๘. กณเวรชาดก ว่าด้วยหญิงหลายผัว
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 496
๘. กณเวรชาดก
ว่าด้วยหญิงหลายผัว
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 496
๘. กณเวรชาดก
ว่าด้วยหญิงหลายผัว
[๕๗๐] ท่านกอดรัดนางสามาด้วยแขน ในสมัยที่อยู่ในกอชบามีสีแดง เธอได้สั่งความไม่มีโรคมาถึงท่าน.
[๕๗๑] ดูก่อนท่านผู้เจริญ ข่าวที่ว่า ลมพึงพัดภูเขาไปได้ ใครๆ คงไม่เชื่อถือ ถ้าลมจะพึงพัดเอาภูเขาไปได้ แม้แผ่นดินทั้งหมดก็พัดเอาไปได้ เพราะเหตุไร นางสามาตายแล้วจึงสั่งความไม่มีโรคมาถึงเราได้.
[๕๗๒] นางสามานั้นยังไม่ตาย และไม่ปรารถนาชายอื่น ได้ยินว่า นางจะมีผัวเดียว ยังหวังเฉพาะท่านอยู่เท่านั้น.
[๕๗๓] นางสามาได้เปลี่ยนเราผู้ไม่เคยสนิทสนมกับสามีที่เคยสนิทสนมมานาน เปลี่ยนเราผู้ยังไม่ทันได้ร่วมรัก กับสามีผู้เคยร่วมรักมาแล้ว นางสามาพึงเปลี่ยนผู้อื่นกับเราอีก เราจักหนีจากที่นี้ไปเสียให้ไกล.
จบ กณเวรชาดกที่ ๘
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 497
อรรถกถากณเวรชาดก ที่ ๘
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการประเล้าประโลมของภรรยาเก่าของภิกษุ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคําเริ่มต้นว่า ยนฺตํ วสนฺตสมเย ดังนี้.เรื่องราวปัจจุบันจักมีแจ้งในอินฺทฺริยชาดก ส่วนในที่นี้ พระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ เมื่อชาติก่อนเธออาศัยหญิงนี้จึงได้รับการตัดศีรษะด้วยดาบ แล้วทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร.พาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดฤกษ์โจรในเรือนของคฤหบดีคนหนึ่งในกาสิกคาม พอเจริญวัยแล้ว กระทําโจรกรรมเลี้ยงชีวิต จนปรากฏในโลก เป็นผู้กล้าหาญ มีกําลังดุจช้างสาร ใครๆ ไม่สามารถจับพระโพธิสัตว์นั้นได้ วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์นั้นตัดที่ต่อเรือนในเรือนของเศรษฐีแห่งหนึ่งลักทรัพย์มาเป็นอันมาก. ชาวพระนครพากันเข้าไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ มหาโจรคนหนึ่งปล้นพระนคร ขอพระองค์โปรดให้จับโจรนั้น. พระราชาทรงสั่งเจ้าหน้าที่รักษาพระนครให้จับมหาโจรนั้น. ในตอนกลางคืน เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครนั้น ได้วางผู้คนไว้เป็นพวกๆ ในที่นั้นๆ ให้จับมหาโจรนั้น
ในพระสูตรเป็น กณเวรชาดก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 498
ได้พร้อมทั้งของกลาง แล้วกราบทูลแก่พระราชา. พระราชาทรงสั่งเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครนั้นนั่นแหละว่า จงตัดศีรษะมัน. เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครมัดมือไพล่หลังมหาโจรนั้นอย่างแน่นหนา แล้วคล้องพวงมาลัยดอกยี่โถแดงที่คอของมหาโจรนั้น แล้วโรยผงอิฐบนศีรษะเฆี่ยนมหาโจรนั้นด้วยหวายครั้งละ ๔ รอย จึงนําไปยังตะแลงแกงด้วยปัณเฑาะว์อันมีเสียงแข็งกร้าว พระนครทั้งสิ้นก็ลือกระฉ่อนไปว่าได้ยินว่า โจรผู้ทําการปล้นในนครนี้ ถูกจับแล้ว ครั้งนั้น ในนครพาราณสี มีหญิงคณิกาชื่อว่าสามา มีค่าตัวหนึ่งพัน เป็นผู้โปรดปรานของพระราชา มีวรรณทาสี ๕๐๐ คนเป็นบริวาร ยืนเปิดหน้าต่างอยู่ที่พื้นปราสาท เห็นโจรนั้นกําลังถูกนําไปอยู่ ก็โจรนั้นเป็นผู้มีรูปงามน่าเสน่หา ถึงความงามเลิศยิ่ง มีผิวพรรณดุจเทวดา ปรากฏเด่นกว่าคนทั้งปวง. นางสามาเห็นเข้าก็มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่คิดอยู่ว่าเราจะกระทําบุรุษนี้ให้เป็นสามีของเราได้ด้วยอุบายอะไรหนอ รู้ว่ามีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง จึงมอบทรัพย์พันหนึ่งในมือหญิงคนใช้คนหนึ่งผู้กระทําตามความต้องการของตนได้ เพื่อส่งให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนคร โดยให้พูดว่า โจรนี้เป็นพี่ชายของนางสามา เว้นนางสามาเสีย ผู้อื่นที่จะเป็นที่อาศัยของโจรนี้ย่อมไม่มีนัยว่า ท่านรับเอาทรัพย์หนึ่งพันนี้แล้วปล่อยโจรนี้ หญิงคนใช้นั้นได้กระทําเหมือนอย่างนั้น.เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครกล่าวว่า โจรนี้เป็นโจรโด่งดัง เราไม่อาจปล่อยโจรนี้ได้ แต่เราได้คนอื่นแล้วอาจให้โจรนี้นั่งในยานอันมิดชิด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 499
แล้วจึงส่งไปได้. หญิงคนใช้นั้นจึงไปบอกแก่นางสามานั้น. ก็ในกาลนั้น มีบุตรของเศรษฐีคนหนึ่ง มีจิตปฏิพัทธ์ผูกพันนางสามา ให้ทรัพย์พันหนึ่งทุกวัน. แม้วันนั้น เศรษฐีบุตรนั้นก็ได้เอาทรัพย์หนึ่งพันไปยังเรือนนั้น ในเวลาพระอาทิตย์อัศดงคต. ฝ่ายนางสามารับทรัพย์พันหนึ่งแล้ววางที่ขาอ่อนแล้วนั่งร้องไห้ เมื่อเศรษฐีบุตรนั้นกล่าวว่า นางผู้เจริญ นี่เรื่องอะไรกัน จึงกล่าวว่า ข้าแต่นาย โจรนี้เป็นพี่ชายของดิฉัน เขาไม่มายังสํานักของดิฉัน ด้วยคิดว่า เราทํากรรมต่ําช้า เมื่อดิฉันส่งข่าวแก่เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครๆ ส่งข่าวมาว่า เราได้ทรัพย์พันหนึ่งจึงจักปล่อยตัวไป บัดนี้ ฉันได้ทรัพย์หนึ่งพันนี้แล้ว แต่ไม่ได้โอกาสที่จะไปยังสํานักของเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนคร. เพราะมีจิตปฏิพัทธ์ในนาง เศรษฐีบุตรนั้นจึงกล่าวว่า ฉันจักไปเอง. นางสามากล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงถือเอาทรัพย์ที่นํามานั่นแหละไปเถิด. เศรษฐีบุตรนั้นถือทรัพย์พันหนึ่งนั้นไปยังเรือนของเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนคร. เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครนั้นพักเศรษฐีบุตรนั้นไว้ในที่อันมิดชิด แล้วให้โจรนั่งในยานอันปกปิดมิดชิดแล้งไปให้นางสามา แล้วทําการอ้างว่า โจรนี้เป็นโจรโด่งดังในแว่นแคว้น ต้องรอให้มืดค่ําเสียก่อน ทีนั้นพวกเราจึงจักฆ่าโจรนั้นในเวลาปลอดคน แล้วยับยั้งอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อปลอดคนแล้ว จึงนําเศรษฐีบุตรไปยังตะแลงแกงด้วยการอารักขาอย่างแข็งแรง แล้วเอาดาบตัดศีรษะเสียบร่างไว้ที่หลาวแล้ว เข้าไปยังพระนคร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 500
ตั้งแต่นั้นมา นางสามามิได้รับอะไรๆ จากมือของคนอื่นๆ เที่ยวอภิรมย์ชมชื่นอยู่กับโจรนั้นนั่นแหละ โจรนั้นคิดว่า ถ้าหญิงนี้จักมีจิตปฏิพัทธ์ในชายอื่นไซร้ แม้เรา นางก็จักให้ฆ่าแล้วอภิรมย์กับชายนั้นเท่านั้น หญิงนี้เป็นผู้มักประทุษร้ายมิตรโดยส่วนเดียว เราอยู่ในที่นี้ ควรรีบหนีไปที่อื่น แต่เมื่อจะไปจะไม่ไปมือเปล่า จักถือเอาห่อเครื่องอาภรณ์ของหญิงนี้ไปด้วย วันหนึ่ง จึงกล่าวกะนางสามานั้นว่า นางผู้เจริญ เราทั้งหลายอยู่เฉพาะในเรือนเป็นประจํา เหมือนไก่อยู่ในกรง พวกเราจักเล่นในสวนสักวันหนึ่ง. นางสามานั้นรับคําแล้วจัดแจงสิ่งของทั้งปวงมีของควรเคี้ยว และของควรบริโภคเป็นต้นประดับประดาด้วยอาภรณ์ทั้งปวง นั่งในยานอันมิดชิดกับโจรนั้นแล้วไปยังสวนอุทยาน. โจรนั้นเล่นอยู่กับนางสามานั้นในสวนอุทยานนั้นจึงคิดว่า เราควรหนีไปเดี๋ยวนี้ จึงทําทีเหมือนต้องการจะร่วมอภิรมย์ด้วยกิเลสฤดีกับนางสามานั้น จึงพาเข้าไประหว่างพุ่มต้นยี่โถแห่งหนึ่งทําที่เหมือนสวมกอดนางสามานั้น แล้วจึงกดลงทําให้สลบล้มลงแล้วปลดเครื่องอาภรณ์ทั้งปวง เอาผ้าห่มของนางนั่นแหละผูกแล้ววางห่อมีภัณฑะไว้ที่คอ โดดข้ามรั้วอุทยานหลบหลีกไป. ฝ่ายนางสามานั้นกลับได้สัญญาความทรงจํา จึงลุกขึ้นมายังสํานักของพวกหญิงรับใช้แล้วถามว่า ลูกเจ้าไปไหน พวกหญิงรับใช้กล่าวว่า พวกดิฉันไม่ทราบเลย แม่เจ้า. นางสามาคิดว่า สามีของเราสําคัญเราว่าตายแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 501
จึงกลัวแล้วหลบหนีไป เสียใจ จึงจากสวนอุทยานนั้นนั่นแลไปบ้านคิดว่า ตั้งแต่เวลาที่เรายังไม่พบเห็นสามีที่รัก เราจักไม่นอนบนที่นอนที่ประดับตกแต่ง จึงนอนอยู่ที่พื้น. ตั้งแต่นั้นมา นางไม่นุ่งผ้าสาฎกที่ชอบใจ ไม่บริโภคภัตตาหาร ๒ หน ไม่แตะต้องของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น คิดว่า เราจักแสวงหาพ่อลูกเจ้าด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งบ้างแล้วให้เรียกกลับมา จึงให้เชิญพวกคนนักฟ้อนมาแล้วได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง. เมื่อพวกนักฟ้อนรํากล่าวว่า แม่เจ้า พวกเราจะทําอะไรให้บ้าง. นางจึงกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าสถานที่ที่พวกท่านยังไม่ได้ไป ย่อมไม่มี ท่านทั้งหลายเมื่อเที่ยวไปยังคามนิคม และราชาธานี แสดงการเล่นพึงขับเพลงขับบทนี้ขึ้นก่อนทีเดียว ในมณฑลสําหรับแสดงการเล่น เมื่อจะให้พวกฟ้อนรําศึกษาเอา จึงกล่าวคาถาที่หนึ่ง แล้วสั่งว่า เมื่อพวกท่านขับเพลงขับบทนี้ ถ้าหากพ่อลูกเจ้าจักอยู่ในภายในบริษัทนั้น เขาจักกล่าวกับพวกท่าน เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกท่านพึงบอกถึงความที่เราสบายดีแก่เขา แล้วพาเขามา ถ้าเขาไม่มา พวกท่านพึงให้เขาส่งข่าวมา ดังนี้แล้วมอบสะเบียงเดินทางให้แล้วส่งพวกนักฟ้อนรําไป. พวกนักฟ้อนเหล่านั้นออกจากนครพาราณสีกระทําการเล่นอยู่ในที่นั้นๆ ได้ไปถึงบ้านปัตจันตคามแห่งหนึ่ง. โจรแม้คนนั้นก็หนีไปอยู่ในบ้านปัตจันตคามนั้น. พวกนักฟ้อนเหล่านั้น เมื่อจะแสดงการเล่นในที่นั้น จึงพากันขับร้องเพลงขับบทนี้ก่อนทีเดียวว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 502
ท่านกอดรัดนางสามาด้วยแขน ในสมัยที่อยู่ในกอชบามีสีแดง เธอได้สั่งความไม่มีโรคนายังท่าน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กณเวเรสุ คือกณวีเรสุ แปลว่าดอกชบา. บทว่า ภาณุสุ ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยสีแสงแห่งดอกแดงๆ .บทว่า สามํ ได้แก่ ผู้มีชื่ออย่างนั้น. บทว่า ปิเฬสิ ความว่า ท่านบีบรัด เหมือนคนผู้ประสงค์ร่วมภิรมย์ด้วยกิเลสฤดีสวมกอดอยู่ฉะนั้น.บทว่า สา ตํ ความว่า นางสามานั้นหาโรคมิได้ แต่ท่านสําคัญว่านางตาย จึงกลัวหลบหนีไป นางนั้นได้บอกกล่าว คือแจ้งถึงความที่ตนไม่มีโรค.
โจรได้ฟังเพลงขับนั้นจึงเข้าไปหานักฟ้อนแล้วกล่าวว่า ท่านพูดว่า สามายังมีชีวิต แต่เราหาเธอไม่ เมื่อจะเจรจากับนักฟ้อนนั้นจึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ดูก่อนท่านผู้เจริญ ข่าวที่ว่า ลมพึงพัดภูเขาไปได้ ใครๆ คงไม่เชื่อถือ ถ้าลมจะพึงพัดเอาภูเขาไปได้ แม้แผ่นดินทั้งหมดก็พัดไปได้ เพราะเหตุไร นางสามาตายแล้ว จะสั่งความไม่มีโรคถึงเราได้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 503
คําที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า ท่านนักฟ้อนผู้เจริญ ข่าวที่ว่าลมพัดเอาภูเขาไปเหมือนหญ้าและใบไม้นี้ ใครๆ คงไม่เชื่อ ถ้าแม้ลมจะพึงพัดเอาภูเขาไปได้ แผ่นดินแม้ที่หมดก็คงพัดเอาไปได้ ก็ข้อนี้ใครๆ ไม่พึงเชื่อถือเหมือนเราไม่เชื่อข่าวนางสามานั่น. บทว่า ยตฺถสามา กาลกตา ความว่า นางสามาทํากาละไปแล้ว จะถามความไม่มีโรคถึงเราได้เอง. ถามว่า เพราะเหตุไร จึงไม่เชื่อ? ตอบว่า เพราะธรรมดาคนที่ตายแล้ว จะส่งข่าวสาส์นแก่ใครๆ ไม่ได้.
นักฟ้อนได้ฟังคําของโจรนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
นางสามานั้นยังไม่ตาย และไม่ปรารถนาชายอื่น ได้ยินว่า นางจะมีผัวคนเดียว ยังหวังเฉพาะท่านเท่านั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตเมว อภิกงฺขติ ความว่า นางไม่ปรารถนาชายอื่น ยังหวัง คือต้องการ ปรารถนาเฉพาะท่านเท่านั้น.
โจรได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า นางจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม เราไม่ต้องการนาง แล้วกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
นางสามาได้เปลี่ยนเราผู้ยังไม่เคยเชยชิดสนิทสนม กับบุรุษที่นางเคยเชยชิดสนิท-สนมมานาน เปลี่ยนเราผู้ไม่เป็นขาประจํา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 504
กับบุรุษผู้เป็นขาประจํา นางสามาคงจะเปลี่ยนบุรุษอื่นแม้กับเราอีก เราจักไปเสียจากที่นี้ให้ไกลแสนไกล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสนฺถุตํ ได้แก่ ผู้ยังไม่ได้ทําการสังสรรค์. บทว่า จิรสนฺถุเตน แปลว่า ผู้ได้ทําการสังสรรค์กันมานาน. บทว่า นิมินิ แปลว่า แลกเปลี่ยน. บทว่า อธุวํ ธุเวนความว่า นางสามาได้ให้ทรัพย์หนึ่งพันแก่เจ้าหน้าที่ ผู้รักษาพระนครแล้วรับเอาเรามา เพื่อแลกเปลี่ยนเราผู้ไม่เป็นขาประจํากับสามีประจํานั้น. บทว่า มยาปิ สามา นิมิเนยฺย อฺํ ความว่า นางสามาพึงแลกเปลี่ยนเอาสามีคนอื่นแม้กับเรา. ด้วยบทว่า อิโต อหํ ทูรตรํนี้ โจรกล่าวว่า เราจักไปยังที่ไกลแสนไกลเช่นที่ทําเราไม่อาจได้ฟังข่าวหรือความเป็นไปของนางสามานั้น เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงบอกความที่เราจากที่นี้ไปที่อื่นแก่นางสามานั้น เมื่อนักฟ้อนเหล่านั้นเห็นอยู่นั่นแหละ ได้นุ่งผ้าให้กระชับมั่นแล้วรีบหนีไป.
นักฟ้อนทั้งหลายได้ไปบอกอาการกิริยา ที่โจรนั้นกระทําแก่นางสามานั้น. นาเป็นผู้มีความวิปฏิสารเดือดร้อนใจ จึงยังกาลเวลาให้ล่วงไปโดยปกติของตนนั่นแล.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสัน