๖. สสปัณฑิตชาดก ผู้สละชีวิตเป็นทาน
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 481
๖. สสปัณฑิตชาดก
ผู้สละชีวิตเป็นทาน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 481
๖. สสปัณฑิตชาดก
ผู้สละชีวิตเป็นทาน
[๕๖๒] ดูก่อนพราหมณ์ ข้าพเจ้ามีปลาตะเพียนอยู่ ๗ ตัว ซึ่งนายพรานตกเบ็ดขึ้นมาจากน้ำเอาไว้บนบก ข้าพเจ้ามีอาหารอย่างนี้ ท่านจงบริโภคอาหารนี้ แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิด.
[๕๖๓] อาหารของตนรักษานาคนโน้น ข้าพเจ้านําเอามาไว้ในกลางคืน คือ เนื้อย่าง ๒ ไม้เหี้ย ๒ ตัว และนมส้ม ๑ หม้อ ดูก่อนพราหมณ์ ข้าพเจ้ามีอาการอย่างนี้ ท่านจงบริโภคอาหารนี้ แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิด.
[๕๖๔] ผลมะม่วงสุก น้ำเย็น ร่มเงาอันเย็นเป็นที่รื่นรมย์ใจ ดูก่อนพราหมณ์ ข้าพเจ้ามีอาหารอย่างนี้ ท่านจงบริโภคอาหารนี้ แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 482
[๕๖๕] กระต่ายไม่มีงา ไม่มีถั่ว ไม่มีข้าวสารท่านจงบริโภคเราผู้สุกไปด้วยไฟนี้ แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิด.
จบ สสปัณฑิตชาดกที่ ๖
อรรถกถาสสปสัณฑิตชาดกที่ ๖
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการถวายบริขารทุกอย่าง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่าสตฺต เม โรหิตา มจฺฉา ดังนี้.
ได้ยินว่า ในนครสาวัตถี มีกฎมพีคนหนึ่งตระเตรียมการถวายบริขารทุกอย่างแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ให้สร้างมณฑปที่ประตูเรือน แล้วนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานให้นั่งบนบวรอาสน์ในมณฑปที่ได้จัดแจงไว้ดีแล้ว ถวายทานอันประณีตมีรสเลิศต่างๆ แล้วนิมนต์ฉันอีกตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ ได้ถวายบริขารทั้งปวงแก่ภิกษุ ๕๐๐ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. ในเวลาเสร็จภัตกิจ พระศาสดาเมื่อจะทรงกระทําอนุโมทนา จึงตรัสว่าดูก่อนอุบาสก ควรที่ท่านจะกระทําปีติโสมนัส. ก็ชื่อว่าทานนี้เป็นวงศ์ของโบราณกับณฑิตทั้งหลาย ด้วยว่าโบราณกับณฑิตทั้งหลายได้บริจาคชีวิตแก่เหล่ายาจกผู้มาถึงเฉพาะหน้า แม้ชีวิตของตนก็ได้ให้แล้ว อันอุบาสกนั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 483
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกําเนิดกระต่ายอยู่ในป่า. ก็ป่านั้นได้มีเชิงเขา แม่น้ำและปัจจันตคาม มารวมกันแห่งเดียว. สัตว์แม้อื่นอีก ๓ ตัว คือ ลิง สุนัขจิ้งจอก และนาก ได้เป็นสหายของกระต่ายนั้น. สัตว์แม้ทั้ง ๔ นั้น เป็นบัณฑิตอยู่รวมกัน ถือเอาเหยื่อในที่เป็นที่โคจรของตนๆ แล้วมาประชุมกันในเวลาเย็น. สสบัณฑิตแสดงธรรมโดยการโอวาทแก่สัตว์ทั้ง ๓ ว่า พึงให้ทาน พึงรักษาศีลพึงกระทําอุโบสถกรรม. สัตว์ทั้ง ๓ นั้นรับโอวาทของสสบัณฑิตนั้นแล้วเข้าไปยังพุ่มไม้อันเป็นที่อยู่อาศัยของตนๆ อยู่. เมื่อกาลล่วงไปอยู่อย่างนี้ วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์มองดูอากาศเห็นดวงจันทร์ รู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันอุโบสถ จึงกล่าวกะสัตว์ทั้ง ๓ นอกนี้ว่า พรุ่งนี้เป็นวันอุโบสถ แม้ท่านทั้ง ๓ จงสมาทานศีลรักษาอุโบสถ ทานที่ผู้ตั้งอยู่ในศีลแล้วให้ ย่อมมีผลมาก เพราะฉะนั้น เมื่อยาจกมาถึงเข้า ท่านทั้งหลายพึงให้รสอาหารที่ควรกินแล้วจึงค่อยกิน. สัตว์ทั้ง ๓ นั้นรับคําแล้วพากันอยู่ในที่เป็นที่อยู่ของตนๆ . วันรุ่งขึ้น บรรดาสัตว์เหล่านั้นนากคิดว่าเราจักแสวงหาเหยื่อแต่เช้าตรู่ จึงไปยังฝังแม่น้ำคงคา. ครั้งนั้น พรานเป็ดคนหนึ่งตกปลาตะเพียนได้๗ ตัว จึงเอาเถาวัลย์ร้อยคุ้ยทรายที่ฝังแม่น้ำคงคาเอาทรายกลบไว้ เมื่อจะจับปลาอีก จึงไปยังด้านใต้แม่น้ำคงคา. นากสูดได้กลิ่นปลาจึงคุ้ยทราย เห็นปลาจึงนําออกมา คิดว่า เจ้าของปลาเหล่านี้มีไหมหนอ จึงประกาศขึ้น ๓ ครั้ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 484
เมื่อไม่เห็นเจ้าของ จึงคาบปลายเถาวัลย์นําไปเก็บไว้ในพุ่มไม้อันเป็นที่อยู่ของตน คิดว่า เราจักกินเมื่อถึงเวลา จึงนอนนึกถึงศีลของตนอยู่.ฝ่ายสุนัขจิ้งจอกออกเที่ยวแสวงหาเหยื่อ ได้เห็นเนื้อย่าง ๒ ไม้ เหี้ย๑ ตัว และหม้อนมส้ม ๑ หม้อ ในกระท่อมของคนเฝ้านาคนหนึ่งคิดว่า เจ้าของของสิ่งนี้มีอยู่หรือไม่หนอ จึงร้องประกาศขึ้น ๓ ครั้งไม่เห็นเจ้าของ จึงสอดเชือกสําหรับหิ้วหม้อนมส้มไว้ที่คอ เอาปากคาบเนื้อย่างและเหี้ย นําไปเก็บไว้ในพุ่มไม้เป็นที่นอนของตน คิดว่าจักกินเมื่อถึงเวลา จึงนอนนึกถึงศีลของตนอยู่. ฝ่ายลิงเข้าไปยังไพรสณฑ์นําพวงมะม่วงมาเก็บไว้ในพุ่มไม้เป็นที่อยู่ของตน คิดว่าจักกินเมื่อถึงเวลา จึงนอนนึกถึงศีลของตน. ส่วนพระโพธิสัตว์ คิดว่า พอถึงเวลาจักออกไปกินหญ้าแพรก จึงนอนอยู่ในพุ่มไม้เป็นที่อยู่ของตนนั่นแหละ. คิดอยู่ว่า เราไม่อาจให้หญ้าแก่พวกยาจกผู้มายังสํานักของเรา แม้งาเละข้าวสารเป็นต้นของเราก็ไม่มี ถ้ายาจกจักมายังสํานักของเราไซร้ เราจักให้เนื้อในร่างกายของเรา. ด้วยเดชแห่งศีลของพระโพธิสัตว์นั้น ภพของท้าวสักกะได้แสดงอาการเร่าร้อน. ได้ยินมาว่า ภพนั้นเป็นภพร้อน เพราะท้าวสักกะสิ้นอายุหรือสิ้นบุญ หรือเมื่อสัตว์อื่นผู้มีอานุภาพมากปรารถนาสถานที่นั้น หรือด้วยเดชะแห่งศีลของสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม. ในกาลนั้น ภพของท้าวสักกะได้เร่าร้อน เพราะเดชแห่งศีล. ท้าวสักกะนั้นทรงรําพึงอยู่ ทรงทราบเหตุนั้นแล้วจึงทรงดําริว่า เราจักทดลองพระยากระต่ายดู จึงครั้งแรก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 485
เสด็จไปยังที่อยู่ของนาก ได้แปลงเพศเป็นพราหมณ์ยืนอยู่. เมื่อนากกล่าวว่า พราหมณ์ ท่านมาเพื่อต้องการอะไร? จึงตรัสว่า ท่านบัณฑิต ถ้าข้าพเจ้าพึงได้อาหารบางอย่าง จะเป็นผู้รักษาอุโบสถกระทําสมณธรรม. นากนั้นกล่าวว่า ดีละ ข้าพเจ้าจักให้อาหารแก่ท่านเมื่อจะเจรจากับท้าวสักกะนั้น จึงกล่าวคาถาที่๑ ว่า :-
ปลาตะเพียนของเรามีอยู่ ๗ ตัว ซึ่งนายพรานเบ็ดตกขึ้นจากน้ำ เก็บไว้บนบกดูก่อนพราหมณ์ ข้าพเจ้ามีสิ่งนี้อยู่ ท่านจงบริโภคสิ่งนี้ แล้วอยู่ในป่าเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ถลมุพฺภตา ความว่า แม้อันนายพรานเบ็ดตกขึ้นจากน้ำเก็บไว้บนบก. บทว่า เอตํ ภุตฺวา ความว่าท่านจงปิ้งมัจฉาหาร อันเป็นของเรานี้บริโภคนั่งที่โคนไม้อันรื่นรมย์การทําสมณธรรมอยู่ในป่านี้เถิด.
พราหมณ์กล่าวว่า เรื่องนี้จงยกไว้ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจักรู้ภายหลัง แล้วไปยังสํานักของสุนัขจิ้งจอก แม้เมื่อสุนัขจิ้งจอกกล่าวว่าท่านยืนอยู่เพื่อต้องการอะไร? ก็ได้กล่าวเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ.สุนัขจิ้งจอกกล่าวว่า ดีละข้าพเจ้าจักให้ เมื่อจะเจรจากับท้าวสักกะนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
อาหารของคนรักษานาคนโน้น ข้าพเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 486
นําเอามาไว้ในตอนกลางคืน คือ เนื้อย่าง ๒ไม้ เหี้ย ๑ ตัว นมส้ม ๑ หม้อ ดูก่อนพราหมณ์ ข้าพเจ้ามีอาหารสิ่งนี้อยู่ ท่านจงบริโภคอาหารสิ่งนี้ แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุสฺส เม ความว่า คนผู้รักษานาซึ่งอยู่ในที่ไม่ไกลเรานั่น คือโน้น. บทว่า อปาภตํ ได้แก่ อาภตํแปลว่า นํามาแล้ว. บทว่า มํ สสูลา จ เทฺว โคธา ความว่าเนื้อย่าง ๒ ไม้ที่สุกบนถ่านไฟ และเหี้ย ๑ ตัว. บทว่า ทธิวารกํ ได้แก่หม้อนมส้ม. บทว่า อิทํ เป็นต้นไปมีความว่า เรามีสิ่งนี้ คือ มีประมาณเท่านี้ ท่านจงปิ้งสิ่งนี้แม้ทั้งหมด โดยการให้สุกตามความชอบใจ แล้วบริโภค เป็นผู้สมาทานอุโบสถ นั่งที่โคนไม้อันน่ารื่นรมย์ กระทําสมณธรรมอยู่ในป่านี้เถิด.
พราหมณ์กล่าวว่า เรื่องนี้จงยกไว้ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจักรู้ภายหลัง แล้วไปยังสํานักของลิง แม้เมื่อลิงนั้นกล่าวว่า ท่านยืนอยู่เพื่อต้องการอะไร? จึงกล่าวเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ. ลิงกล่าวว่า ดีจะข้าพเจ้าจักให้ เมื่อจะเจรจากับท้าวสักกะนั้น จึงกล่าวคาถาที่๓ ว่า :-
ผลมะม่วงสุก น้ำเย็น ร่มเงาอันเย็นเป็นที่รื่นรมย์ใจ ดูก่อนพราหมณ์ ข้าพเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 487
มีอาหารอย่างนี้ ท่านจงบริโภคอาหารนี้ แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมฺพปกฺกํ ได้แก่ ผลมะม่วงสุกอันอร่อย. บทว่า อุทกํ สีตํ ได้แก่ น้ำในแม่น้ำคงคาเย็น. บทว่าเอตํ ภุตฺวา ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงบริโภคผลมะม่วงนี้แล้วดื่มน้ำเย็น นั่งที่โคนไม้อันรื่นรมย์ตามชอบใจแล้ว กระทําสมณธรรมอยู่ในชัฏป่านี้เถิด.
พราหมณ์กล่าวว่า เรื่องนี้จงยกไว้ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจักรู้ในภายหลัง แล้วไปยังสํานักของสสบัณฑิต แม้เมื่อสสบัณฑิตนั้นกล่าวว่า ท่านมาเพื่ออะไร? ก็กล่าวเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ. พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นก็มีความชื่นชมโสมนัส กล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านมายังสํานักของเราเพื่อต้องการอาหาร ได้ทําดีแล้ว วันนี้ข้าพเจ้าจักให้ทานที่ยังไม่เคยให้ ก็ท่านเป็นผู้มีศีลจักไม่ทําปาณาติบาต ท่านจงไปรวมไม้ฟืนนานาชนิดมาก่อถ่านไฟ แล้วจงบอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักเสียสละตนโดดลงในกลางถ่านไฟ เมื่อร่างกายของข้าพเจ้าสุกแล้วท่านพึงกินเนื้อแล้วกระทําสมณธรรม เมื่อจะเจรจากับท้าวสักกะนั้นจึงกล่าวคาถาที่๔ ว่า :-
กระต่ายไม่มีงา ไม่มีถั่ว ไม่มีข้าวสารท่านจงบริโภคเราผู้สุกด้วยไฟนี้ แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 488
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มมํ ภุตฺวา ความว่า ท่านจงบริโภคเราผู้สุกด้วยไฟที่เราบอกให้ท่านก่อขึ้นนี้ แล้วจงอยู่ในป่านี้ธรรมดาว่าร่างกายของกระต่ายตัวหนึ่ง ย่อมจะพอยังชีพของบุรุษคนหนึ่งให้เป็นไปได้.
ท้าวสักกะได้ทรงสดับถ้อยคําของสสบัณฑิตนั้นแล้ว จึงเนรมิตกองถ่านเพลิงกองหนึ่งด้วยอานุภาพของตน แล้วบอกแก่พระโพธิสัตว์พระโพธิสัตว์นั้นลุกขึ้นจากที่นอนหญ้าแพรกของตนแล้วไปที่กองถ่านเพลิงนั้น คิดว่า ถ้าสัตว์เล็กๆ ในระหว่างขนของเรามีอยู่. สัตว์เหล่านั้นอย่าตายด้วยเลย แล้วสบัดตัว ๓ ครั้ง บริจาคร่างกายทั้งสิ้นในทานมุขปากทางของทาน กระโดดโลดเต้นมีใจเบิกบาน กระโดดลงในกองถ่านเพลิง. เหมือนพระยาหงส์กระโดดลงในกอปทุมฉะนั้น.แต่ไฟนั้นไม่อาจทําความร้อนแม้สักเท่าขุมขนในร่างกายของพระโพธิ-สัตว์ ได้เป็นเสมือนเข้าไปในห้องหิมะฉะนั้น. ลําดับนั้น พระโพธิ-สัตว์เรียกท้าวสักกะมากล่าวว่า พราหมณ์ ไฟที่ท่านก่อไว้เย็นยิ่งนักไม่อาจทําความร้อนแม้สักเท่าขุมขนในร่างกายของข้าพเจ้า นี่อะไรกัน.ท้าวสักกะตรัสว่า ท่านบัณฑิต เรามิใช่พราหมณ์ เราเป็นท้าวสักกะมาเพื่อจะทดลองท่าน. พระโพธิสัตว์จึงบรรลือสีหนาทว่า ข้าแต่ท้าวสักกะ พระองค์จงหยุดพักไว้ก่อนเถิด หากโลกสันนิวาสทั้งสิ้นจะพึงทดลองข้าพระองค์ด้วยทานไซร้ จะไม่พึงเห็นความที่ข้าพระองค์ไม่เป็นผู้ประสงค์จะให้ทานเลย. ลําดับนั้น ท้าวสุกกะจึงตรัสกะพระ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 489
โพธิสัตว์นั้นว่า ดูก่อนสสบัณฑิต คุณของท่านจงปรากฏอยู่ตลอดกัปทั้งสิ้นเถิด แล้วทรงบีบบรรพตถือเอาอาการเหลวของบรรพต เขียนลักษณะของกระต่ายไว้ในดวงจันทร์ แล้วนําพระโพธิสัตว์มาให้นอนบนหลังหญ้าแพรกอ่อนในพุ่มไม้ป่านั้นนั่นแหละในไพรสณฑ์นั้น แล้วเสด็จไปยังเทวโลกของพระองค์ทีเดียว. บัณฑิตทั้ง ๔ แม้นั้นพร้อมเพรียงบันเทิงอยู่ พากันบําเพ็ญศีล รักษาอุโบสถกรรมแล้วไปตามยถากรรม.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะคฤหบดีผู้ถวายบริขารทุกอย่างดํารงอยู่ในโสดาปัตติผล. นากในกาลนั้น ได้เป็นพระอานนท์สุนัขจิ้งจอกได้เป็นพระโมคคัลลานะ ลิงได้เป็นพระสารีบุตร ท้าวสักกะได้เป็นพระอนุรุทธะ ส่วนสสบัณฑิต ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสสบัณฑิตชาดกที่ ๖