๓. เอกราชชาดก คุณธรรมคือขันติและตบะ
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 393
๓. เอกราชชาดก
คุณธรรมคือขันติและตบะ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 393
๓. เอกราชชาดก
คุณธรรมคือขันติและตบะ
[๕๑๐] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเอกราช พระองค์เสวยกามคุณอันบริบูรณ์อย่างยิ่งในกาลก่อนมาบัดนี้ พระองค์ถูกโยนลงในบ่ออีนขรุขระเหตุไรจึงมิได้ละพระฉวีวรรณและพระกําลังกายที่มีอยู่แต่เก่าก่อนเสียเลย.
[๕๑๑] ข้าแต่พระเจ้าทุพภิเสน ขันติและตบะเป็นคุณธรรมที่หม่อมฉันปรารถนามาแต่เดิมแล้ว บัดนี้ หม่อมฉันได้สิ่งปรารถนานั้นแล้วเหตุไรจะพึงละฉวีวรรณและกําลังกายที่มีอยู่แต่เก่าก่อนเสียเล่า.
[๕๑๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เปรื่องยศ มีปัญญาญาณทนทานได้เป็นพิเศษ ได้ทราบมาว่า กิจที่ควรทําทุกอย่าง หม่อมฉันทําให้สําเร็จแล้ว ทั้งได้ยศอันยิ่งใหญ่อันมีในกาลก่อน หม่อมฉันจึงไม่ละฉวีวรรณและกําลังกายที่มีอยู่แต่เก่าก่อน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 394
[๕๑๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งปวงชนสัตบุรุษทั้งหลายบรรเทาความสุขด้วยความทุกข์ หรือบรรเทาความทุกข์อันยากที่จะทนได้ด้วยความสุข เพราะเป็นผู้มีจิตเยือกเย็นยิ่งนัก ในความสุขและทุกข์ทั้งสองอย่างย่อมเป็นผู้มีจิตเป็นกลางทั้งในความสุขและทุกข์ ดังตราชูฉะนั้น.
จบ เอกราชชาดกที่ ๓
อรรถกถาเอกราชชาดกที่ ๓
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเสวกข้าราชสํานักของพระเจ้าโกศลคนหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่า อนุตฺตเร กามคุเณ สมิทฺเธ ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันได้กล่าวไว้แล้วในเสยยชาดก ในหนหลังนั้นแล.ก็ในชาดกนี้ พระศาสดาตรัสว่า มิใช่ท่านเท่านั้น ที่นําเอาประโยชน์มาโดยสิ่งอันมิใช่ประโยชน์ แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ก็ได้นําเอาประโยชน์มาโดยสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์แก่ตน แล้วทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล อํามาตย์ผู้เป็นอุปัฏฐากของพระเจ้าพาราณสีประทุษร้ายในราชสํานัก พระราชาทรงเห็นโทษของเข้าโดยประจักษ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 395
จึงทรงให้ขับไล่เสวกนั้น จากแว่นแคว้น เสวกนั้นจึงไปอุปัฏฐากพระเจ้าโกศลพระนามว่า ทุพภิเสน. เหตุการณ์ทั้งปวงนั้นได้กล่าวไว้แล้วในมหาสีลวชาดกทั้งนั้น. ส่วนในชาดกนี้ พระเจ้าทุพภิเสนให้จับพระเจ้าพาราณสีผู้ประทับนั่งในท่ามกลางอํามาตย์ ณ ท้องพระโรงแล้วใส่สาแหรกแขวนห้อยพระเศียร ณ เบื้องบนธรณีประตู. พระเจ้าพาราณสีทรงเจริญเมตตาปรารภพระราชาโจร กระทํากสิณบริกรรมยังฌานให้บังเกิดแล้ว. เครื่องพันธนาการขาด. แต่นั้น พระราชาประทับนั่งขัดสมาธิในอากาศ ความเร่าร้อนเกิดขึ้นในร่างกายของราชาโจร พระองค์ทรงบ่นว่าร้อนๆ แล้วกลิ้งไปกลิ้งมา บนภาคพื้น. เมื่อพระราชาโจรตรัสอย่างนี้ว่า นี้เหตุอะไร อํามาตย์ทั้งหลายจึงทูลว่าข้าแต่มหาราช พระองค์ทรงทําพระราชาผู้ตั้งอยู่ในธรรม ผู้หาความผิดมิได้เห็นปานนี้ ให้ห้อยพระเศียรลง ณ เบื้องธรณีประตู พระเจ้าข้า พระราชาโจรตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงรีบไปปล่อยพระราชาพระองค์นั้น. ราชบุรุษทั้งหลายไปแล้ว ได้เห็นพระราชาทรงนั่งขัดสมาธิในอากาศ จึงกลับมากราบทูลแก่พระเจ้าทุพภิเสน. พระเจ้าทุพภิเสนนั้นจึงรีบเสด็จไปไหว้พระเจ้าพาราณสีนั้น ให้ทรงอดโทษ.แล้วตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :-
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเอกราช ในการก่อนพระองค์เสวยกามคุณอันบริบูรณ์อย่างยิ่ง อยู่มาบัดนี้ พระองค์ถูกโยนลงในบ่ออันขรุขระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 396
เหตุไรพระองค์จึงยังไม่ลดละพระฉวีวรรณและพระกําลังกายอันมีอยู่แต่เก่าก่อน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วสิ แปลว่า อยู่แล้ว. พระเจ้าทุพภิเสนตรัสเรียกพระโพธิสัตว์โดยพระนามว่า เอกราช. บทว่าโสทานิ ตัดบทเป็น โส ตฺวํ อิทานิ แปลว่า บัดนี้ พระองค์นั้น.บทว่า ทุคฺเค แปลว่า ไม่สม่ําเสมอ. บทว่า นรกมฺหิ ได้แก่ ในหลุม คํานี้ท่านกล่าวหมายเอาที่ที่ถูกแขวน. บทว่า นปฺปชเหวณฺณพลํ นี้ พระเจ้าทุพภิเสนตรัสถามว่า พระองค์แม้ถูกโยนไปในที่อันไม่สม่ําเสมอเห็นปานนี้ ก็มิได้ทรงลดละพระฉวีวรรณอันมีอยู่แต่เก่าก่อน และพระกําลังกาย.
พระโพริสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัสคาถาที่เหลือว่า
ข้าแต่พระเจ้าทุพภิเสน ขันติและตบะเป็นคุณธรรมที่หม่อมฉันปรารถนามาแต่เดิมแล้ว บัดนี้ หม่อมฉันได้สิ่งที่ปรารถนานั้นแล้ว เหตุไรจะละฉวีวรรณและกําลังกายที่มีอยู่แต่เก่าก่อนเสียเล่า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เปรื่องยศ มีปรีชาญาณทนทานได้พิเศษ ทราบมาว่า กิจที่จะพึงทําทุกอย่าง หม่อมฉันทําให้สําเร็จแล้ว ทั้งได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 397
ยศอันยิ่งใหญ่อันมีในกาลก่อน หม่อมฉันจึงไม่ละฉวีวรรณและกําลังกาย อันมีอยู่แต่เก่าก่อน.
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งปวงชนสัตบุรุษทั้งหลายบรรเทาความสุขด้วยความทุกข์ หรือบรรเทาความทุกข์อันยากที่จะอดทนได้นั้นด้วยความสุข เพราะเป็นผู้มีจิตเยือกเย็นยิ่งนักในสุขและทุกข์ ทั้งสองจึงเป็นผู้มีจิตเที่ยงตรงดังตราชู ทั้งในความสุขและความทุกข์.
ในบรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขนฺติ ได้แก่ อธิวาสนขันติ.บทว่า ตโป ได้แก่ การประพฤติตบะ. บทว่า สมฺปฏิตา ได้แก่ปรารถนาแล้ว คือปรารถนาเฉพาะแล้ว. พระเจ้าพาราณสีตรัสเรียกพระราชาโจรนั้นโดยพระนามว่า ทุพภิเสน. บทว่า ตนฺทานิ ลทฺธานความว่า บัดนี้ เราได้ความปรารถนานั้นแล้ว. บทว่า ชเห ความว่าเพราะเหตุไรเราจะละ. ท่านแสดงความว่า เพราะบุคคลผู้มีความทุกข์หรือโทมนัสก็ตาม จะต้องละทุกข์หรือโทมนัสนั้น. พระเจ้าพาราณสีเมื่อจะแสงสมบัติของพระองค์ ตามที่ทรงได้ฟังตามกันมาจึงตรัสว่าทราบมาว่า กิจที่ควรทําทุกอย่างหม่อมฉันทําให้สําเร็จแล้ว. ท่านกล่าว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 398
อธิบายไว้ว่า กิจที่หม่อมฉันจะพึงทําทุกอย่าง คือการให้ทาน การรักษาศีล และการรักษาอุโบสถ หม่อมฉันทําเสร็จแล้วในกาลก่อนทีเดียว. บทว่า ยสสฺสินํ ปฺวนฺตํ วิสยฺห ความว่า ชื่อว่าผู้เปรื่องยศ เพราะบริวารสมบัติ ชื่อว่ามีปัญญาญาณ เพราะถึงพร้อมด้วยปัญญา ชื่อว่าผู้อดทนได้พิเศษ เพราะเป็นผู้อันใครๆ ไม่อาจข่มได้. เมื่อเป็นอย่างนี้ บททั้ง ๓ นี้ จึงเป็นอาลปนะคือคําสําหรับเรียกทั้งนั้น. ก็ศัพท์ว่า นํ ในคาถานี้ เป็นนิบาต. และลงนิคหิตที่ ตศัพท์ (คือลง ตํ ศัพท์) โดยทําพยัญชนะให้ไพเราะสละสลวย.บทว่า ยโส จํ คือ ยศนั่นแหละ. บทว่า ลทฺธา ปุริมํ ได้แก่ได้ยศที่ไม่เคยได้มาก่อน คือในกาลก่อน. บทว่าอุฬารํ ได้แก่ ใหญ่.พระเจ้าพาราณสีตรัสหมายเอาการเกิดฌานด้วยเมตตาภาวนาอันเป็นเครื่องข่มกิเลส. บทว่า นปฺปชเห ความว่า ได้ยศเห็นปานนี้แล้วเพราะเหตุไร จักละผิวพรรณและกําลังกายอันมีแต่เก่าก่อนเสียเล่า.บทว่า ทุกฺเขน ความว่า บรรเทาสุขในราชสมบัติของหม่อมฉันด้วยความทุกข์ เพราะโยนลงไปในนรกที่พระองค์ทําให้เกิดขึ้น. บทว่าสุเขน วา ตํ ทุกฺขํ ได้แก่ หรือว่า บรรเทาทุกข์นั้นด้วยสุขอันเกิดแต่ฌาน. บทว่า อุภยตฺถ สนฺโต ความว่า สัตบุรุษทั้งหลายผู้เป็นเช่นกับเรานั้น มีสภาวะดับเย็นยิ่งแล้ว คือมีตนเป็นกลางในส่วนแม้ทั้งสองนี้ ย่อมเป็นผู้เที่ยงตรง คือย่อมเป็นเช่นเดียว ไม่มีอาการผิดแผกเลยในสุขและทุกข์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 399
พระเจ้าทุพภิเสนได้ทรงสดับดังนี้แล้ว จึงขอให้พระโพธิสัตว์อดโทษแล้วตรัสว่า พระองค์เท่านั้น จงครองราชสมบัติของพระองค์หม่อมฉันจักคอยป้องกันพวกโจรแก่พระองค์ แล้วลาอาญาแก่อํามาตย์ผู้ประทุษร้ายคนนั้นแล้วเสด็จหลีกไป. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงมอบราชสมบัติแก่อํามาตย์ทั้งหลายแล้วบวชเป็นฤาษี ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า. พระเจ้าทุพภิเสนในกาลนั้น ได้เป็นพระอานนท์ส่วนพระเจ้าพาราณสี คือเราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถาเอกราชชาดกที่ ๓