๔. โลหกุมภีชาดก ว่าด้วยสัตว์นรกในโลหกุมภี
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 465
๔. โลหกุมภีชาดก
ว่าด้วยสัตว์นรกในโลหกุมภี
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 465
๔. โลหกุมภีชาดก
ว่าด้วยสัตว์นรกในโลหกุมภี
[๕๕๔] เมื่อโภคะทั้งหลายมีอยู่ เราทั้งหลายไม่ได้ให้ทาน ไม่ได้ทําที่พึ่งให้แก่ตน เราจึงมีชีวิตเป็นอยู่ได้แสนยาก.
[๕๕๕] เมื่อเราทั้งหลายหมกไหม้อยู่ในนรกตลอดหกหมื่นปีบริบูรณ์โดยประการทั้งปวงเมื่อไรที่สุดจักปรากฏ.
[๕๕๖] ดูก่อนชาวเราเอย ที่สุดไม่มี ที่สุดจักมีแต่ที่ไหน ที่สุดจักไม่ปรากฏ ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ เพราะในกาลนั้นทั้งเราและท่านได้กระทําบาปกรรมไว้มาก.
[๕๕๗] เราไปจากที่นี้ ได้กําเนิดมนุษย์พอรู้จักภาษาแล้ว จักเป็นคนสมบูรณ์ไปด้วยศีลจักทํากุศลให้มากทีเดียว.
จบ โลหกุมภีชาดกที่ ๔
อรรถกถาโลหกุมภีชาดกที่ ๔
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพระเจ้าโกศล จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่า ทุชฺชีวิตมชีวิมฺหา ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 466
ได้ยินว่า ในครั้งนั้น พระเจ้าโกศลได้ทรงสดับเสียงของสัตว์นรก ๔ ตน ในตอนกลางคืน คือสัตว์นรกตนหนึ่งกล่าวเฉพาะทุ อักษรเท่านั้น ตนหนึ่งกล่าว ส อักษร ตนหนึ่งกล่าว น อักษรตนหนึ่งกล่าว โส อักษรเท่านั้น. นัยว่า ในอดีตภพ สัตว์นรกเหล่านั้นได้เป็นราชโอรสทําปรทาริกกรรม อยู่ในพระนครสาวัตถีนั่นเอง. พระราชโอรสเหล่านั้นผิดมาตุคามทั้งหลายที่คนอื่นรักษาคุ้มครอง เล่นเพลิดเพลินใจทําบาปกรรม ถูกกงจักรคือความตายตัดแล้ว บังเกิดในโลหกุมภี ๔ ขุม ณ ที่ใกล้พระนครสาวัตถี ไหม้อยู่ในโลหกุมภีนั้น ๖ หมื่นปี ผุดขึ้นมา เห็นขอบปากโลหกุมภีทั้ง ๔ ตนพากันร้องตามลําดับกันด้วยเสียงอันดังว่า เมื่อไรหนอพวกเราจักพ้นทุกข์นี้. พระราชาได้ทรงสดับเสียงของสัตว์นรกเหล่านั้นทรงสดุ้งกลัวต่อมรณภัย ประทับนั่งอยู่นั้นแหละจนอรุณขึ้น. ในเวลารุ่งอรุณแล้ว พราหมณ์ทั้งหลายมาเฝ้าทูลถามพระราชาถึงสุขไสยาส.พระราชาตรัสว่า ท่านอาจารย์ทั้งหลาย เราจะนอนสบายมาแต่ไหนวันนี้ เราได้ยินเสียงน่าหวาดเสียว ๔ เสียงเห็นปานนี้. พราหมณ์ทั้งหลายพากันสะบัดมือ. พระราชาตรัสถามว่า เป็นอย่างไรหรือท่านอาจารย์. พวกพราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช เสียงหยาบช้าสาหัสมาก พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า แก้ไขได้หรือไม่. พวกพราหมณ์กราบทูลว่า ถึงจะแก้ไขไม่ได้แต่พวกข้าพระองค์ได้ศึกษามาดีแล้ว. พระราชาตรัสว่า ท่านทั้งหลายจักทําอย่างไรจึงจักห้ามได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 467
พวกพราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พวกข้าพระองค์ไม่อาจทําพิธีกรรมแก้ไขให้เป็นการใหญ่โต แต่พวกข้าพระองค์จักบูชายัญประกอบด้วยเครื่อง ๔ ทุกอย่างป้องกันไว้. พระราชาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงรีบจับสัตว์มีชีวิตอย่างละ ๔ ตั้งต้นแต่นกมูลไถไป คือ ช้าง ๔ ม้า ๔ โคผู้๔ มนุษย์ ๔ แล้วบูชายัญประกอบด้วยสิ่งทั้งปวงอย่างละ ๔ กระทําความสวัสดีแก่เราเถิด.พราหมณ์ทั้งหลายรับพระดํารัสว่า ดีละข้าแต่มหาราช แล้วถือเอาสิ่งที่ต้องการไปขุดหลุมยัญ นําสัตว์เป็นอันมากเข้าไปผูกไว้ที่หลัก ถึงความอุตสาหะว่า พวกเราจักกินเนื้อปลามาก จักได้ทรัพย์มากจึงกราบทูลว่า. ข้าแต่สมมติเทพ ได้สิ่งนี้ควร ได้สิ่งนี้ควร เที่ยววุ่นวายอยู่. พระนางมัลลิกาเทวีเข้าไปเฝ้าพระราชาแล้วทูลถามว่าข้าแต่มหาราช เหตุไรหนอพวกพราหมณ์จึงร่าเริงเหลือเกินเที่ยวไปอยู่.พระราชาตรัสว่า เทวี ประโยชน์อะไรด้วยเรื่องนี้แก่เธอ เธอประมาทมัวเมาอยู่ด้วยศอย่างของตน ส่วนความทุกข์ตกอยู่แก่เราเท่านั้น.พระนางมัลลิกาทูลถามว่า เรื่องอะไรเล่า มหาราชเจ้า. พระราชาตรัสว่าดูก่อนเทวี ฉันได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยินชื่อเห็นปานนี้ แต่นั้นจึงได้ถามพราหมณ์ทั้งหลายว่า เพราะได้ยินเสียงเหล่านี้ เหตุการณ์อะไรจักเถิดมี พวกพราหมณ์พากันกล่าวว่าข้าแต่มหาราชเจ้า อันตรายแห่งราชสมบัติ แห่งโภคทรัพย์ หรือแห่งชีวิต จักปรากฏแก่พระองค์พวกข้าพระองค์จักบูชายัญด้วยสิ่งทั้งปวงอย่างละ ๔ แล้วจักมีความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 468
สวัสดี พราหมณ์เหล่านั้นรับคําสั่งของฉันแล้ว ทําหลุมยัญแล้วพากันมา เพราะเหตุแห่งของที่ต้องการนั้น. พระนางมัลลิกากราบทูลว่าข้าแต่สมมติเทพ ก็พระองค์ทูลถามพราหมณ์ผู้เลิศในโลก พร้อมทั้งเทวโลก ถึงความสําเร็จผลแห่งเสียงเหล่านี้แล้วหรือ? พระราชาตรัสว่า ดูก่อนเทวี ใครนั่น? เป็นพราหมณ์ผู้เลิศในโลกพร้อมทั้งเทวโลก. พระนางมัลลิกากราบทูลว่า พระมหาโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าพระราชาตรัสว่า พระเทวี ฉันยังไม่ได้ทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนางมัลลิกากราบทูลว่า ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์จงเสด็จไปทูลถามท่านเถิด. พระราชาทรงเชื่อถือถ้อยคําของพระนางมัลลิกานั้น เสวยพระกระยาหารเข้าแล้วเสด็จขึ้นทรงรถอันประเสริฐ เสด็จไปยังพระวิหารเชตวัน ถวายบังคมพระศาสดาแล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในตอนกลางคืนหม่อมฉันได้ยินเสียง ๔ เสียง ถามพวกพราหมณ์ดูแล้ว เขาบอกว่า จักบูชายัญด้วยสิ่งของทั้งปวงอย่างละ ๔แล้วจักทําความสวัสดีให้เพราะได้ยินเสียงเหล่านั้น เหตุอะไรจักมีแก่หม่อมฉัน พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร เหตุอะไรๆ ไม่มีแก่พระองค์ สัตว์นรกทั้งหลายเสวยทุกข์อยู่จึงร้องอย่างนี้ เสียงเหล่านี้ พระองค์ได้ฟังอย่างนี้ เฉพาะในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้พระราชาครั้งเก่าก่อนทั้งหลายก็ได้ทรงสดับมาแล้วเหมือนกัน ท้าวเธอมีพระประสงค์จะทํายัญด้วยการฆ่าปศุสัตว์ เพราะตรัสถามพวกพราหมณ์ แต่ไม่ทรงกระทํา เพราะได้ฟังถ้อยคําของบัณฑิตทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 469
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวแถละเค้าเงื่อนแห่งเสียงเหล่านั้น ได้ให้ปล่อยมหาชนไป ได้กระทําความสวัสดีปลอดภัยให้แล้ว อันพระราชานั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ในกาสิกคามแห่งหนึ่ง เจริญวัยแล้วก็ละกามทั้งหลายบวชเป็นฤๅษี ทําฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้น เล่นฌานอยู่ในไพรสณฑ์อันน่ารื่นรมย์ณ ประเทศหิมพานต์. ในกาลนั้น พระเจ้าพาราณสี ได้สดับเสียง ๔ ประการนี้ของสัตว์นรก ๔ ตน ทรงหวาดกลัวสดุ้งพระทัย เมื่อพราหมณ์ทั้งหลายกราบทูลโดยทํานองนี้แหละว่า อันตราย ๓ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งจักบังเกิดมี ข้าพระองค์ทั้งหลายจักทําอันตรายนั้นให้สงบลงด้วยยัญ ประกอบด้วยสิ่งทั้งปวงอย่างละ ๔ จึงทรงรับเอา. ปุโรหิตพร้อมกับพวกพราหมณ์ให้ขุดหลุมสําหรับบูชายัญ. มหาชนถูกนําเข้าไปที่หลัก. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์กระทําเมตตาภาวนาให้เป็นปุเรจาริก ตรวจดูชาวโลกด้วยทิพยจักษุ ได้เห็นเหตุนี้แล้วคิดว่า วันนี้เราควรจะไป ความสวัสดีปลอดภัยจักมีแก่มหาชน จึงเหาะขึ้นยังเวหาสด้วยกําลังฤทธิ์ แล้วลงที่พระราชอุทยานของพระเจ้าพาราณสีนั่งอยู่ที่แผ่นมงคลศิลาประดุจรูปทอง. ในกาลนั้น อันเตวาสิกผู้ใหญ่ของปุโรหิต เข้าไปหาอาจารย์แล้วกล่าวว่า ท่านอาจารย์ ในเวทย์ของเราทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการฆ่าผู้อื่นแล้วกระทําความสวัสดีปลอดภัย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 470
ให้ย่อมไม่มี มิใช่หรือ. ปุโรหิตห้ามอันเตวาสิกนั้นว่า เจ้าจงพอใจราชทรัพย์ เราจักได้กินมัจฉมังสาหารเป็นอันมาก จักได้ทรัพย์เจ้าจงนิ่งเสียเถิด. อันเตวาสิกนั้นคิดว่า เราจักไม่เป็นสหายในเรื่องนี้จึงออกไปยังพระราชอุทยาน เห็นพระโพธิสัตว์แล้วจึงไหว้ กระทําปฏิสันถารแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. พระโพธิสัตว์ถามว่า มาณพพระราชาครองราชสมบัติโดยธรรมหรือ? อันเตวาสิกนั้นกล่าวว่าท่านผู้เจริญ พระราชาทรงครองราชสมบัติโดยธรรม แต่ในตอนกลางคืน พระราชาได้ทรงสดับเสียง ๔ ประการจึงตรัสถามพราหมณ์ทั้งหลาย พวกพราหมณ์กราบทูลว่า ข้าพระองค์ทั้งหลายจักบูชายัญด้วยสิ่งทั้งปวงอย่างละ ๔ แล้วจักกระทําความสวัสดีให้ พระราชาทรงพระประสงค์จะทํากรรมคือฆ่าปศุสัตว์ แล้วกระทําความสวัสดีให้แก่ตน มหาชนถูกนําเข้าไปไว้ที่หลัก ท่านผู้เจริญ การที่ผู้มีศีลเช่นกับท่านจะบอกความสําเร็จผลแห่งเสียงเหล่านั้น แล้วปลดปล่อยมหาชนจากปากแห่งความตาย ย่อมไม่ควรหรือหนอ. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า มาณพ พระราชาไม่ทรงรู้จักพวกเรา แม้พวกเราก็ไม่รู้จักพระราชาพระองค์นั้น แต่เราทั้งหลายรู้จักความสําเร็จผลแห่งเสียงเหล่านี้ ถ้าพระราชาจะเสด็จมาหาเราแล้วถาม เราจะทูลถวายพระราชาให้หมดความสงสัย. อันเตวาสิกนั้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้นท่านจงอยู่ที่นี้แหละ สักครู่เราจักนําพระราชามา. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ดีละมาณพ. อันเตวาสิกนั้นไปกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 471
แล้วนําพระราชาเสด็จมา. พระราชาทรงไหว้พระโพธิสัตว์แล้วนั่ง ณส่วนข้างหนึ่ง ตรัสถามว่า ได้ยินว่า ท่านรู้ความสําเร็จผลแห่งเสียงที่ข้าพเจ้าได้ฟังมา จริงหรือ. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร. พระราชาตรัสว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงบอก.พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า มหาบพิตร ในภพก่อนสัตว์นรกเหล่านี้ถึงความประพฤติในทาระทั้งหลายที่คนอื่นรักษาคุ้มครอง จึงบังเกิดในโลหกุมภีทั้ง ๔ ขุม ณ ที่ใกล้พระนครพาราณสี ถูกเคี่ยวจนกายเป็นฟองในน้ำด่างโลหะอันเดือดพล่านตกไปเบื้องล่างจรดถึงภาคพื้นในเวลา ๓ หมื่นปี ผุดขึ้นเบื้องบนได้เห็นปากหม้อโลหกุมภีโดยกาล ๓ หมื่นปีเช่นกัน ได้แลไปภายนอก ทั้ง ๔ คน แม้ประสงค์จะกล่าวคาถา คาถาให้ครบบริบูรณ์ ก็ไม่อาจกระทําได้อย่างนั้นกล่าวได้แต่คนละอักขระเดียวเท่านั้น กลับจมลงในโลหกุมภีตามเดิมอีกในสัตว์นรกทั้ง ๕ ตนนั้น สัตว์ที่กล่าว ทุ อักษรแล้วจมลงไปได้เป็นผู้ประสงค์จะกล่าวอย่างนี้ว่า :-
เมื่อโภคะทั้งหลายมีอยู่ เราทั้งหลายไม่ได้ให้ทาน ไม่ได้ทําที่พึ่งให้แก่ตน เราจึงมีชีวิตเป็นอยู่ได้แสนยาก.
แต่ไม่อาจกล่าวได้ แล้วพระโพธิสัตว์ได้กล่าวคาถานั้นให้ครบบริบูรณ์ ด้วยฌานของตน. แม้ในคาถาที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 472
บรรดาสัตว์เหล่านั้น คาถาของสัตว์ที่กล่าวแต่ สุ อักษรแล้วจะกล่าวต่อไปมีดังนี้ว่า :-
เมื่อเราทั้งหลายหมกไหม้อยู่ในนรกตลอดหกหมื่นปีบริบูรณ์ โดยประหารทั้งปวงเมื่อไรที่สุดจักปรากฏ.
คาถาของสัตว์ที่กล่าวแต่ น อักษร แล้วจะกล่าวต่อไป มีดังนี้ว่า
ดูก่อนชาวเราเอย ที่สุดไม่มี ที่สุดจักมีแต่ที่ไหน ที่สุดจักไม่ปรากฏ ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ เพราะในกาลนั้น ทั้งเราและท่านได้กระทําบาปกรรมไว้มาก.
คาถาของสัตว์ผู้ที่กล่าวแต่ โส อักษร แล้วจะกล่าวต่อไปมีดังนี้ว่า :-
เรานั้นไปจากที่นี้ ได้กําเนิดมนุษย์รู้ภาษาแล้ว จักเป็นคนสมบูรณ์ด้วยศีล จักทํากุศลให้มากทีเดียว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุชฺชีวิตํ ความว่า เมื่อประพฤติทุจริต ๓ อยู่ ชื่อว่าย่อมเป็นอยู่ชั่ว คือเป็นอยู่ลามก. แม้สัตว์นั้นก็หมายเอาความเป็นอยู่ชั่วนั้นนั่นแหละจึงกล่าวว่า มีชีวิตเป็นอยู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 473
ชั่วช้า ดังนี้. บทว่า เยสนฺโน น ททามฺหเส ความว่า เมื่อไทยธรรมและปฏิคาหกมีอยู่ทีเดียว เราทั้งหลายไม่ได้ให้ทาน. บทว่าทีปํ นากมฺห ความว่า ไม่กระทําที่พึ่งแก่ตน. บทว่า สพฺพโสแปลว่า โดยอาการทั้งปวง. บทว่า ปริปุณฺณานิ ได้แก่ ไม่หย่อนไม่ยิ่ง. บทว่า ปุจฺจมานานํ ได้แก่ เมื่อเราทั้งหลายไหม้อยู่ในนรกอยู่. บทว่า นตฺถิ อนฺโต ความว่า ไม่มีกําหนดกาลอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักพ้นในกาลชื่อโน้น. บทว่า กุโต อนฺโต ความว่าเพราะเหตุไรที่สุดจักปรากฏ. บทว่า น อนฺโต ความว่า ที่สุดแห่งทุกข์จักไม่ปรากฏแก่เราทั้งหลายแม้ผู้ใคร่จะเห็นที่สุด. บทว่าตทา หิ ปกตํ ความว่า ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ในกาลนั้น เราและท่านได้ทําบาปกรรมไว้มาก คือทําไว้อย่างอุกฤษฏ์ยิ่ง. บาลีว่า ตถาหิ ปกตํ จริงอย่างนั้น เราและท่านทําบาปกรรมไว้มาก ดังนี้ก็มี.อธิบายว่า เพราะเหตุที่ทําบาปกรรมไว้นั้น จึงไม่อาจเห็นที่สุดแห่งทุกข์นั้น. บทว่า มาริสา แปลว่า ผู้เช่นกับด้วยเรา. คําว่ามาริสานี้เป็นคําเรียกด้วยความรัก. ศัพท์ว่า นูน เป็นนิบาตลงในอรรถว่าแน่นอน. ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า เรานั้นไปจากนี้แล้วได้กําเนิดมนุษย์ เป็นผู้โอบอ้อมอารี สมบูรณ์ด้วยศีล จักกระทํากุศลให้มากโดยส่วนเดียวแน่.
พระโพธิสัตว์ครั้นกล่าวคาถาหนึ่งๆ ด้วยประการดังนี้แล้วให้พระราชาทรงทราบชัดว่า ดูก่อนมหาบพิตร สัตว์นรกนั้นประสงค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 474
จะกล่าวคาถานี้ให้ครบบริบูรณ์ แต่ไม่อาจทําอย่างนั้นได้ เพราะความที่บาปของตนใหญ่หลวงนัก ดังนั้น สัตว์นรกนั้น เมื่อได้เสวยวิบากแห่งกรรมของตนจึงได้ร้อง ชื่อว่าอันตราย เพราะเหตุปัจจัยที่ฟังเสียงนี้ ย่อมไม่มี พระองค์อย่ากลัวเลย. พระราชารับสั่งให้ปล่อยมหาชนแล้วให้เที่ยวตีกลองสุวรรณเภรี ป่าวประกาศให้ทําลายหลุมยัญ. พระโพธิสัตว์กระทําความสวัสดีปลอดภัยให้แก่มหาชนแล้วพักอยู่๒ - ๓ วัน จึงได้ไปที่หิมวันตประเทศนั้นนั่นเอง เป็นผู้มีฌานไม่เสื่อม จึงบังเกิดในพรหมโลก.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า มาณพของปุโรหิตในครั้งนั้น ได้เป็นพระสารีบุตรส่วนดาบส ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาโลหกุมภีชาดกที่ ๔