๖. สาลุกชาดก อุบายไม่ให้ถูกฆ่า
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 292
๖. สาลุกชาดก
อุบายไม่ให้ถูกฆ่า
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 292
๖. สาลุกชาดก
อุบายไม่ให้ถูกฆ่า
[๔๕๗] ท่านอย่าปรารถนาต่อหมูชื่อสาลุกะเลยเพราะว่าหมูชื่อว่าสาลุกะนี้ บริโภคอาหารเป็นเครื่องเดือดร้อน ท่านจงเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย เคี้ยวกินแต่ข้าวลีบนี้เถิดนี้เป็นลักษณะแห่งความอายุยืน.
[๔๕๘] ในไม่ช้า ราชบุรุษผู้มีบริวารมากนั้น ก็จะเป็นแขกมาประชุมกัน ณ สถานที่นี้ ในกาลนั้นท่านก็จะได้เห็นหมูสาลุกะตัวนี้ อันเจ้าของให้ทุบด้วยสากตะลุมพุกนอนตายอยู่.
[๔๕๙] วัวชราทั้งสองตัวพอเห็นหมูสาลุกะผู้กล้าหายอันเจ้าของทุบด้วยสากตะลุมพุกนอนตายอยู่ ก็คิดร่วมกันว่า ข้าวลีบเท่านั้นเป็นอาหารอย่างสูงสุดของเรา.
จบ สาลุกชาดกที่ ๖
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 293
อรรถกถาสาลุกชาดกที่ ๖
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภการประเล้าประโลมของนางถูลกุมาริกา จึงตรัสเรื่องนี้ มีคําเริ่มต้นว่ามา สาลุกสฺส ปิหยิ ดังนี้.
เรื่องการประเล้าประโลมของนางกุมาริกานั้น จักมีแจ้งในจูฬนารทกัสสปชาดก. แต่ในที่นี้พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่าดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอกระสันขึ้นแล้วจริงหรือ? ภิกษุนั้น กราบทูลว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสถามว่า ใครทําให้เธอกระสันขึ้นมา? ภิกษุนั้นกราบทูลว่า นางถูลกุมาริกาพระเจ้าข้า.พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ นางถูลกุมาริกา เป็นผู้กระทําความฉิบหายให้แก่เธอ แม้ในกาลก่อน เธอก็ได้เป็นแกงอ่อมของบริษัทที่มา ในวันวิวาห์ของนางถูลกุมาริกานี้ อันภิกษุทั้งหลายทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นโคผู้ชื่อว่ามหาโลหิต ส่วนน้องชายของพระโพธิสัตว์นั้น ได้เป็นโคผู้ชื่อว่า จุลลโลหิต. โคทั้งสองตัวนั้นทํางานในตระกูลหนึ่งในหมู่บ้าน. ตระกูลนั้น มีนางกุมาริกาคนหนึ่งกําลังเจริญวัย. ตระกูลอื่นได้ขอนางกุมาริกานั้น. ครั้งนั้นตระกูลนั้นคิดว่าในกาลวิวาหมงคลจักมีแกงอ่อม จึงปรนเปรอสุกรชื่อว่าสาลุกะด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 294
ข้าวยาคูและภัต. สาลุกสุกรนั้นนอนอยู่ใต้เตียง. อยู่มาวันหนึ่ง โคจุลลโลหิตกล่าวกะพี่ชายว่า พี่พวกเราทําการงานในตระกูลนี้ ตระกูลนี้อาศัยพวกเราเลี้ยงชีวิต ก็แหละ เมื่อเป็นอย่างนั้น มนุษย์เหล่านี้ให้แต่หญ้าและฟางแก่พวกเรา แต่เลี้ยงดูสุกรตัวนี้ด้วยข้าวยาคูและภัตและให้นอนใต้เตียง สุกรตัวนี้จักทําอะไรแก่คนเหล่านี้. โคมหาโลหิตกล่าวว่า พ่อ เจ้าอย่าปรารถนาข้าวยาคูและภัตของสุกรตัวนี้เลย ก็ในวันวิวาหมงคลของนางกุมาริกานี้ เขาประสงค์จะทําสุกรตัวนี้ให้เป็นแกงอ่อม จึงเลี้ยงสุกรตัวนี้ด้วยข้าวยาคูและภัต เพื่อกระทําเนื้อให้เป็นกล้ามๆ อีก ๒ - ๓ วัน เจ้าจะเห็นสุกรตัวนั้นถูกเขาฉุดลากออกจากใต้เตียงแล้ว ฆ่าสับให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ กระทําให้เป็นอาหาร สําหรับเลี้ยงแขก ดังนี้ แล้วตั้งคาถา ๒ คาถาแรกว่า :-
ท่านอย่าปรารถนาต่อสาลุกสุกรเลยเพราะเขาบริโภคอาหารอันเดือดร้อน ท่านจงเป็นผู้มีความขวนขวายน้อยเคี้ยวกินแกลบเถอะ นี้เป็นลักษณะแห่งความอายุยืน.
ในไม่ช้า ราชบุรุษผู้มีบริวารมากนั้นจะเป็นแขกมาประชุมกันที่นี้ ในการนั้นท่านก็จะได้เห็นสาลุกสุกรตัวนี้ ถูกเขาทุบด้วยสากตะลุมพุก นอนตายอยู่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 295
ในกาลนั้น มีเนื้อความสังเขปดังต่อไปนี้ :- พ่อมหาจําเริญท่านอย่าปรารถนาภาวะเช่นสาลุกสุกรเลย เพราะว่าสาลุกสุกรนี้บริโภคอาหารอันเดือดร้อน คือโภชนะเครื่องฆ่าตน ซึ่งบริโภคแล้วไม่นานนักจักถึงความตาย แต่ท่านจงเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย ไม่ห่วงใย เคี้ยวกินแกลบปนฟางนี้ที่ตนได้แล้วเถิด นี้เป็นลักษณะ คือเป็นนิมิตรให้รู้ถึงความเป็นผู้มีอายุยืนยาว บัดนี้ คือไม่นานนัก ราชบุรุษผู้มาในงานวิวาหมงคลนั้น ชื่อว่าอํามาตย์ราชเสวก เพราะประกอบด้วยบริวารเป็นอันมาก จักเป็นแขกมาในที่นี้ เมื่อนั้นแหละท่านจะได้เห็นสาลุกสุกรนี้ ถูกทุบด้วยสากตะลุมพุก เพราะประกอบส่วนข้างบนเหมือนสาก นอนตายอยู่.
ต่อมาสองสามวันเท่านั้น เมื่อแขกในงานวิวาหมงคลพากันมาแล้ว เจ้าของงานทั้งหลายได้ฆ่าสาลุกสุกรทําเป็นแกงอ่อม. โคทั้งสองเห็นความวิบัตินั้นของสาลุกสุกรนั้น จึงปรึกษากันว่า แกลบเท่านั้นเป็นของประเสริฐสําหรับพวกเรา. พระศาสดาทรงเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว จึงตรัสพระคาถาที่๓ อันเกิดจากเรื่องนั้นว่า :-
วัวชราทั้งสองได้เห็นสาลุกสุกรผู้กล้า-หาญ ถูกเจ้าของทุบด้วยสากตะลุมพุกนอนตายอยู่ จึงได้คิดกันว่า ข้าวลีบเท่านั้นเป็นอาหารอย่างสูงสุดของพวกเรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 296
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภุสามิว ความว่า ข้าวลีบเท่านั้นเป็นอาหารประเสริฐ คือสูงสุดของเรา.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุนั้นดํารงอยู่ในโสดาปัตติผล. ถูลกุมาริกาในครั้งนั้น ได้เป็นนางถูลกุมาริกาในบัดนี้แหละ สาลุกสุกรในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุผู้กระสันในบัดนี้ โคจุลลโลหิตในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้ ส่วนโคมหาโลหิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถาสวลุกชาดกที่ ๖