๑. จุลลกาลิงคชาดก เทวดากีดกันความพยายามของคนไม่ได้
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 369
จตุกกนิบาต ชาดก
๑. กาลิงควรรค
๑. จุลลกาลิงคชาดก
เทวดากีดกันความพยายามของคนไม่ได้
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 369
๑. จุลลกาลิงคชาดก
เทวดากีดกันความพยายามของคนไม่ได้
[๕๐๒] ท่านทั้งหลายจงเปิดประตูถวาย ให้พระราชธิดาเหล่านี้เสด็จเข้าไปสู่ภายในพระ-นคร ข้าพเจ้าข้อว่านันทเสน เป็นอํามาตย์ดุจราชสีห์ของพระเจ้าอรุณ ได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี จักรักษาไว้เรียบร้อยแล้ว.
[๕๐๓] แน่ะดาบสโกง ท่านได้พูดไว้อย่างนี้ว่าชัยชนะจักมีแก่พวกพระเจ้ากาลิงคราช ผู้-อดทนต่อภัยที่แสนยากจะอดทนได้ ความปราชัยจักมีแก่พวกพระเจ้าอัสสกราช ชนทั้งหลายผู้ซื่อตรงย่อมไม่พูดเท็จ.
[๕๐๔] แต่ท้าวสักกะ เทวดาทั้งหลายยังประ-พฤติล่วงมุสาวาทอีกหรือ พระองค์พึงตรัสแต่ถ้อยคําที่จริง ที่แท้อย่างยิ่งมิใช่หรือ ข้าแต่ท้าวมัฆวาฬเทวราช ผู้เป็นใหญ่กว่าปวงชนพระองค์ทรงอาศัยเหตุอะไรหรือจึงได้ตรัสมุสา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 370
[๕๐๕] ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อชนทั้งหลายพูดกันอยู่ ท่านก็เคยได้ยินแล้วมิใช่หรือว่า เทวดาทั้งหลาย ย่อมเกียดกันความพยายามของบุรุษไม่ได้ ความข่มใจ ความตั้งใจแน่วแน่ความไม่แตกสามัคคีกัน ความไม่แก่งแย่งกันการก้าวไปในกาลอันควร ความเพียรอย่างเด็ดเดี่ยว และความบากบั่นของบุรุษ เพราะเหตุนั้นแหละ ชัยชนะจึงมีแก่พวกพระเจ้าอัสสกะ.
จบ จุลลกาลิงคชาดกที่ ๑
อรรถกถาจตุกกนิบาตชาดก
อรรถกถากาลิงควรรคที่ ๑
อรรถกถาจุลลกาลิงคชาดกที่ ๑
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหิาร ทรงปรารภการบรรพชาของปริพาชิกา ๔ คน จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่า วิวรถ อิมาสํ ทฺวารํ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในนครเวสาลี มีกษัตริย์ลิจฉวี ๗ พัน ๗ ร้อย๗ พระองค์ ประทับอยู่. กษัตริย์ลิจฉวีเหล่านั้น แม้ทั้งหมด ได้เป็นผู้มีพระดําริในการถามและการย้อนถาม. ครั้งนั้น นิครนถ์ผู้ฉลาดในวาทะ ๕๐๐ วาทะ คนหนึ่งมาถึงพระนครเวสาลี กษัตริย์ลิจฉวี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 371
เหล่านั้นได้ทรงกระทําการสงเคราะห์นิครนถ์นั้น. นางนิครนถ์ผู้ฉลาดเห็นปานกันแม้อีกคน ก็มาถึงพระนครเวสาลี. กษัตริย์ทั้งหลายจึงให้ชนทั้งสองแสดงวาทะ (โต้ตอบกัน) . แม้ชนทั้งสองก็เป็นผู้ฉลาดเช่นเดียวกัน. ลําดับนั้น กษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายได้มึพระดําริว่า บุตรที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยคนทั้งสองนี้ จักเป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม. จึงให้กระทําการวิวาหมงคลแก่ชนทั้งสองนั้น แล้วให้คนแม้ทั้งสองอยู่ร่วมกัน. ต่อมา เพราะอาศัยการอยู่ร่วมกันของนิครนถ์ทั้งสองนั้น จึงเกิดทาริกา ๔ คนและทารก ๑ คน โดยลําดับ. บิดามาริกาได้ตั้งชื่อนางทาริกาทั้ง ๔ คนว่า นางสัจจา ๑ นางโสภา ๑ นางอธิวาทกา ๑นางปฏิจฉรา ๑ ตั้งชื่อทารกว่า สัจจกะ. คนแม้ทั้ง ๕ นั้นถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว พากันเรียนวาทะ ๑,๐๐๐ วาทะคือจากมารดา ๔๐๐ จากบิดา ๕๐๐. มารดาบิดาได้ให้โอวาทแก่นางทาริกาทั้ง ๔ อย่างนี้ว่า ถ้าใครๆ เป็นคฤหัสถ์ ทําลายวาทะของพวกเจ้าได้ พวกเจ้าพึงยอมเป็นบาทบริจาริกาของเขา ถ้าเป็นบรรพชิตจักทําลายได้ ก็ควรบวชในสํานักของบรรพชิตนั้น. ในกาลต่อมา มารดาบิดาได้ทํากาลกิริยาตายไป. เมื่อมารดาบิดาทํากาลกิริยาตายไปแล้ว นิครนถ์น้องชายคนสุดท้องสั่งสอนศิลปะแก่กษัตริย์ลิจฉวีอยู่ในนครเวสาลีนั้นนั่นเอง ส่วนพี่สาวทั้ง ๔ ถือกิ่งหว้าเที่ยวสัญจรจากนครนี้ไปนครนั้น เพื่อต้องการโต้วาทะ จนถึงพระนครสาวัตถี จึงปักกิ่งหว้าไว้ใกล้ประตูพระนคร แล้วกล่าวแก่พวกเด็กๆ ว่าผู้ใดจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม สามารถ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 372
ยกสู้วาทะของพวกเราได้ ผู้นั้นจงเอาเท้าเกรี่ยกองฝุ่นนี้ให้กระจายแล้วเหยียบกิ่งหว้าด้วยเท้านั่นแหละ แล้วพากันเข้าไปยังพระนครเพื่อต้องการภิกษาหาร. ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรกวาดที่ซึ่งยังไม่ได้กวาด ตักน้ำดื่มใส่หม้อเปล่า ปรนนิบัติภิกษุไข้ จึงเข้าไปบิณฑบาตในนครสาวัตถีเวลาสาย เห็นกิ่งหว้านั้น จึงถามได้ความแล้วให้พวกเด็กนั่นแหละล้มกิ่งหว้าเหยียบเสีย แล้วกล่าวแก่พวกเด็กว่า พวกคนผู้วางกิ่งหว้านี้ไว้นั้น ทําภัตกิจกลับมาแล้ว จงพบเราที่ซุ้มประตูพระวิหารเชตวัน สั่งแล้วก็เข้าไปยังพระนคร กระทําภัตกิจเสร็จแล้วได้ยืนอยู่ที่ซุ้มพระวิหาร. ฝ่ายนางปริพาชิกาเหล่านั้นเที่ยวภิกษาแล้วกลับมา เห็นกิ่งหว้าถูกเหยียบย่ําจึงกล่าวว่า ใครเหยียบย่ํากิ่งหว้านี้พวกเด็กว่า พระสารีบุตรเถระเหยียบ และพูดว่า ถ้าท่านทั้งหลายต้องการโต้วาทะ จงไปยังซุ้มพระวิหาร จึงพากันกลับเข้าพระนครอีกให้มหาชนประชุมกันแล้วไปยังซุ้มพระวิหาร ถามวาทะหนึ่งพันกะพระเถระ. พระเถระวิสัชนาแล้วถามว่า พวกท่านรู้อะไรๆ อย่างอื่นอีกบ้าง? นางปริพาชิกาเหล่านั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านพวกข้าพเจ้าไม่รู้อะไรอย่างอื่น. พระเถระจึงพูดว่า เราจะถามอะไรๆ กะพวกท่านบ้างนางปริพาชิกาเหล่านั้นจึงว่า ถามเถิดท่าน เพื่อพวกข้าพเจ้ารู้ จักกล่าวแก้. พระเถระจึงถามว่า เอกํ นาม กึ อะไรชื่อว่าหนึ่ง? นางปริพาชิกาเหล่านั้นหาทราบไม่. พระเถระจึงวิสัชนาให้ฟัง. นางปริพาชิกาเหล่านั้นจึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่าน ความปราชัยเป็นของพวกข้าพเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 373
ชัยชนะเป็นของท่าน. พระเถระจึงถามว่า บัดนี้ พวกท่านจักทําอย่างไร?นางปริพาชิกาทั้งสี่จึงตอบว่า มารดาบิดาของพวกข้าพเจ้าได้ให้โอวาทนี้ไว้ว่า ถ้าคฤหัสถ์ทําลายวาทะของพวกเจ้าได้จงยอมเป็นปชาบดีของเขา ถ้าบรรพชิตทําลายได้ก็จงพากันบวชในสํานักของบรรพชิตนั้นเพราะฉะนั้นท่านโปรดให้บรรพชาแก่พวกข้าพเจ้าเถิด. พระเถระกล่าวว่าดีแล้ว จึงให้นางบวชในสํานักของพระอุบลวรรณาเถรี ไม่นานนัก ทั้งหมดก็ได้บรรลุพระอรหัต. อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระสารีบุตรเถระเป็นที่พึ่งอาศัยของปริพาชิกาทั้งสี่ ให้ทุกนางบรรลุพระอรหัต.พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนสารีบุตรก็ได้เป็นที่พึ่งอาศัยของปริพาชิกาเหล่านี้ แต่ในบัดนี้ ได้ให้บรรพชาภิเษก ในปางก่อน ได้ตั้งไว้ในตําแหน่งมเหสีของพระราชาแล้วทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้ากาลิงคราชครองราชสมบัติอยู่ในพระนครทันตปุระ แคว้นกาลิงครัฐ. พระราชาพระนามว่า อัสสกะครองราชสมบัติในนครโปตละ แคว้นอัสสกรัฐ. พระเจ้ากาลิงคะทรงสมบูรณ์ด้วยรี้พลและพาหนะ แม้พระองค์เองก็มีกําลังดังช้างสารไม่เห็นผู้จะต่อยุทธ พระองค์เป็นผู้ประสงค์จะทรงกระทําการรบ จึงตรัส
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 374
บอกแก่อํามาตย์ทั้งหลายว่า เรามีความต้องการจะทําการรบ แต่ไม่เห็นผู้จะต่อยุทธ เราจะกระทําอย่างไร. อํามาตย์ทั้งหลายจึงกราบทูลว่าข้าแต่มหาร มีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง พระราชธิดาทั้ง ๔ ของพระองค์ทรงพระรูปโฉมอันอุดม พระองค์โปรดให้ประดับตกแต่งพระราชธิดาเหล่านั้น แล้วให้นั่งในราชยานอันมิดชิด แวดล้อมด้วยรี้พล แล้วให้เที่ยวไปยังคามนิคม และราชธานีทั้งหลาย โดยป่าวร้องว่า พระราชาพระองค์ใดจักมีพระประสงค์จะรับเอาไว้เพื่อตน พวกเราจักทําการรบกับพระราชาพระองค์นั้น. พระราชาจึงทรงให้กระทําอย่างนั้น.ในสถานที่พระราชธิดาเหล่านั้นเสด็จไปแล้วๆ พระราชาทั้งหลายไม่ยอมให้พระราชธิดาเหล่านั้นเข้าพระนคร เพราะความกลัวภัยพากันส่งเครื่องบรรณาการออกไป แล้วให้ประดับอยู่เฉพาะภายนอกพระนคร. พระราชธิดาเหล่านั้นเสด็จเที่ยวไปตลอดทั่วชมพูทวีปด้วยอาการอย่างนี้ จนบรรลุถึงพระนครโปตละ แคว้นอัสสกรัฐ. ฝ่ายพระเจ้าอัสสกะก็ทรงให้ปิดประตูพระนครแล้วทรงส่งเครื่องบรรณาการออกไปถวาย. อํามาตย์ของพระเจ้าอัสสกะนั้น ชื่อว่านันทเสนเป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาดในอุบาย. นันทเสนอํามาตย์นั้นคิดว่า ข่าวว่า พระราชธิดาของพระเจ้ากาลิงคราชเหล่านี้ เสด็จเที่ยวไปทั่วชมพูทวีปก็ไม่ได้ผู้จะต่อยุทธ แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ชมพูทวีปก็ได้ชื่อว่าต่างจากนักรบเราจักรบกับพระเจ้ากาลิงคราช. นันทเสนอํามาตย์นั้นจึงไปยังประตูพระนครเรียกคนรักษาประตูมา เพื่อจะให้เขาเปิดประตูแก่พระราชธิดาเหล่านั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 375
ท่านทั้งหลายจงเปิดประตูถวาย เพื่อให้พระราชธิดาเหล่านั้นเสด็จเข้าภายในพระ-นคร ซึ่งพระนครนี้ข้าพเจ้าชื่อว่านันทเสนผู้เป็นอํามาตย์ดุจราชสีห์ของพระเจ้าอรุณราชผู้อันอาจารย์สั่งสอนไว้อย่างดี ได้จัดการรักษาไว้ดีแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อรุณราชสฺส ความว่า พระราชาแม้พระองค์นั้น ในเวลาดํารงอยู่ในราชสมบัติทรงพระะนามว่าอัสสกะด้วยสามารถแห่งชื่อของแคว้นแต่พระนามว่า อรุณ เป็นนามที่ราชตระกูลประทานแก่พระราชานั้น. ด้วยเหตุนั้น นันทเสนอํามาตย์จึงกล่าวว่า อรุณราชสฺส ดังนี้. บทว่า สีเหน แปลว่า ผู้เป็นบุรุษดุจราชสีห์. บทว่า สุสิฏเน แปลว่า ผู้อันอาจารย์ทั้งหลายสั่งสอนดีแล้ว. บทว่า นนฺทเสเนน ความว่า อันเรา ผู้ชื่อว่านันทเสน
ครั้นอํามาตย์นันทเสนนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงให้เปิดประตูรับพระราชธิดาทั้ง ๔ นั้นไปถวายพระเจ้าอัสสกะ แล้วกราบทูลว่าพระองค์อย่าทรงเกรงกลัวเลย เมื่อมีการรบกัน ข้าพระองค์จักรู้ (รับอาสา) พระองค์โปรดทรงกระทําพระราชธิดาผู้ทรงพระรูปโฉมอันเลอเลิศเหล่านี้ให้เป็นพระอัครมเหสีเถิด แล้วให้ประทานอภิเษกแก่พระราชธิดาเหล่านั้น แล้วส่งราชบุรุษผู้มากับพระราชธิดาเหล่านั้นกลับไปด้วยพูดว่า ท่านทั้งหลายจงกราบทูลพระราชาของท่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 376
หมายถึงข้อที่พระเจ้าอัสสกะราชทรงตั้งพระราชธิดาทั้ง ๔ ไว้ในตําแหน่งอัครมเหสี. ราชบุรุษเหล่านั้นไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระเจ้ากาลิงคราช ทรงดําริว่า พระเจ้าอัสสกะนั้นชะรอยจะไม่ทราบกําลังของเราแน่นอน จึงเสด็จออกด้วยกองทัพใหญ่ในขณะนั้นทันที. นันทเสนอํามาตย์ทราบการเสด็จของพระเจ้ากาลิงคราช จึงส่งสาส์นไปว่า ขอพระเจ้ากาลิงคราชจงอยู่เฉพาะแต่ในรัฐสีมาของพระองค์ อย่าล่วงล่ารัฐสีมาแห่งพระราชาของข้าพระองค์เข้ามา การสู้รบจักมีระหว่างแคว้นทั้งสอง. พระเจ้ากาลิงคราชทรงสดับสาส์นแล้วได้ทรงหยุดกองทัพ ไว้เฉพาะปลายพระราชอาณาเขตของพระองค์ ฝ่ายพระเจ้าอัสสกราชก็ได้ทรงหยุดกองทัพ เฉพาะปลายราชอาณาเขตของพระองค์เหมือนกัน.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤาษี อยู่ที่บรรณศาลาระหว่างอาณาเขต แห่งพระราชาทั้งสองนั้น. พระเจ้ากาลิงคราชทรงพระดําริว่า ธรรมดาสมณะทั้งหลายย่อมจะรู้อะไรๆ ดีใครจะรู้ อะไรจักมีชัยชนะหรือความปราชัยจักมีแก่ใคร เราจักถามพระดาบสดู จึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ด้วยเพศที่ใครๆ ไม่รู้จัก ไหว้แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง กระทําปฏิสันถารแล้วถามว่า ท่านผู้เจริญ พระเจ้ากาลิงคะกับพระเจ้าอัสสกะประสงค์จะรบกัน พากันตั้งทัพยันอยู่เฉพาะในรัฐสีมาของตนๆ ในพระราชาทั้งของพระองค์นั้น ใครจักมีชัยชนะใครจักปราชัยพ่ายแพ้. พระดาบสโพธิสัตว์กราบทูลว่า ท่านผู้มีบุญมาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 377
อาตมภาพไม่ทราบว่า พระองค์โน้นชนะ พระองค์โน้นพ่ายแพ้ แต่ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาที่นี้ อาตมภาพถามท้าวสักกเทวราชนั้นแล้วจักบอกให้ทราบ. พรุ่งนี้ท่านมาฟังเอาเถิด. ท้าวสักกะเสด็จมาสู่ที่บํารุงพระโพธิสัตว์แล้วประทับนั่ง. ทีนั้น พระโพธิสัตว์จึงทูลถามเนื้อความกะท้าวสักกเทวราช ท้าวเธอจึงตรัสทํานายว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญพระเจ้ากาลิงคราชจักมีชัย พระเจ้าอัสสกะจักปราชัย อนึ่ง บุรพนิมิตนี้จักปรากฏ. ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้ากาลิงคราชเสด็จมาถาม แม้พระโพธิสัตว์ก็ทูลแก่พระเจ้ากาลิงคราชนั้น. พระเจ้าถาลิงคราชไม่ตรัสถามเลยว่า บุรพนิมิตชื่อไรจักปรากฏ ทรงหลีกลาไปด้วยพระทัยยินดีว่า ท่านว่าเราจักชนะ. เรื่องนั้นได้แพร่ไปแล้ว พระเจ้าอัสสกะได้ทรงสดับเรื่องนั้นจึงรับสั่งให้เรียกอํามาตย์นันทเสนมา แล้วรับสั่งว่า เขาว่าพระเจ้ากาลิคราชจักชนะ เราจักพ่ายแพ้ เราควรจะทําอย่างไรกันนันทเสนอํามาตย์นั้นกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ใครจะทราบข้อนั้นได้ชัยชนะหรือความปราชัยจักเป็นของใคร ขอพระองค์อย่าทรงคิดไปเลย ครั้นกราบทูลเอาพระทัยพระราชาแล้ว เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ไหว้แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ถามว่า ท่านผู้เจริญ ใครจักชนะ. ใครจักแพ้ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พระเจ้ากาลิงคะจักชนะ พระเจ้าอัสสกะจักแพ้ อํามาตย์นันทเสนถามว่า ท่านผู้เจริญ บุรพนิมิตอะไรจักมีแก่ผู้ชนะ บุรพนิมิตอะไรจักมีแก่ผู้แพ้. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ท่านผู้มีบุญมาก อารักขเทวดาขอพรผู้ชนะจักเป็นโคผู้ขาวปลอด อารักข-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 378
เทวดาของผู้แพ้จักเป็นโคผู้ดําปลอด อารักขเทวดาแม้ของทั้งสองฝ่ายรบกันแล้ว จักทําความมีชัยและปราชัยกัน. นันทเสนอํามาตย์ได้ฟังดังนั้น จึงลุกขึ้นลาไป พาทหารใหญ่ประมาณพันคนผู้เป็นสหายของพระราชา ขึ้นไปยังภูเขาในที่ไม่ไกลนัก แล้วถามว่า ผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านจักอาจเพื่อถวายชีวิตแก่พระราชาของพวกเราได้หรือไม่. ทหารใหญ่เหล่านั้นกล่าวว่า พวกเราจักสามารถถวายได้. นันทเสนอํามาตย์กล่าวว่าถ้าอย่างนั้นพวกท่านจงโดดลงไปในเหวนี้. ทหารใหญ่เหล่านั้นได้เตรียมจะโดดลงเหว. นันทเสนอํามาตย์จึงห้ามทหารใหญ่เหล่านั้นแล้วกล่าวว่า อย่าโดดลงเหวนี้เลย ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีขวัญดี ไม่ถอยหลัง ช่วยกันรบเพื่อถวายชีวิตแก่พระราชาของเราทั้งหลายเถิด ทหารใหญ่เหล่านั้นรับคําแล้ว. ครั้นเมื่อสงครามประชิดกัน พระเจ้ากาลิงคราชทรงวางพระทัยว่า นัยว่าเราจักชนะ แม้หมู่พลนิกายของพระองค์ก็พากันวางใจว่า เขาว่าพวกเราจักมีชัยชนะ จึงไม่ทําการผูกสอด เป็นพรรคเป็นพวกพากันหลีกไปตามความชอบใจในเวลาจะกระทําความเพียรพยายามก็ไม่ทํา. ฝ่ายพระราชาทั้งสองพระองค์เสด็จขึ้นทรงม้าเข้าไปหากันและกันด้วยหมายมั่นว่า จักต่อยุทธ. อารักขเทวดาของพระราชาทั้งสองออกไปข้างหน้า อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะเป็นโคผู้ขาวปลอดอารักขเทวดาของพระเจ้าอัสสกะ เป็นโคผู้ดําปลอด. โคผู้แม้เหล่านั้นแสดงอาการต่อสู้เข้าไปหากันและกัน ก็โคผู้เหล่านั้นย่อมปรากฏเฉพาะแก่พระราชาทั้งสองพระองค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 379
เท่านั้น ไม่ปรากฏแก่คนอื่น. อํามาตย์นันทเสนทูลถามพระเจ้าอัสสกะว่า ข้าแต่มหาราช อารักขเทวดาปรากฏแก่พระองค์แล้วหรือยัง.พระเจ้าอัสสกะตรัสว่า เออปรากฏ. นันทเสน ปรากฏโดยอาการอย่างไร. พระเจ้าอัสสกะ อารักขเทวดาขอพระเจ้ากาลิงคะปรากฏเป็นโคผู้ขาวปลอด อารักขเทวดาของเราปรากฏเป็นโคผู้ดําปลอด.นันทเสนอํามาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงเกรงกลัวเลย พวกเราจักชนะ พระเจ้ากาลิงคะจักพ่ายแพ้ พระองค์จงเสด็จลุกจากหลังม้า ทรงถือพระแสงหอกนี้ เอาพระหัตถ์ซ้ายแตะด้านท้องม้าสินธพที่ศึกษาดีแล้วรีบไปพร้อมกับบุรุษพันคนนี้ เอาหอกประหารอารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะให้ล้มลง ต่อแต่นั้น พวกข้าพระองค์ประมาณหนึ่งพัน จักประหารด้วยหอกพันเล่ม เมื่อทําอย่างนี้ อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะจักฉิบหาย จากนั้น พระเจ้ากาลิงคะจักพ่ายแพ้ พวกเราจักชนะ พระราชาทรงรับว่าได้ แล้วเสด็จไปเอาหอกแทงตามสัญญาที่นันทเสนอํามาตย์ถวายไว้ ฝ่ายอํามาตย์ทั้งหลายก็แทงด้วยหอกพันเล่ม. อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะก็ถึงแก่ความตาย ณ ที่นั้นนั่นเอง. ทันใดนั้น พระเจ้ากาลิงคะก็ทรงพ่ายแพ้เสด็จหนีไป. อํามาตย์ทั้งหลายพันคนเห็นพระเจ้ากาลิงคะเสด็จหนีไปก็พากันโห่ร้องว่า พระเจ้ากาลิงคราชหนี. พระเจ้ากาลิงคะทรงกลัวต่อมรณภัยเสด็จหนีไป เมื่อจะทรงด่าพระดาบสนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 380
แน่ะดบสโกง ท่านได้พูดไว้อย่างนี้ว่า ชัยชนะจักมีแก่พวกพระเจ้ากาลิงคราชผู้สามารถย่ํายีบุคคลที่ใครๆ ย่ํายีไม่ได้ ความปราชัยไม่ชนะจักมีแก่พวกพระเจ้าอัสสกะชนทั้งหลายผู้ซื่อตรงย่อมไม่พูดเท็จ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสยฺหสาหินํ ได้แก่ ผู้สามารถเพื่อย่ํายีบุคคลที่ใครๆ ย่ํายีไม่ได้ คือย้ำยีได้ยาก. บทว่า อิจฺเจวํเต ภาสิตํ ความว่า ดูก่อนดาบสโกง ท่านรับเอาค่าจ้างแล้วพูดอย่างนี้กะพระราชาผู้พ่ายแพ้ว่า จักชนะและพูดกะพระราชาผู้ชนะว่าจักแพ้.บทว่า น อุชุภูตา ความว่า ชนเหล่าใดเป็นผู้ซื่อตรงด้วยกาย วาจาและใจ ชนเหล่านั้นย่อมไม่พูดเท็จอย่างนี้.พระเจ้ากาลิงคราชนั้น เมื่อด่าพระดาบสอย่างนี้ แล้วก็เสด็จหนีไปยังพระนครของพระองค์ ไปอาจที่จะเหลียวมามองดู. แต่นั้นเมื่อล่วงไป ๒ - ๓ วัน ท้าวสักกะได้เสด็จมายังที่บํารุงของพระดาบส.พระดาบสเมื่อจะทูลกับท้าวเธอ จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
ข้าแต่ท้าวสักกะ เทวดาทั้งหลายยังประพฤติล่วงมุสาวาทอีกหรือ พระองค์ควรกระทําถ้อยคําให้จริงแต่แน่นอนมิใช่หรือ ข้าแต่ท้าวมั่ฆวาฬผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน พระ-องค์ทรงอาศัยเหตุอะไรหรือ จึงได้ตรัสมุสา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 381
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตนฺเต มุส กาสิตํ ความว่าคําใดพระองค์ตรัสไว้แก่อาตมภาพ คํานั้นพระองค์ทรงทํามุสาวาทอันหักรานประโยชน์ตรัสเท็จไว้ พระองค์ทรงอาศัยเหตุอะไรหรือจึงตรัสคํานั้นอย่างนั้น.
ท้าวสักกะทรงสดับดังนั้นจึงตรัสคาถาที่ ๔ ว่า :-
ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อชนทั้งหลายพูดกันอยู่ ท่านก็เคยได้ยินแล้วมิใช่หรือว่าเทวดาทั้งหลายย่อมเกียดกันความพยายามของลูกผู้ชายไม่ได้ ความข่มใจ ความตั้งใจแน่วแน่ ความไม่แตกสามัคคีกัน ความไม่แก่งแย่งกัน การรุกในกาลควรรุก ความเพียรมั่นคง และความบากบั่นของลูกผู้ชาย (มีอยู่ในพวกพระเจ้าอัสสกะ) เพราะเหตุนั้นแหละ ชัยชนะจึงมีแก่พวกพระเจ้าอัสสกะ.
คาถาที่ ๔ นั้น มีอธิบายดังนี้ :- ดูก่อนท่านพราหมณ์ เมื่อเขาพูดกันอยู่ในที่นั้นๆ ท่านไม่เคยได้ยินคํานี้หรือว่า เทวดาทั้งหลายย่อมไม่เกียดกันคือไม่ริษยาความบากบั่นของลูกผู้ชายความข่มใจกล่าวคือความทรมานตน เช่นการทําความเพียรพยายามของพระเจ้าอัสสกะความมีใจไม่แตกแยกกันโดยมีความสามัคคีกัน ความมีใจตั้งมั่นไม่แตกแยกกัน ความไม่แก่งแย่งกันในเวลาทําความเพียรแห่งพวกสหาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 382
ของพระเจ้าอัสสกะ ความไม่ย่อท้อ เหมือนพวกคนของพระเจ้ากาลิงคะแยกเป็นพวกๆ ย่นย่อฉะนั้น อนึ่ง ความเพียรพยายามและความบากบั่นแห่งลูกผู้ชาย ของตนผู้มีจิตใจแตกแยกกัน ได้เป็นคุณธรรมอันมั่นคง เพราะความเป็นผู้มีความสมัครสมานกัน เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ ชัยชนะจึงได้มีแก่พวกพระเจ้าอัสสกะ.
ก็แหละเมื่อพระเจ้ากาลิงคราชหนีไปแล้ว พระเจ้าอัสสกราชให้กวาดต้อน (เชลยและยุทธภัณฑ์) แล้วเสด็จไปยังพระนครของพระองค์. อํามาตย์นันทเสนส่งสาส์นไปถวายพระเจ้ากาลิงคราชว่าพระองค์จงส่งส่วนทรัพย์มรดกไปถวายพระราชธิดาทั้ง ๔ พระองค์นี้ถ้าไม่ทรงส่งไป พวกเราจักรู้กิจที่จะต้องทําในข้อนี้. พระเจ้ากาลิงคราชได้ทรงสดับข่าวสาสน์นั้นแล้ว ทั้งกลัวทั้งสะดุ้งหวาดเสียว จึงส่งพระราชทรัพย์มรดกที่พระราชธิดาเหล่านั้นจะพึงได้ไปประทาน. จําเดิมแต่นั้นมา พระราชาทั้งสอง ก็อยู่อย่างสมัครสมานกัน
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงทรงประชุมชาดกว่า. พระราชธิดาของพระเจ้ากาลิงคราชในกาลนั้น ได้เป็นภิกษุณีสาวเหล่านี้ ในบัดนี้ อํามาตย์นันทเสนในครั้งนั้น ได้เป็นพระสารีบุตรในบัดนี้ ส่วนดาบสในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาจุลลกาลิงคชาดกที่ ๑