราทรงพระนามว่าชนสันธะ ได้ตรัสสอนไว้ว่า ธรรมดาลิงย่อมไม่รู้จักเหตุอันใดอันหนึ่ง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นยิทํ จิตฺตวโต โลมํ ความว่าขนหยาบในสรีระของสัตว์นี้ มิได้มีแก่ผู้มีความคิดอันประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา ก็ธรรมดาสัตว์เดรัจฉาน ชื่อว่าไม่มีความคิด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 55
ด้วยความคิดตามปกติย่อมไม่มี. บทว่า นายํ อสฺสาสิโก ความว่าสัตว์นี้ชื่อว่าทําผู้อื่นให้ปลอดโปร่งใจไม่ได้ เพราะไม่สามารถเป็นที่พึ่งอาศัยหรือทําการพร่ําสอนให้ผู้อื่นเบาใจได้. บทว่า มิโค แปลว่าลิง. ด้วยบทว่า สตฺถํ เม ชนสนฺเธน นี้ แสดงว่า ข้อนี้ พระเจ้าชนสันธะ ผู้พระชนกของเราสอนไว้ คือ ตรัสไว้ ได้แก่ ประทานอนุศาสนีไว้อย่างนี้ว่า ธรรมดาลิงย่อมไม่รู้เหตุและมิใช่เหตุ. บทว่า นายํ กิฺจิ วิชานติ ความว่า เพราะฉะนั้น ในข้อนี้ พึงตกลงได้ว่าธรรมดาว่าวานรนี้ย่อมไม่รู้เหตุการณ์อะไรๆ แต่ในบาลีเขียนไว้ว่า นายํ กิฺจิ น ทูสเย แปลว่า ลิงนี้ไม่พึงประทุษร้ายอะไรๆ หามิได้. คํานั้นไม่มีในอรรถกถา.
อํามาตย์ทั้งหลายได้ฟังพระดํารัส แม้นี้แล้วกราบทูลว่า ขอเดชะจักเป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า แล้วนําลิงนั้นออกไป วันหนึ่ง ประดับประดาลิงตัวนั้นแหละ แล้วนํามายังสถานที่วินิจฉัยอรรถคดีอีก กราบทูลว่า ขอเดชะ เมื่อครั้งพระชนกผู้มหาราช บุรุษผู้นี้ได้บําเพ็ญหน้าที่บํารุงบิดามารดา เป็นผู้กระทําความอ่อนน้อมต่อผู้เจริญในตระกูล พระองค์สมควรอนุเคราะห์บุรุษผู้นี้. พระกุมารมองดูลิงตัวนั้นอีกแล้วทรงดําริว่า ธรรมดาลิงทั้งหลายมีจิตใจกลับกลอก ไม่สามารถทําการงานเห็นปานนี้ได้ จึงกล่าวคาถาที่๓ ว่า :-
สัตว์เช่นนั้น จะพึงเลี้ยงดู บิดามารดาหรือพี่ชายพี่สาวของตนไม่ได้ คําสอนนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 56
พระเจ้าทศรถผู้ชนกของเราสั่งสอนไว้.
บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า ภาตรํ ภคินึ สกํ ได้แก่ พี่ชายหรือพี่สาวของตน. แต่ในบาลีเขียนว่า สขํ ก็คํานั้น ในอรรถกถาท่านวิจารณ์ไว้ว่า เมื่อกล่าวว่า สกํ ย่อมกินความถึงพี่ชายและพี่สาวของตนเมื่อกล่าวว่า สขํ ได้ความหมายเฉพาะสหาย. บทว่า ภเรยฺย แปลว่าพึงพอกเลี้ยง. บทว่า ตาทิโส โปโส ความว่า สัตว์ชาติลิงที่เห็นกันอยู่เช่นนั้น พึงเลี้ยงดูไม่ได้ บทว่า สิฏฺํ ทสรเถน เม ความว่าพระชนกของเราทรงสั่งสอนไว้อย่างนี้. จริงอยู่พระชนกของพระกุมารนั้น เขาเรียกว่า พระเจ้าชนสันธะ เพราะทรงสงเคราะห์ชนด้วยสังคหะวัตถุ ๔ ประการ เรียกว่า พระเจ้าทศรถ เพราะทรงกระทํากิจที่จะพึงกระทําด้วยรถ ๑๐ คัน ด้วยรถของพระองค์เพียงคันเดียวเท่านั้น. เพราะได้สดับโอวาทเห็นปานนั้นจากสํานักของพระชนกพระองค์นั้น พระกุมารจึงตรัสอย่างนั้น.
อํามาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า จักเป็นดังพระดํารัสอย่างนั้นพระเจ้าข้า แล้วนําลิงนั้นออกไป ได้ตกลงกันว่า พระกุมารเป็นบัณฑิตจักสามารถครองราชสมบัติได้ จึงอภิเษกพระโพธิสัตว์ให้ครองราชสมบัติ แล้วให้เที่ยวตีกลองป่าวร้องไปในพระนครว่า เป็นอาณาจักรของพระเจ้าอาทาสมุขแล้ว. จําเดิมแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม โดยสม่ําเสมอ แม้ความที่พระเจ้าอาทาสมุขนั้นเป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาดก็แพร่ไปตลอดทั่วชมพูทวีป. ก็เพื่อจะแสดง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 57
ความที่พระองค์เป็นบัณฑิต ได้นําเอาเรื่อง ๑๔ เรื่องนี้มากล่าวไว้ คือ:-
เรื่องโค ๑ เรื่องบุตร ๑ เรื่องม้า ๑ เรื่องช่างสาน ๑ เรื่องนายบ้านส่วย ๑ เรื่องหญิงแพศยา ๑ เรื่องหญิงรุ่นสาว ๑ เรื่องงู ๑ เรื่องเนื้อ ๑ เรื่องนกกระทา ๑ เรื่องรุกขเทวดา ๑ เรื่องพระยานาค ๑ เรื่องดาบสมีตบะ ๑ เรื่องพราหมณ์มาณพ ๑
ในนิทาน ๑๔ เรื่องนั้น มีเรื่องราว ตามลําดับดังต่อไปนี้
เมื่อพระโพธิสัตว์อภิเษกอยู่ในราชสมบัตินั้น บุรุษผู้หนึ่งชื่อคามณิจันท์ ผู้เคยเป็นบาทมูลิกาของพระเจ้าชนสันธะ คิดอย่างนี้ว่าธรรมดาว่าความเป็นพระราชานี้ ย่อมจะงดงามกับคนผู้มีวัยเสมอกัน ส่วนเราเป็นคนแก่จักไม่เหมาะที่จะบํารุงพระกุมารหนุ่ม เราจักทํากสิกรรมเลี้ยงชีวิตอยู่ในชนบท. เขาจึงออกจากพระนครไปยังที่ไกลประมาณ ๓ โยชน์ สําเร็จการอยู่ในบ้านแห่งหนึ่ง แต่เขาไม่มีแม้แต่โคสําหรับจะทํากสิกรรม. เมื่อฝนตกเขาจึงขอยืมโค ๒ ตัว กับสหายคนหนึ่งไถนาอยู่ ตลอดทั้งวันแล้วให้โคกินหญ้าแล้วได้ไปยังเรือนเพื่อจะมอบโคทั้ง ๒ ตัวให้กับเจ้าของ. ขณะนั้น เจ้าของโคกําลังนั่งบริโภคอาหารอยู่กลางบ้านพร้อมกับภรรยา. ฝ่ายโคทั้งสองตัวก็เข้าไปยังบ้านด้วยความคุ้นเคย. เมื่อโคเหล่านั้นเข้าไป สามียกถาด ภรรยาเอาถาดออกไป. นายคามณิจันท์มองดูด้วยคิดว่าสามีภรรยาทั้งสองนี้จะเชื้อเชิญเรารับประทานข้าว จึงยังไม่มอบโคให้รีบกลับไปเสีย. ในเวลา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 58
กลางคืน พวกโจรตัดคอกลักโคเหล่านั้นแหละไปเสีย. เจ้าของโคเข้าไปยังคอกโคแต่เช้าตรู่ ไม่เห็นโคเหล่านั้น แม้จะรู้อยู่ว่าถูกพวกโจรลักไปก็เข้าไปหานายคามณิจันท์นั้นด้วยตั้งใจว่า จักปรับเอาสินไหมแก่นายคามณิจันท์จึงกล่าวว่า ผู้เจริญ ท่านจงมอบโคทั้งสองให้เรา. นายคามณิจันท์ว่า โคเข้าบ้านไปแล้วมิใช่หรือ. เจ้าของโคว่า ท่านมอบโคเหล่านั้นแก่เราแล้วหรือ. นายคามณิจันท์ว่า ยังไม่ได้มอบ. เจ้าของโคกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้เป็นความอาญาสําหรับท่านๆ จงมา จริงอยู่ในชนบทเหล่านั้น เมื่อใครๆ ยกเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นจะเป็นก้อนกรวดหรือชิ้นกระเบื้องก็ตาม แล้วกล่าวว่า นี้เป็นความอาญาสําหรับท่าน ท่านจงมา ดังนี้ ผู้ใดไม่ไปก็ย่อมลงอาญาแก่ผู้นั้น เพราะฉะนั้นนายคามณิจันท์นั้น พอได้ฟังว่าเป็นความอาญา ก็ออกไปทันที. เขาไปยังราชสกุลกับเจ้าของโคนั้น ไปถึงบ้านอันเป็นที่อยู่ของสหาย เข้าบ้านหนึ่ง จึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าหิวจัด ท่านจงรออยู่ที่นี้แหละจนกว่าจะเข้าไปยังบ้าน รับประทานอาหารแล้วกลับมา ว่าแล้วก็ได้ไปยังบ้านของสหาย. ส่วนสหายของเขาไม่อยู่บ้าน หญิงสหายเห็นเข้าก็กล่าวว่า นาย อาหารที่หุงต้มสุกไม่มี ท่านจงรอสักครู่ดิฉันจักหุงให้ท่านเดี๋ยวนี้แหละ แล้วรีบขึ้นฉางข้าวสารทางพะอง จึงพลัดตกไปที่พื้นดิน. ครรภ์ของนางพอดีได้ ๗ เดือนก็ตกไปในขณะนั้นนั่นเอง ขณะนั้น สามีของนางกลับมาเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า ท่านประหารภรรยาของเราทําให้ครรภ์ตก นี้เป็นความอาญาของท่าน นางจงมา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 59
แล้วพานายคามณิจันท์นั้นออกไป. จําเดิมแต่นั้น คนทั้งสองเดินไปให้นายคามณิจันท์อยู่กลาง. ครั้งนั้น ที่ประตูบ้านแห่งหนึ่ง คนเลี้ยงม้าผู้หนึ่งไม่สามารถต้อนม้าให้กลับบ้าน. ฝ่ายม้าก็เดินไปในสํานักของคนเหล่านั้น คนเลี้ยงม้าเห็นนายคามณิจันท์จึงกล่าวว่า ลุงคามณิจันท์ช่วยเอาอะไรๆ ปาม้าตัวนี้ให้กลับทีเถิด. นายคามณิจันท์จึงเอาหินก้อนหนึ่งขว้างไป ก้อนหินนั้นกระทบขาม้าหักเหมือนท่อนไม้ละหุ่งฉะนั้น. ลําดับนั้น คนเลี้ยงม้าได้กล่าวกะนายคามณิจันท์ว่า ท่านทําขาม้าของเราหัก นี้เป็นความอาญาสําหรับท่านแล้วจับตัวไป. ฝ่ายนายคามณิจันท์นั้น เมื่อถูกคนทั้ง ๓ นําไป จึงคิดว่า คนเหล่านี้จักแสดงเราแก่พระราชา แม้มูลค่าราคาโค เราก็ไม่อาจให้ได้ จะป่วยกล่าวใยถึงอาญาที่ทําให้ครรภ์ตก ก็เราจักได้มูลค่าม้ามาแต่ไหน เราตายเสียประเสริฐกว่า. เขาเดินไปได้เห็นภูเขาลูกหนึ่งซึ่งมีหน้าผาชันข้างหนึ่ง ณ ที่ใกล้ทางในดง ระหว่างทาง. ช่างสาน ๒ คนพ่อลูกสานเสื่อลําแพนอยู่ในร่มเงาของภูเขานั้น. นายคามณิจันท์กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะถ่ายอุจจาระ ท่านทั้งหลายจงรออยู่ที่นี้แหละสักครู่จนกว่าข้าพเจ้าจะมาแล้วขึ้นไปยังภูเขานั้น กระโดดลงไปทางด้านหน้าผา ตกลงไปบนหลังช่างสานผู้เป็นพ่อ ช่างสานผู้เป็นพ่อนั้นถึงแก่ความตายทันที นายคามณิจันท์ไม่ตาย ลุกขึ้นได้ก็ไปเสีย. ช่างสานผู้บุตรกล่าวว่า ท่านเป็นโจรฆ่าพ่อฉัน นี้เป็นความอาญาสําหรับท่าน แล้วจับมือนายคามณิจันท์ลากออกจากพุ่มไม้ เมื่อนายคามณิจันท์พูดว่า นี่อะไรกัน จึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 60
กล่าวว่า เจ้าเป็นโจรฆ่าพ่อของข้า. ตั้งแต่นั้นมา ชนทั้ง ๔ คน ให้นายคามณิจันท์อยู่กลางพากันห้อมล้อมไป.
ครั้นไปถึงประตูบ้านอีกแห่งหนึ่ง นายบ้านส่วยคนหนึ่งเห็นนายคามณิจันท์ จึงกล่าวว่า ลุงคามณิจันท์ ท่านจะไปไหน? เมื่อนายคามณิจันท์กล่าวว่า จะไปเฝ้าพระราชา จึงกล่าวว่า ท่านจักไปเฝ้าพระราชาจริงแล้ว ข้าพเจ้าประสงค์จะถวายสาส์นแด่พระราชา ท่านจักนําไปได้ไหม. นายคามณิจันท์ว่า ได้ฉันจักนําไปให้. นายบ้านส่วยกล่าวว่าเมื่อก่อนตามปกติ ข้าพเจ้ามีรูปงาม มีทรัพย์ สมบูรณ์ด้วยยศศักดิ์ ไม่มีโรค มาบัดนี้ ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจ เกิดโรคผอมเหลือง ท่านจงทูลถามพระราชาว่าในเรื่องนั้นเป็นเพราะเหตุไร? ได้ยินว่าพระราชาเป็นผู้ฉลาด พระองค์จักตรัสบอกแก่ท่าน ท่านจงบอกพระดํารัสของพระองค์แก่ข้าพเจ้าด้วย. นายคามณิจันท์รับว่าได้. ลําดับนั้น หญิงคณิกาคนหนึ่ง อยู่ที่ประตูบ้านแห่งหนึ่งข้างหน้า เห็นนายคามณิจันท์นั้น จึงกล่าวว่า ลุงคามณิจันท์ ท่านจะไปไหน? เมื่อนายคามณิจันท์บอกว่าจะไปเฝ้าพระราชา จึงกล่าวว่า เขาลือว่า พระราชาเป็นบัณฑิตผู้ฉลาด ท่านจงนําข่าวสาส์นของเราไปด้วย แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า เมื่อก่อน ข้าพเจ้าได้ค่าจ้างมาก มาบัดนี้ ไม่ได้แม้แต่หมากพลู ใครๆ ผู้จะมายังสํานักของเรา ไม่มีเลย ท่านจงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้นเป็นเพราะเหตุไรแล้วพึงกลับมาบอกแก่ข้าพเจ้า. ลําดับนั้น หญิงสาวคนหนึ่งที่ประตูบ้านแห่งหนึ่งข้างหน้า เห็นนายคามณิจันท์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 61
แล้วได้ถามเหมือนอย่างนั้น แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่อาจอยู่ในเรือนของสามี ทั้งไม่อาจอยู่ในเรือนของตระกูล ท่านจงทูลถามพระราชาว่าในเรื่องนั้น เป็นเพราะเหตุอะไร? แล้วพึงบอกแก่ข้าพเจ้า. ครั้นในกาลต่อมาจากนั้น มีงูอยู่ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง ใกล้ทางใหญ่ เห็นนายคามณิจันท์นั้นจึงถามว่า ท่านคามณิจันท์ จะไปไหน? เมื่อเขาบอกว่า จะไปเฝ้าพระราชา จึงกล่าวว่า ข่าวว่า พระราชาเป็นบัณฑิตท่านจงนําข่าวสาส์นของข้าพเจ้าไปด้วย แล้วกล่าวว่า ในเวลาไปหากินข้าพเจ้าถูกความหิวแผดเผา มีร่างกายเหี่ยวแห้ง เมื่อจะออกจากจอมปลวก ร่างกายเต็มคับปล่อง เคลื่อนตัวออกด้วยความยากลําบาก แต่ครั้นเที่ยวหากินแล้วกลับมา เป็นผู้อิ่มหนํา มีร่างกายอ้วนพี เมื่อจะเข้าไป ไม่กระทบกระทั่งข้างปล่องเลย เข้าไปอย่างง่ายดาย ท่านจงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็นเพราะเหตุไร? แล้วพึงบอกแก่ข้าพเจ้า. ลําดับนั้น เนื้อตัวหนึ่งข้างหน้าเห็นนายคามณิจันท์นั้นจึงถามเหมือนอย่างนั้นแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่อาจไปกินหญ้าในที่อื่นได้ สามารถกินอยู่ในที่โคนต้นไม้แห่งเดียวเท่านั้น ท่านพึงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็นเพราะเหตุไร? ครั้นต่อมา มีนกกระทาตัวหนึ่งข้างหน้า เห็นนายคามณิจันท์นั้นแล้ว จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าจับอยู่ที่จอมปลวกแห่งเดียวเท่านั้น สามารถอยู่ได้อย่างสบายใจ จับอยู่ที่อื่น ไม่สามารถจะอยู่ได้ ท่านพึงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้นเป็นเพราะเหตุไร? ลําดับนั้น รุกขเทวดาตนหนึ่งข้างหน้า เห็นนายคามณิจันท์นั้น จึงถามว่า ดูก่อนคามณิจันท์ ท่านจะไปไหน? เมื่อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 62
เขาบอกว่า จะไปเฝ้าพระราชา จึงกล่าวว่า เขาเล่าลือกันว่า พระราชาเป็นผู้ฉลาด เมื่อก่อนเราได้สักการะ. มาบัดนี้ แม้มาตรว่าใบไม้อ่อนสักกํามือก็ยังไม่ได้ ท่านช่วยทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็นเพราะเหตุไร? ในกาลต่อจากนั้น พระยานาคตัวหนึ่งเห็นนายคามณิจันท์จึงถามเหมือนอย่างนั้น แล้วกล่าวว่า ได้ยินว่าพระราชาเป็นบัณฑิต เมื่อก่อนน้ำในสระนี้ใส มีสีเหมือนแก้วมณี บัดนี้ ขุ่นมัว มีแหนปกคลุม ท่านพึงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็นเพราะเหตุไร? ที่นั้น ดาบสทั้งหลายผู้อยู่ในอารามแห่งหนึ่ง ในที่ใกล้พระนคร เห็นนายคามณิจันท์นั้น จึงถามเหมือนอย่างนั้นแล้วกล่าวว่า เขาว่าพระราชาเป็นบัณฑิต เมื่อก่อนผลาผลทั้งหลายในอารามนี้ อร่อย บัดนี้เฝือนฝาด ไม่อร่อย ไม่เป็นรส ท่านช่วยทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนี้เป็นเพราะเหตุไร? ข้างหน้าแต่นั้นไป มีพราหมณ์มาณพอยู่ในศาลาแห่งหนึ่ง ในที่ใกล้ประตูพระนคร เห็นนายคามณิจันท์นั้น จึงกล่าวว่าคามณิจันท์ผู้เจริญ ท่านจะไปไหน เมื่อเขากล่าวว่า จะไปเฝ้าพระราชา จึงพากันกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านช่วยถือเอาข่าวสาส์นของพวกเราไปด้วย เพราะว่า เมื่อก่อน ที่ที่พวกเราร่ําเรียนเอาแล้ว ย่อมปรากฏ แต่มาบัดนี้ ไม่ทรงจําอยู่ เหมือนน้ำในหม้อทะลุ ย่อมปรากฏเป็นเหมือนความมืดมนอนธการ ท่านพึงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนี้เป็นเพราะเหตุไร? นายคามณิจันท์รับเอาข่าวสาส์นทั้ง ๑๐ ข้อนี้แล้วได้ไปเฝ้าพระราชา. พระราชาได้เสด็จประทับนั่ง ณ สถานที่ที่วินิจฉัยอรรถคดี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 63
เจ้าของโคได้พานายคามณิจันท์เข้าเฝ้าพระราชา. พระราชาพอทรงเห็นนายคามณิจันท์ก็จําได้ ทรงพระดําริว่า นายคามณิจันท์เป็นอุปัฏฐากแห่งพระชนกของเรา พอยกเราขึ้นแล้วก็หลีกเลี่ยงไปตลอดเวลาประมาณเท่านี้ เขาอยู่ที่ไหนหนอ จึงตรัสถาม ท่านคามณิจันท์ผู้เจริญ ตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ ท่านอยู่ที่ไหน? เป็นเวลานานแล้ว ไม่ปรากฏ ท่านมาด้วยต้องการอะไร. นายคามณิจันท์กราบทูลว่า ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า จําเดิมแต่พระชนกของพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว ข้าพระองค์ไปอยู่ชนบทกระทํากสิกรรมเลี้ยงชีพ แต่นั้น บุรุษผู้นี้ได้แสดงความอาญาเพราะเหตุเกี่ยวกับคดีเรื่องโค จึงคร่าตัวข้าพระองค์มาเฝ้าพระองค์พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ท่านไม่ถูกคร่าตัวมาก็คงไม่มา เพราะเหตุนั้น ความที่ท่านถูกคร่าตัวมานั่นแหละเป็นความดีงาม บัดนี้ เราจะเห็นบุรุษผู้นั้น บุรุษผู้นั้นอยู่ที่ไหน. นายคามณิจันท์กราบทูลว่า คนนี้พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่า ผู้เจริญได้ยินว่า ท่านฟ้องความอาญาแก่นายคามณิจันท์ของเราจริงหรือ. เจ้าของโคทูลว่า จริงพระเจ้าข้า. พระราชตรัสถามว่า เพราะเหตุไร. เจ้าของโคทูลว่า เพราะนายคามณิจันท์นี้ ไม่คืนโค ๒ ตัวให้แก่ข้าพระองค์พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า เขาว่าจริงหรือ จันทะ? นายคามณิจันท์ทูลว่า ขอเดชะ ถ้าอย่างนั้นขอพระองค์โปรดทรงสดับต่อข้าพระองค์เถิด แล้วกราบทูลเรื่องราวทั้งปวงให้ทรงทราบ. พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสถามเจ้าของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 64
โคว่า ผู้เจริญเมื่อโคเข้าบ้านของท่าน ท่านเห็นหรือเปล่า? เจ้าของโคทูลว่า ไม่เห็น พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ท่านไม่เคยได้ยินคนเขาพูดถึงเราว่า พระราชาพระนามว่าอาทาสมุข บ้างหรือ ท่านอย่าหวาดระแวงเลย จงบอกมาเถิด. เจ้าของโคทูลว่า ได้เห็นพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า คามณิจันท์ผู้เจริญ เพราะท่านไม่มอบโคให้เจ้าของ ค่าโคปรับเป็นสินไหมสําหรับท่าน แต่บุรุษนี้ทั้งที่เห็น พูดมุสาวาททั้งรู้ ว่าไม่เห็น เพราะฉะนั้น ท่านนั่นแหละเป็นผู้ประกอบการควักนัยน์ตาทั้งสองข้างของบุรุษผู้นี้ และภรรยาของบุรุษผู้นี้ด้วย ส่วนตนเองให้กหาปณะ ๒๔ กหาปณะเป็นมูลค่าราคาโค. เมื่อตรัสอย่างนี้แล้ว นักการก็พาตัวเจ้าของโคออกไปข้างนอก. เจ้าของโคนั้นคิดว่าเมื่อเขาควักลูกตาเสียแล้ว เราจักเอากหาปณะไปทําอะไร จึงหมอบลงแทบเท้าของนายคามณิจันท์แล้วกล่าวว่า ท่านคามณิจันท์ผู้เป็นนาย กหาปณะที่เป็นมูลค่าค่าโคจงเป็นของท่านเถิด และจงถือเอากหาปณะเหล่านี้ด้วย แล้วในกหาปณะทั้งหลาย แม้อื่นๆ แล้วหนีไป.
ลําดับนั้น บุรุษคนที่ ๒ ทูลว่า ขอเดชะ นายคามณิจันท์นี้ประหารภรรยาของข้าพระองค์ ทําให้ครรภ์ตกไป. พระราชาตรัสถามว่า จริงหรือ จันทะ? นายคามณิจันท์ทูลว่า ข้าแต่มหาราชขอพระองค์โปรดทรงสดับ แล้วกราบทูลเรื่องทั้งปวงให้ทรงทราบโดยพิสดาร. ลําดับนั้น พระราชาตรัสถามนายคามณิจันท์นั้นว่า ก็ท่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 65
ประหารภรรยาของบุรุษผู้นี้ ทําให้ครรภ์ตกไปหรือ? นายคามณิจันท์ทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์มิได้ทําให้ตกไปพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามบุรุษนั้นว่า ผู้เจริญ ความที่นายคามณิจันท์นี้ประหารแล้วทําครรภ์ให้ตกไป ท่านอาจให้เกิดมีขึ้นได้หรือไม่? บุรุษนั้นทูลว่าไม่อาจ พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามเขาว่า บัดนี้ ท่านจะกระทําอย่างไร? บุรุษนั้นทูลว่า ข้าพระองค์ต้องการบุตรคืนมาพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า จันทะผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ท่านเอาภรรยาของบุรุษผู้นี้ไปไว้ในเรือนของท่าน ในคราวที่นางคลอดบุตร จงนําบุตรนั้นมาให้บุรุษผู้นี้. ฝ่ายบุรุษผู้นั้นจึงหมอบลงแทบเท้าของนายคามณิจันท์แล้วกล่าวว่า นายท่านอย่าทําลายเรือนของเราเลย ได้ให้กหาปณะแล้วหลีกหนีไป.
ลําดับนั้น บุรุษคนที่ ๓ มากราบทูลว่า ขอเดชะ นายคามณิจันท์นี้ประหารทําเท้าม้าของข้าพระองค์หัก พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่า เขาว่า จริงหรือ จันทะ? นายคามณิจันท์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชขอได้โปรดสดับ แล้วกราบทูลประพฤติเหตุนั้นโดยพิสดาร. พระราชาได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัสถามคนเลี้ยงม้าว่า เขาว่าท่านพูดว่า จงขว้างม้าให้กลับ จริงหรือ? คนเลี้ยงม้านั้นทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ไม่ได้พูด พระเจ้าข้า เขาถูกตรัสถามซ้ำจึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์พูดพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสเรียกนายคามณิจันท์มาตรัสว่า จันทะผู้เจริญ บุรุษผู้นี้ พูดแล้ว กลับกล่าวมุสาวาทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 66
ไม่ได้พูด ท่านจงตัดลิ้นของเขาแล้วเอาของที่มีของเราเป็นมูลค่าม้าให้ไปพันหนึ่ง. คนเลี้ยงม้ากลับให้กหาปณะ แม้อื่นอีกแล้วหลบหนีไป.
ลําดับนั้น บุตรช่างสานกราบทูลว่า ขอเดชะ นายคามณิจันท์นี้ เป็นโจรฆ่าบิดาของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่า เขาว่า จริงหรือ จันทะ? นายคามณิจันท์กราบทูลว่า ขอเดชะพระองค์โปรดทรงสดับ แล้วกราบทูลเหตุนั้นให้ทรงทราบโดยพิสดาร. พระราชารับสั่งให้เรียกช่างสานมาแล้วตรัสถามว่า บัดนี้ ท่านจะกระทําอย่างไร? ช่างสานทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ขอบิดาของข้าพระองค์คืนมา พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า จันทะผู้เจริญ การได้บิดาของช่างสานนี้คืนมาจึงจะควร ก็คนตายแล้วไม่อาจนํามาอีกได้ ท่านจงนํามารดาของช่างสานคนนี้มาไว้ในเรือนท่านแล้ว เป็นบิดาของช่างสานนี้. บุตรช่างสานกล่าวว่า นาย ท่านอย่าทําลายเรือนแห่งบิดาผู้ตายแล้วของข้าพเจ้าเลย ได้ให้กหาปนะแก่นายคามณิจันท์แล้วหลบหนีไป
นายคามณิจันท์ได้ประสบชัยชนะเฉพาะวันนี้ มีจิตยินดีกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ มีคนบางคนส่งสาส์นมาแก่พระองค์ ข้าพระองค์ขอกราบทูลสาส์นนั้นแก่พระองค์. พระราชาตรัสว่า จงบอกมาเถิด จันทะ. นายคามณิจันท์จึงกราบทูลทีละเรื่องๆ โดยย้อนลําดับเริ่มสาส์นของพวกพราหมณ์มาณพเป็นเรื่องต้น. พระราชาได้ทรงวิสัชนาไปโดยลําดับ. ทรงวิสัชนาอย่างไร? คือก่อนอื่น ทรงสดับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 67
สาส์นที่ ๑ ได้ตรัสว่า เมื่อก่อน ได้มีไก่ซึ่งขันเป็นเวลาอยู่ในที่เป็นที่อยู่พวกพราหมณ์มาณพเหล่านั้น เมื่อพราหมณ์มาณพเหล่านั้นลุกขึ้นตามเสียงไก่นั้น แล้วเรียนมนต์ทําการสังวัธยายอยู่ จนอรุณขึ้นด้วยเหตุนั้น มนต์ที่พวกพราหมณ์มาณพเหล่านั้นเล่าเรียนมาเอาไว้ก็ไม่เสื่อม มาบัดนี้ มีไก่ซึ่งขันไม่เป็นเวลาอยู่ในที่อยู่ของพราหมณ์มาณพเหล่านั้น ไก่ตัวนั้น ขันดึกเกินไปบ้าง จวนสว่างบ้าง พวกพราหมณ์มาณพลุกขึ้นตามเสียงของไก่นั้นซึ่งขันดึกเกินไป เล่าเรียนมนต์ก็ง่วงนอน กําลังทําการสังวัธยายก็หลับไปอีก ครั้นลุกขึ้นตามเสียงของไก่ซึ่งขันในเวลาจวนจะสว่าง ก็สังวัธยายไม่ได้ ด้วยเหตุนั้น มนต์ที่พวกพราหมณ์มาณพเหล่านั้นเล่าเรียนไว้ จึงไม่ปรากฏ.
แม้เรื่องที่ ๒ ครั้นได้ทรงสดับแล้ว จึงตรัสว่า เมื่อก่อนดาบสเหล่านั้นพากันกระทําสมณธรรม ได้เป็นผู้ขวนขวายประกอบการบริกรรมกสิณ มาบัดนี้ พากันละทิ้งสมณธรรมเสีย ขวนขวายประกอบในกิจที่ไม่ควรกระทํา ให้ผลาผลที่เกิดขึ้นในอารามแก่พวกอุปัฏฐาก สําเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ ด้วยการรับก้อนข้าวและให้ก้อนข้าวตอบแทน ด้วยเหตุนั้น ผลาผลทั้งหลายของดาบสเหล่านั้นจึงไม่อร่อย ก็ถ้าดาบสเหล่านั้น จักเป็นผู้ขวนขวายประกอบสมณธรรมอีก เหมือนในกาลก่อน ผลาผลทั้งหลายของดาบสเหล่านั้น จักกลับมีรสอร่อยอีก ดาบสเหล่านั้นย่อมไม่รู้ว่าราชตระกูลเป็นบัณฑิตท่านจงบอกให้ดาบสเหล่านั้นกระทําสมณธรรม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 68
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๓ จึงตรัสว่า พระยานาคเหล่านั้นกระทําการทะเลาะกันแลกันด้วยเหตุนั้น น้ำนั้นจึงขุ่นมัว ถ้าพระยานาคเหล่านั้นจักสมัครสมานกันเหมือนเมื่อก่อน จักกลับเป็นน้ำใสอีก.
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๔ จึงตรัสว่า เมื่อก่อน รุกขเทวดานั้นรักษาพวกมนุษย์ผู้เดินทางไปในดง เพราะฉะนั้น จึงได้พลีกรรมมีประการต่างๆ มาบัดนี้ ไม่กระทําการอารักขา เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้พลีกรรม ถ้าจักกระทําการอารักขา เหมือนในกาลก่อน ก็จักเป็นผู้ได้ลาภอันเลิศอีก เทวดานั้นไม่รู้ว่าพระราชาเป็นบัณฑิต เพราะฉะนั้น ท่านจงบอกให้เทวดานั้นอารักขาพวกมนุษย์ผู้ขึ้นสู่ดงเถิด.
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๕ จึงตรัสว่า นกกระทานั้น จับที่เชิงจอมปลวกนั้น จึงขันอย่างอิ่มเอิบใจ ภายใต้จอมปลวกนั้น มีหม้อขุมทรัพย์ใหญ่ ท่านจงขุดจอมปลวกเอาขุมทรัพย์นั้นเถิด.
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๖ จึงตรัสว่า เนื้อตัวนั้นสามารถกินหญ้าที่โคนต้นไม้ใด เบื้องบนต้นไม้นั้น มีรวงผึ้งใหญ่ เนื้อตัวนั้นติดหญ้าที่เปื้อนน้ำผึ้ง จึงไม่อาจเคี้ยวกินหญ้าอื่น ท่านจงนํารวงผึ้งนั้นไปแล้วส่งรสหวานชั้นเลิศมาให้เรา ที่เหลือจากนั้น เอาไว้บริโภคใช้สอยสําหรับตน.
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๗ จึงตรัสว่า ภายใต้จอมปลวกที่งูอยู่นั้นมีขุมทรัพย์หม้อใหญ่ งูตัวนั้นรักษาขุมทรัพย์นั้นอยู่ ในเวลาจะออกเพราะความโลภในทรัพย์ จึงทําสรีระให้หย่อน ติดนั่นติดนี่ออกไป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 69
ครั้นได้เหยื่อแล้ว ไม่ติดขัดเลย รีบเข้าไปโดยเร็ว เพราะความเสน่หาในทรัพย์ ท่านจงขุดเอาขุมทรัพย์นั้นเถิด.
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๘ จึงตรัสว่า ในระหว่างบ้านเป็นที่อยู่ของสามีและบิดามารดา ของหญิงรุ่นสาวนั้น มีชายชู้อยู่ในบ้านแห่งหนึ่ง นางระลึกถึงชายชู้นั้น เพราะความเสน่หาในชายชู้นั้นจึงไม่อาจอยู่ในเรือนสามี พูดว่า ฉันจักไปเยี่ยมบิดามารดา แล้วก็ไปอยู่ในเรือนชายชู้ ๒ - ๓ วันแล้วจึงไปเรือนบิดามารดา อยู่ที่เรือนบิดามารดานั้น ๒ - ๓ วันหวนระลึกถึงชายชู้ขึ้นมา จึงพูดว่า ฉันจักไปเรือนสามี ก็หวนไปเรือนของชายชู้นั่นแหละ ท่านจงบอกหญิงคนนั้นว่า พระราชกําหนดกฎหมายมีอยู่ แล้วจงกล่าวแก่หญิงนั้นว่า นัยว่านางจงอยู่เฉพาะในเรือนของสามีเท่านั้น ถ้าพระราชารับสั่งให้จับท่าน ชีวิตของท่านก็จะไม่มีอยู่ ควรกระทําความไม่ประมาท.
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๙ จึงตรัสว่า เมื่อก่อน หญิงคณิกาคนนั้นรับเอาค่าจ้างจากมือของชายคนหนึ่งแล้ว ก็อยู่ประจํากะชายคนนั้นไม่รับเอาจากมือของคนอื่นอีก ด้วยเหตุนั้น ในครั้งก่อน ค่าจ้างจึงเกิดขึ้นแก่หญิงคณิกา คนนั้นอย่างมากมาย มาบัดนี้ หญิงคณิกา นั้นละทิ้งธรรมดาของตนเสีย ไม่ชําระค่าจ้างที่ตนรับจากมือของชายคนหนึ่งให้เสร็จก่อน ไปรับจากมือของชายอื่น ไม่ให้โอกาสแก่ชายคนแรก กลับให้โอกาสแก่ชายคนหลัง ด้วยเหตุนั้น ค่าจ้างจึงไม่เกิดขึ้นแก่หญิงคณิกานั้น ใครๆ จึงไม่ไปหาหญิงคณิกานั้น ถ้าหากจักตั้ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 70
อยู่ในธรรมดาของตน ค่าจ้างจักมีเช่นกับเมื่อก่อนทีเดียว ท่านจงบอกหญิงคณิกานั้นให้ตั้งอยู่ในธรรมของตน.
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๑๐ จึงตรัสว่า นายบ้านส่วยคนนั้นเมื่อก่อน วินิจฉัยอรรถคดี โดยธรรม โดยสม่ําเสมอ ด้วยเหตุนั้นจึงเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของคนทั้งหลาย และพวกคนที่รักใคร่ก็นําบรรณาการเป็นอันมากมาให้แก่เขา ด้วยเหตุนั้น เขาจึงเป็นผู้มีรูปงามมีทรัพย์มาก สมบูรณ์ด้วยยศ มาบัดนี้ เป็นผู้เห็นแก่สินบนวินิจฉัยอรรถคดีโดยไม่เป็นธรรม ด้วยเหตุนั้น จึงเป็นคนกําพร้า เข็ญใจถูกโรคผอมเหลืองครอบงํา ถ้าเขาจักวินิจฉัยอรรถคดีโดยธรรมเหมือนเมื่อก่อน เขาจักกลับเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีก เขาไม่รู้ว่ามีพระราชาอยู่ ท่านจงบอกเขาให้วินิจฉัยอรรถคดี โดยธรรมเถิด. นายคามณิจันท์ได้กราบทูลสาส์นมีประมาณเท่านี้ให้พระราชาทรงทราบด้วยประการฉะนี้. พระราชาก็ได้ทรงพยากรณ์ปัญหานั้นทั้งหมดด้วยปัญญาของพระองค์ ประดุจพระสัพพัญูพุทธเจ้า ให้พระราชทรัพย์มากมายแก่นายคามณิจันท์ ทรงกระทําบ้านที่อยู่ของเขาให้เป็นพรหมไทย พระราชทานเฉพาะเขาเท่านั้นแล้วส่งกลับไป.
นายคามณิจันท์นั้นออกจากพระนคร แล้วบอกข่าวสาส์นสิ้นที่พระโพธิสัตว์ประทานมา แก่พราหมณ์มาณพ ดาบส พระยานาคและรุกขเทวดา เสร็จแล้วถือเอาขุมทรัพย์จากสถานที่พักนกกระทาจับแล้วไปเอารวงผึ้งจากต้นไม้ในสถานที่เนื้อกินหญ้า ส่งน้ำผึ้งไปถวาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 71
พระราชา แล้วไปขุดจอมปลวกในสถานที่อยู่ของงู เอาขุมทรัพย์มาแล้ว บอกข่าวสาส์นตามทํานองที่พระราชาตรัสนั่นแหละ แก่หญิงสาวรุ่น หญิงคณิกา และนายบ้าน เสร็จแล้วไปยังบ้านของตนด้วยยศอันยิ่งใหญ่ดํารงอยู่ชั่วอายุก็ได้ไปตามยถากรรม. ฝ่ายพระเจ้าอาทาสมุขทรงบําเพ็ญบุญทั้งหลาย มีทานเป็นต้น ในเวลาสิ้นพระชนมายุ ทรงบําเพ็ญทางสวรรค์ให้เต็ม แล้วเสด็จไป.
พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีปัญญามาก ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็มีปัญญามากเหมือนกัน ครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ชนเป็นอันมาก ได้เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์. นายคามณิจันท์ในกาลนั้นได้เป็นพระอานนท์ ในบัดนี้ ส่วนพระเจ้าอาทาสมุขในกาลนั้น คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาคามณิจันทชาดกที่ ๗