๙. นานาฉันทชาดก ว่าด้วยต่างคนต่างใจ
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 310
๙. นานาฉันทชาดก
ว่าด้วยต่างคนต่างใจ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 310
๙. นานาฉันทชาดก
ว่าด้วยต่างคนต่างใจ
[๔๖๖] ข้าแต่มหาราช ข้าพระบาททั้งหลายอยู่ร่วมในเรือนหลังเดียวกัน แต่มิฉันทะต่างกันข้าพระบาทอยากได้บ้านส่วย นางพราหมณีอยากได้โคนมสักร้อยหนึ่ง.
[๔๖๗] ลูกชายอยากได้รถเทียมม้าอาชาไนย ลูกสะใภ้อยากได้ภุณฑลแก้ว ฝ่ายนางปุณณทาสีผู้ชั่วช้าก็จํานงจะใคร่ได้ครกสากและกระด้ง.
[๔๖๘] ท่านทั้งหลายจงให้บ้านส่วยแก่พราหมณ์จงให้โคนมร้อยหนึ่งแก่นางพราหมณี จงให้รถเทียมม้าอาชาไนยแก่ลูกชาย จงให้ภุณฑลแก้วแก่ลูกสะใภ้ และจงให้ครกตําข้าวสากและกระด้งแก่นางปุณณทาสีผู้ชั่วช้า.
จบ นานาฉันทชาดกที่ ๙
อรรถกถานานาฉันทชาดกที่ ๙
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภการได้พร ๘ ประการของท่านพระอานันทเถระ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคํา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 311
เริ่มต้นว่า นานาฉนฺทา มหาราช ดังนี้. เรื่องนี้จักมีแจ้งในชุณหชาดก เอกาทสนิบาต.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตนั้น พอเจริญวัย เล่าเรียนศิลปะทั้งปวงในเมืองตักกศิลา เมื่อพระราชบิดาสวรรคต ก็ได้ครองราชสมบัติ. พระโพธิ-สัตว์นั้น มีปุโรหิตของพระราชบิดาถูกถอดจากตําแหน่ง. ปุโรหิตนั้นเป็นคนเข็ญใจ อาศัยอยู่ในเรือนคนชราแห่งหนึ่ง. ครั้นวันหนึ่งพระโพธิสัตว์ปลอมเพศโดยใครๆ ไม่รู้จัก เสด็จเที่ยวตรวจตราพระนครในตอนกลางคืน. พวกโจรที่กระทําโจรกรรมแล้ว พากันดื่มสุราในโรงสุราแห่งหนึ่ง เอาหม้อใส่สุราไว้ต่างหากหม้อหนึ่ง ถือไปบ้านของตนๆ ในระหว่างทาง ได้เห็นพระโพธิสัตว์นั้นเข้าจึงกล่าวว่า เฮ้ยเจ้าเป็นใคร? แล้วตีชิงเอาผ้าห่ม ให้ยกหม้อสุรานั้นขู่ให้เดินไป.ฝ่ายพราหมณ์นั้น ขณะนั้น ออกไปยืนอยู่ในระหว่างถนน ตรวจดูดาวนักษัตรรู้ว่าพระราชาตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกศัตรู จึงเรียกนางพราหมณี. นางพราหมณีนั้นกล่าวว่า อะไรกันค่ะท่าน แล้วรีบมายังสํานักของพราหมณ์นั้น. ลําดับนั้น พราหมณ์กล่าวกะนางพราหมณีนั้นว่า นางผู้เจริญ พระราชาของเราตกอยู่ในอํานาจของศัตรู. พราหมณีกล่าวว่า ก็ธุระอะไรของท่านเล่า พวกพราหมณ์ผู้มียศในราชสํานักจักรู้เอง. พระราชาทรงสดับเสียงของพราหมณ์ได้เสด็จไปหน่อยจึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 312
ตรัสกะพวกนักเลงว่า นาย ข้าพเจ้าเป็นคนยากจน ท่านเอาผ้าห่มไปแล้ว จงปล่อยข้าพเจ้าเถิด. พระราชาทรงตรัสอยู่บ่อยๆ พวกนักเลงเหล่านั้นจึงปล่อยไป ด้วยความกรุณา. พระราชาทรงกําหนดเรือนที่อยู่ของนักเลงเหล่านั้นแล้วเสด็จกลับ. ลําดับนั้น แม้ปุโรหิตคนเก่าก็กล่าวว่า นางผู้เจริญ พระราชาของเราพ้นจากเงื้อมมือของศัตรูแล้ว.พระราชาได้ทรงสดับคําแม้นั้น แล้วทรงกําหนดเรือนของปุโรหิตนั้นไว้ เสด็จขึ้นสู่ปราสาท. เมื่อราตรีสว่างแล้ว พระราชารับสั่งให้เรียกพราหมณ์ทั้งหลายมา แล้วตรัสถามว่า ท่านอาจารย์ ในตอนกลางคืนท่านทั้งหลายได้ตรวจดาวนักษัตรบ้างหรือเปล่า? พราหมณ์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ได้ตรวจดูแล้ว พระเจ้าข้า.พระราชาตรัสถามว่า นักขัตตฤกษ์งามไหม? พราหมณ์. งามพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่า ไม่เคราะห์อะไรๆ หรือ? พราหมณ์. ไม่มีพระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้เรียกปุโรหิตคนเก่ามา โดยรับสั่งว่าท่านจงไปเรียกพราหมณ์จากบ้านโน้นมา แล้วตรัสถามว่า อาจารย์ตอนกลางคืน ท่านเห็นดาวนักษัตรบ้างไหม? ปุโรหิตกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เห็นพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่า เคราะห์อะไรๆ มีไหม? พราหมณ์. กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระเจ้าข้าวันนี้ เวลากลางคืน พระองค์ตกอยู่ในอํานาจของศัตรู แต่เพียงครู่เดียวก็หลุดพ้นได้. พระราชาตรัสว่า ธรรมดาผู้รู้ดวงดาวนักขัตตฤกษ์ต้องเป็นคนเห็นปานนี้ ครั้นตรัสแล้วให้ถอดพวกพราหมณ์ที่เหลือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 313
นอกนั้นเสียแล้วตรัสว่า พราหมณ์ เราเลื่อมใสท่าน ท่านจงรับเอาพร.พราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระพุทธเจ้าปรึกษากับบุตรและภรรยา แล้วจักรับเอา พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ไปเถอะท่านปรึกษากันแล้วจึงค่อยมา. พราหมณ์นั้นไปแล้วเรียกพราหมณี บุตรชาย บุตรสะใภ้ และหญิงทาสี มาแล้วถามว่า พระราชาพระราชทานพรแก่เรา เราจะรับเอาอะไร? พราหมณีกล่าวว่า ท่านจงนําโคนมมาให้ดิฉัน ๑๐๐ ตัว. บุตรชาย ชื่อว่าฉัตตมาณพกล่าวว่า ท่านจงนํารถเทียมม้าอันเทียมด้วยม้าสินธพ ๔ ตัว มีสีเหมือนดอกโกมุทมาให้ฉันบุตรสะใภ้กล่าวว่า ท่านจงนําเอาเครื่องประดับมีต่างหูแก้วมณีเป็นต้นมาให้ดิฉัน. ทาสีชื่อว่าปุณณากล่าวว่า ท่านจงเอาครกและสากมาให้ดิฉัน. ส่วนพราหมณ์ต้องการรับเอาบ้านส่วย จึงไปยังราชสํานักอันพระราชาตรัสถามว่า ท่านถามบุตรและภรรยาคูแล้วหรือ จึงกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่มหาราช ข้าพระพุทธเจ้าถามแล้ว แต่มีความพอใจไม่เป็นอย่างเดียวกัน แล้วกล่าว ๒ คาถาแรกว่า :-
ข้าแต่มหาราช ข้าพระบาททั้งหลายอยู่ในเรือนหลังเดียวกัน แต่มีฉันทะความพอใจต่างกัน ข้าพระบาทอยากได้บ้านส่วย นางพราหมณีอยากได้โคนมสักร้อยหนึ่ง. ลูกชายอยากได้รถเทียมอาชาไนยลูกสะใภ้อยากได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 314
ต่างหูแก้วมณี ฝ่ายนางปุณณทาสีผู้ชั่วช้าจํานงหวังจะใคร่ได้ครก สาก และกระด้ง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิจฺเฉ แปลว่า ย่อมปรารถนา.บทว่า ควํ สตํ ได้แก่โคชนิดแม่โคนมร้อยตัว. บทว่า กฺญา หมายถึงลูกสะใภ้. บทว่า ยา เจสา ความว่า ทาสีชื่อว่าปุณณาในเรือนของข้าพระบาทนั้น นางเป็นคนเลวทราม จํานงหวัง คือต้องการครกพร้อมทั้งกระด้งและสาก.
พระราชาทรงสั่งว่า พวกท่านจงให้สิ่งที่ต้องการแล้วๆ แก่ทุกๆ คน ได้ตรัสเป็นคาถาว่า :-
ท่านทั้งหลายจงให้บ้านส่วยแก่พราหมณ์จงให้โคนมร้อยตัวแก่พราหมณี จงให้รถเทียมม้าอาชาไนยแก่บุตรชาย จงให้ต่างหูแก้วมณีแก่บุตรสะใภ้ และจงให้ครกแก่นางปุณณทาสีผู้ชั่วช้า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยฺเจตํ ความว่า ท่านทั้งหลายจงยังทาสีที่เรียกว่า ปุณณกา ผู้ชั่วช้านั้นให้ได้ คือให้รับเอาครก.
พระราชาได้พระราชทานสิ่งที่พราหมณ์ปรารถนา และยศใหญ่โตอย่างอื่น ด้วยประการดังนี้ แล้วตรัสว่า จําเดิมแต่นี้ไป ท่านจงขวนขวายในกิจที่จะพึงกระทําแก่เรา แล้วทรงตั้งพราหมณ์ไว้ในสํานักของพระองค์.