๑. ปุจิมันทชาดก ว่าด้วยผู้รอบคอบ
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 444
๒. ปุจิมันทวรรค
๑. ปุจิมันทชาดก
ว่าด้วยผู้รอบคอบ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 444
๑. ปุจิมันทชาดก
ว่าด้วยผู้รอบคอบ
[๕๔๒] แน่ะโจร ลุกขึ้นเถิด จะมัวนอนอยู่ทําไม ท่านต้องการอะไรด้วยการนอนราชบุรุษอย่าจับท่านผู้ทําโจรกรรมอันหยาบช้าทารุณในบ้านเลย.
[๕๔๓] ราชบุรุษทั้งหลายจ้องจับโจร ผู้ทําโจรกรรมอันหยาบช้าทารุณในบ้าน ในเรื่องนั้น ธุระอะไรของปุจิมันทเทวดาผู้เกิดอยู่ในป่าเล่า.
[๕๔๔] ดูก่อนอัสสัตถเทวดา ท่านไม่รู้เหตุที่จะอยู่ร่วมกันไม่ได้ระหว่างเรากับโจร ราชบุรุษทั้งหลายจับโจรผู้ทําโจรกรรมอันหยาบช้าทารุณในบ้านได้แล้ว จะเสียบโจรไว้บนหลาวไม้สะเดา ใจของเรารังเกียจในเรื่องนั้น.
[๕๔๕] บัณฑิตพึงรังเกียสิ่งที่ควรรังเกียจ พึงป้องกันภัยที่ยังไม่มาถึงตัว พิจารณาดูโลกทั้ง ๒ เพราะภัยในอนาคต.
จบ ปุจิมันทชาดกที่ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 445
อรรถกถาปุจิมันทวรรคที่ ๒
อรรถกถาปุจิมันทชาดกที่ ๑
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภท่านพระมหาโมคคัลลานะ จึงตรัสพระธรรมเทศนาน มีคําเริ่มต้นว่าอุฏเหิ โจร กึ เสสิ ดังนี้.
ได้ยินว่า เมื่อพระเถระเข้าไปอาศัยนครราชคฤห์ อยู่ในกุฎีที่สร้างอยู่ในป่า มีโจรคนหนึ่งตัดที่ต่อในเรือนหลังหนึ่ง ในบ้านใกล้ประตูเมือง ถือเอาทรัพย์ทําเป็นแก่นสารซึ่งพอจะถือเอาไปได้ หนีไปเข้าบริเวณกุฎีของพระเถระ แล้วนอนที่หน้ามุขบรรณศาลาของพระเถระด้วยคิดว่า ณ ที่นี้จักคุ้มครองรักษาเราได้. พระเถระรู้ว่าโจรนั้นนอนอยู่ที่หน้ามุข จึงทําความรังเกียจโจรนั้น คิดว่า ธรรมดาว่าการเกี่ยวข้องกับโจร ย่อมไม่ควร จึงออกมาไล่ว่า เฮ้ย เอ็งอย่ามานอนที่นี้. โจรจึงออกจากที่นั้น ทิ้งแต่รอยเท้าให้หลงเหลือไว้แล้วหนีไป. มนุษย์ทั้งหลาย ถือคบเพลิงมา ณ ที่นั้น ตามแนวรอยเท้าโจรเห็นที่มา ที่ยืน และที่นอนเป็นต้นของโจรนั้น จึงกล่าวกันว่าโจรมาทางนี้ ยืนที่นี้ นั่งที่นี้ หนีไปทางนี้ แต่พวกเราไม่เห็นโจรต่างแล่นไปทางโน้นทางนี้ ก็ไม่เห็น จึงพากันกลับ. วันรุ่งขึ้นเวลาเช้า พระเถระเที่ยวบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ กลับจากบิณฑบาตแล้ว จึงไปยังพระเวฬุวันวิหาร กราบทูลเรื่องนั้นแต่พระศาสดา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 446
พระศาสดาตรัสว่า โมคคัลลานะ มิใช่เธอเท่านั้นจะรังเกียจสิ่งที่ควรรังเกียจ แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลายก็รังเกียจแล้ว อันพระเถระอ้อนวอนแล้ว จึงทรงนําเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดา สิงอยู่ที่ต้นสะเดาในป่าอันเป็นป่าช้าแห่งพระนคร. อยู่มาวันหนึ่ง โจรกระทําโจรกรรมในบ้านใกล้ประตูเมือง แล้วเข้าไปยังป่าช้านั้น. ก็ในกาลนั้นมีต้นไม้ใหญ่ในป่าช้านั้น ๒ ต้นคือ ต้นสะเดากับต้นอัสสัตถพฤกษ์.โจรเก็บห่อภัณฑะไว้ที่โคนต้นสะเดาแล้วจึงนอน. แต่ในเวลาอื่นมนุษย์ทั้งหลายจับพวกโจรเสียบหลาวทําด้วยไม้สะเดา ครั้งนั้นเทวดานั้นคิดว่า ถ้าพวกมนุษย์จักมาจับโจรนี้ จักพากันตัดกิ่งสะเดานี้แหละ ทําเป็นหลาวเสียบโจรนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ ต้นไม้จักพินาศเอาเถอะ เราจักนําโจรนั้นออกไปจากที่นี้. เทวดานั้นเมื่อจะเจรจาปราศัยกับโจรนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
แนะโจร เจ้าจงลุกขึ้น จะมัวนอนอยู่ทําไม เจ้าต้องการอะไรด้วยการนอนราชบุรุษอย่าจับ เจ้าผู้ทําโจรกรรมอันหยาบช้าทารุณในบ้านเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ราชาโน ท่านกล่าวหมายเอาพวกราชบุรุษ. บทว่า กิพฺพิสการกํ ได้แก่ ผู้กระทําโจรกรรมอันทารุณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 447
หยาบช้า.
เทวดาครั้นกล่าวกะโจรนั้นดังนี้แล้ว จึงทําให้กลัวหนีไปโดยพูดว่า เจ้าจงไปที่อื่นตราบเท่าที่พวกราชบุรุษยังไม่มาจับ . ก็เมื่อโจรนั้นไปแล้ว เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นอัสสัตถพฤกษ์ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
พวกราชบุรุษจักจับโจรผู้กระทําโจรกรรมอันทารุณหยาบช้าในบ้านมิใช่หรือ ธุระอะไรในเรื่องนั้นของปุจิมันทเทวดาผู้เกิดอยู่ในป่าเล่า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วเน ชาตสิส ติฏโต ความว่าต้นไม้ที่เกิดและตั้งอยู่ในป่า. ก็อัสสัตถพฤกษ์ เทวดา ร้องเรียกปุจิมันเทวดา โดยเฉพาะเรียกชื่อต้นไม้ เพราะปุจิมันทเทวดานั้นเกิดที่ต้นสะเดานั้น.
นิมพเทวดาได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
ก่อนอัสสัตถเทวดา ท่านไม่รู้เหตุที่จะอยู่ร่วมกันไม่ได้ ระหว่างเรากับโจรราชบุรุษทั้งหลายจับโจรผู้ทําโจรกรรมอันหยาบช้าทารุณในบ้านได้แล้ว จะเสียบโจรไว้บนหลาวไม้สะเดา. ใจของเรารังเกียจในเรื่องนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 448
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺสตฺถ นี้ เทวดาผู้เกิดที่ต้นสะเดานั้น ร้องเรียก โดยนัยอันมีในก่อนนั่นแหละ. บทว่า มมโจรสฺส จนฺตรํ ได้แก่ เหตุที่เราและโจรอยู่ร่วมกันไม่ได้ บทว่าอจฺเจนฺติ นิมฺพสูลสฺมึ ความว่า เวลานี้ราชบุรุษทั้งหลายจะร้อยโจรไว้บนหลาวไม้สะเดา. บทว่า ตสฺมึ เม สงฺกเต มโน ความว่าจิตของเรารังเกียจในเหตุนั้นว่า ก็ถ้าพวกราชบุรุษจักร้อยโจรนี้ที่หลาวไซร้ วิมานของเราจักฉิบหาย ถ้าไม่ทําอย่างนั้น จักแขวนโจรไว้ที่กิ่งไม้สะเดา วิมานของเราจักมีกลิ่นซากศพ ด้วยเหตุนั้น เราจึงให้โจรนั้นหนีไปเสีย.
เมื่อเทวดาเหล่านั้น เจรจาปราศัยกันและกันอยู่อย่างนี้แหละพวกเจ้าของทรัพย์ ถือคบเพลิงมาตามรอยเท้าเห็นที่ที่โจรนอน จึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ก็บัดนี้ โจรลุกหนีไปแล้วพวกเราไม่ได้ตัวโจร ถ้าพวกเราจักได้ตัวโจรไซร้ จักเสียบร้อยโจรนั้นไว้บนหลาวไม้สะเดานี้ หรือแขวนไว้ที่กิ่งสะเดาแล้วจักไป แล้วแล่นไปค้นหาทางโน้นทางนี้ ไม่พบโจรจึงพากันกลับไป. อัสสัตถเทวดาได้ฟังคําของตนเหล่านั้นจึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
บัณฑิตพึงรังเกียจสิ่งที่ควรรังเกียจ พึงป้องกันภัยที่ยังไม่มาถึงตัว พิจารณาดูโลกทั้งสองเพราะภัยในอนาคต.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 449
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รกฺเขยฺยานาคตํ ภยํ ความว่าอนาคตภัยมี ๒ อย่าง คือ ภัยที่เป็นไปในทิฏฐธรรมอย่างหนึ่งภัยที่เป็นไปในสัมปรายภพอย่างหนึ่ง ในอนาคตภัย ๒ อย่างนั้นบัณฑิตเมื่อเว้นบาปมิตรเสีย ชื่อว่าป้องกันภัยที่เป็นไปในทิฏฐธรรมเมื่อเว้นทุจริต ๓ เสีย ชื่อว่าป้องกันภัยที่เป็นไปในสัมปรายภพ.บทว่า อนาคตภยา ความว่า เมื่อรังเกียจภัยนั้น เหตุอนาคตภัยบทว่า ธีโร ความว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิตย่อมไม่กระทําการเกี่ยวข้องกับปาปมิตร ย่อมไม่ประพฤติทุจริตโดยทวารทั้ง ๓. บทว่า อุโภโลเก ความว่า เพราะบัณฑิตนี้เมื่อกลัวอยู่อย่างนี้ ย่อมพิจารณาเห็นคือ ย่อมแลเห็นโลกทั้งสอง กล่าวคือโลกนี้และโลกหน้า เมื่อรังเกียจอยู่ ย่อมละเว้นปาปมิตร เพราะกลัวภัยในโลกนี้ ย่อมไม่ทําบาปกรรม เพราะกลัวภัยในโลกหน้า.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า เทวดาผู้บังเกิด ณ ต้นอัสสัตถพฤกษ์ในครั้งนั้นได้เป็นพระสารีบุตร ส่วนเทวดาผู้บังเกิด ณ ต้นสะเดาในครั้งนั้นได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาปุจิมันทชวดกที่ ๑