๑๐. พกชาดก ว่าด้วยการทําลายตบะ
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 364
๑๐. พกชาดก
ว่าด้วยการทําลายตบะ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 364
๑๐. พกชาดก
ว่าด้วยการทําลายตบะ
[๔๙๙] นกยางผู้มีเนื้อและเลือดเป็นอาหาร เป็นอยู่ได้ เพราะฆ่าสัตว์อัน สมาทานวัตรแล้วรักษาอุโบสถอยู่.
[๕๐๐] ท้าวสักกะทรงทราบวัตรของนกยางนั้นแล้ว จึงจําแลงเป็นแพะมา นกยางนั้นปราศจากตบะ ต้องการดื่มกินเลือด จึงโผไปจะกินแพะ ได้ทําลายตบะธรรมเสียแล้ว.
[๕๐๑] บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้มีวัตรอันเลวทรามในการสมาทานวัตร ย่อมทําคนให้เบา ดุจนกยางทําลายตบะของตน เพราะเหตุต้องการแพะ ฉะนั้น.
จบ พกชาดกที่ ๑๐
อรรถกถาพกชาดกที่ ๑๐
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภสันถัดเก่า จึงตรัสเรื่องนี้มีคําเริ่มต้นว่า ปรปาณฆาเต ดังนี้. แม้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 365
เรื่องนี้ก็ได้มาแล้วโดยพิสดาร ในพระวินัยนั่นแล ก็ในที่นี้มีความย่อดังต่อไปนี้ :- ท่านพระอุปเสนะ มีพรรษาได้๒ พรรษา พร้อมด้วยสัทธิวิหาริกซึ่งมีพรรษาเดียว พากันเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถูกพระศาสดาทรงติเตียน จึงกลับแล้วหลีกไปเริ่มบําเพ็ญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว ประกอบด้วยคุณมีความเป็นผู้มักน้อยเป็นต้น สมาทานธุดงค์ ๑๓ กระทําการชักชวนบริษัทให้เป็นผู้ทรงธุดงค์ ๑๓ ด้วยเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหลีกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส จึงพร้อมด้วยบริษัทเข้าไปเฝ้าพระศาสดา เพราะอาศัยบริษัทนั่นแหละ จึงได้รับการติเตียนเป็นครั้งแรก แต่เพราะประพฤติตามกติกาอันประกอบด้วยธรรม จึงได้รับสาธุการเป็นครั้งที่สอง เป็นผู้อันพระศาสดาทรงกระทําอนุเคราะห์ว่า จําเดิมแต่นี้ไป ภิกษุทั้งหลายผู้ทรงธุดงค์ จงเข้ามาเฝ้าเราตามสบายเถิด แล้วจึงออกไปแจ้งเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.ตั้งแต่นั้นมา ภิกษุทั้งหลายจึงพากันเป็นผู้ทรงธุดงค์ เข้าไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อพระศาสดาเสด็จออกจากที่เร้น ก็พากันทิ้งผ้าบังสุกุลไว้ในที่นั้นๆ ถือเอาไปเฉพาะบาตรและจีวรของตนเท่านั้น. พระศาสดาเสด็จเที่ยวจาริกไปยังเสนาสนะพร้อมด้วยภิกษุมากด้วยกัน ทอดพระเนตรเห็นผ้าบังสุกุลตกเรี่ยราดอยู่ในที่นั้นๆ จึงตรัสถาม ได้ทรงสดับความนั้นแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การสมาทานวัตรของภิกษุเหล่านี้ เป็นของไม่ตั้งอยู่ยั่งยืน ได้เป็นเช่นกับอุโบสถกรรมของนกยาง แล้วทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 366
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นท้าวสักกเทวราช. ครั้งนั้น มีนกยางตัวหนึ่งอยู่ที่หลังหินดาดใกล้ฝังแม่น้ำคงคา ต่อมา ห้วงน้ำใหญ่ในแม่น้ำคงคาไหลมาจดรอบหินดาดนั้น นกยางจึงขึ้นไปนอนบนหลังหินดาด. ที่แสวงหาอาหารและทางที่จะไปแสวงหาอาหารของนกยางนั้นไม่มีเลย. แม่น้ำก็เปียมอยู่นั่นเอง นกยางนั้นคิดว่า เราไม่มีที่แสวงหาอาหาร และทางที่จะไปแสวงหาอาหาร ก็อุโบสถกรรมเป็นของประเสริฐกว่าการนอนของเราผู้ว่างงาน จึงอธิษฐานอุโบสถด้วยใจเท่านั้น มาทานศีล นอนอยู่. ในกาลนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงรําพึงอยู่ ทรงทราบการสมาทานอันทุรพลของนกยางนั้น ทรงพระดําริว่า เราจักทดลองนกยางนี้ จึงแปลงเป็นรูปแพะเสด็จมายืนแสดงพระองค์ให้เห็นในที่ไม่ไกลนกยางนั้น. นกยางเห็นแพะนั้นแล้วคิดว่าเราจักรู้การรักษาอุโบสถกรรมในวันอื่น จึงลุกขึ้นโผบินไปเพื่อจะเกาะแพะนั้น ฝ่ายแพะวิ่งไปทางโน้นทางนี้ ไม่ให้นกยางเกาะตนได้. นกยางเมื่อไม่อาจเกาะแพะได้ จึงกลับมานอนบนหลังหินดาดนั้นนั่นแลอีกโดยคิดว่า อุโบสถกรรมของเรายังไม่แตกทําลายก่อน. ท้าวสักกเทวราชประทับยืนในอากาศด้วยอานุภาพของท้าวเธอ ทรงติเตียนนกยางนั้นว่า ประโยชน์อะไรด้วยอุโบสถกรรมของตนผู้มีอัธยาศัยอันทุรพลเช่นท่าน ท่านไม่รู้ว่าเราเป็นท้าวสักกะ จึงประสงค์จะกินเนื้อแพะ ครั้นทรงติเตียนแล้วก็เสด็จไปยังเทวโลกทันที.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 367
มีอภิสัมพุทธคาถา แม้๓ คาถาว่า :-นกยางแหละมีเนื้อและเลือดเป็นอาหารเป็นอยู่ได้เพราะฆ่าสัตว์อื่น สมาทานเข้าจําอุโบสถกรรมนั้นแล้ว.
ท้าวสักกะทรงทราบวัตรของนกยางนั้นแล้ว จึงจําแลงเป็นแพะมา นกยางนั้นปราศจากตบะ ต้องการดื่มกินเลือด จึงโผไปจะกินแพะ ได้ทําลายตบะเสียแล้ว.
บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้มีวัตรอันเลวทรามในการสมาทานวัตร ย่อมทําคนให้เบา ดุนกยางทําลายตบะของตน เพราะเหตุต้องการแพะฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปปชฺชิ อุโปสถํ ได้แก่ เข้าจําอุโบสถ. บทว่า วตฺาย ความว่า ทรงทราบวัตรอันทุรพลของนกยางนั้น. บทว่า วีตตโป อชฺฌปฺปตฺโต ความว่า เป็นผู้ปราศจากตบะบินเข้าไป อธิบายว่า โผแล่นไปเพื่อจะกินแพะนั้น. บทว่าโลหิตโป แปลว่า ผู้ดื่มเลือดเป็นปกติ. บทว่า ตปํ ความว่านกยางทําลายตบะที่ตนสมาทานแล้วนั้น.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ท้าวสักกะในครั้งนั้น คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาพกชาดกที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 368
รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ภัทรฆฏเภทกชาดก
๒. สุปัตตชาดก
๓. กายนิพพินทชาดก
๔. ชัมพูขาทกชาดก
๕. อันตชาดก
๖. สมุททชาดก
๗. กามวิลาปชาดก
๘. อุทุมพรชาดก
๙. โกมาริยปุตตชาดก
๑๐. พกชาดก
จบ กุมภวรรคที่ ๕
รวมวรรคที่มีในนิบาตนี้ คือ
๑. สังกัปปวรรค
๒. ปทุมวรรค
๓. อุทปานทูสกวรรค
๔. อัพภันตรวรรค
๕. กุมภวรรค
จบ ติกนิบาต