๙. ติตติรชาดก ว่าด้วยบาปที่เกิดจากความจงใจ
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 506
๙. ติตติรชาดก
ว่าด้วยบาปที่เกิดจากความจงใจ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 506
๙. ติตติรชาดก
ว่าด้วยบาปที่เกิดจากความจงใจ
[๕๗๐] ข้าพเจ้าเป็นอยู่สบายดีหนอ และได้บริโภคอาหารตามชอบใจ แต่ว่าข้าพเจ้าตั้งอยู่ในระหว่างอันตรายแท้ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ คติของข้าพเจ้าเป็นอย่างไรหนอ.
[๕๗๕] ดูก่อนปักษี ถ้าใจของท่านไม่น้อมไปเพื่อกรรมอันเป็นบาป บาปย่อมไม่แปดเปื้อนท่านผู้บริสุทธิ์ ไม่ขวนขวายกระทําบาปกรรม.
[๕๗๖] นกกระทาเป็นอันมากพากันมาด้วยคิดว่า ญาติของเราจับอยู่ นายพรานนกย่อมได้รับกรรม เพราะอาศัยข้าพเจ้า ใจของข้าพเจ้ารังเกียจอยู่ในเรื่องนั้น.
[๕๗๗] ถ้าใจของท่านไม่คิดประทุษร้าย กรรมที่นายพรานอาศัยท่านกระทําแล้วก็ไม่ติดท่านบาปย่อมไม่แปดเปื้อนท่านผู้บริสุทธิ์ มีความขวนขวายน้อย.
จบ ติตฺติรชาดกที่ ๙
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 507
อรรถกถาติตฺติรชาดกที่ ๙
พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยนครโกสัมพี ประทับอยู่ในวทริการามทรงปรารภพระราหุลเถระ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่าสุสุขํ วต ชีวามิ ดังนี้.
เรื่องราวได้พรรณนาไว้พิสดารแล้วในติปัลลัตถชาดก ในหนหลังนั่นแล. แต่ในที่นี้ ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันถึงคุณความดีของท่านผู้มีอายุนั้น ในโรงธรรมสภาว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลายพระราหุลเป็นผู้ใครต่อการศึกษา มีความรังเกียจบาปกรรม อดทนต่อโอวาท. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนึ่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายมิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ราหุลก็เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษามีความรังเกียจบาปธรรม อดทนต่อโอวาทแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์พอเจริญวัยแล้ว ก็เรียนศิลปะทั้งปวงในเมืองตักกศิลา แล้วออกบวชเป็นฤๅษีในหิมวันตประเทศ ทําอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิดแล้วเล่นฌานอยู่ในไพรสณฑ์อันน่ารื่นรมย์ ได้ไปยังบ้านปัจจันตคามแห่งหนึ่ง เพื่อต้องการเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว. คนทั้งหลาย ในบ้านปัจจันตคาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 508
นั้นเห็นพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใสจึงให้สร้างบรรณศาลาในป่าแห่งหนึ่งแล้วนิมนต์ให้อยู่ บํารุงด้วยปัจจัยทั้งหลาย. ครั้งนั้นมีนายพรานนกคนหนึ่งในบ้านนั้น จับนกกระทําเป็นนกต่อได้ตัวหนึ่งให้ศึกษาอย่างดีแล้วใส่กรงเลี้ยงไว้. นายพรานนกนั้นนํานกกระทาต่อนั้นไปป่า แล้วจับพวกนกกระทําซึ่งพากันมาเพราะเสียงนกกระทําต่อนั้นเลี้ยงชีวิตอยู่. ครั้งนั้น นกกระทานั้นคิดว่าญาติของเราเป็นอันมากพากันฉิบหายเพราะอาศัยเราผู้เดียว นั้นเป็นบาปของเรา จึงไม่ส่งเสียงร้อง นายพรานนกนั้นรู้ว่านกกระทําต่อนั้นไม่ร้อง จึงเอาแขนงไม่ไผ่ตีศีรษะนกกระทําต่อนั้น. นกกระทาจึงร้องเพราะอาดูรเร่าร้อนด้วยความทุกข์. นายพรานนกนั้นอาศัยนกกะทานั้น จับนกกระทาทั้งหลายมาเลี้ยงชีวิต ด้วยประการอย่างนี้. ลําดับนั้น นกกระทานั้นคิดว่า เราไม่มีเจตนาว่า นกเหล่านี้จงตาย แต่กรรมที่อาศัยเป็นไปคงจะถูกต้องเรา เมื่อเราไม่ร้อง นกเหล่านี้ก็ไม่มา ต่อเมื่อเราร้องจึงมา นายพรานนกนี้จับพวกนกที่มาแล้วๆ ฆ่าเสีย ในข้อนี้ บาปจะมีแก่เราหรือไม่หนอ. จําเดิมแต่นั้น นกกระทานั้นคิดว่า ใครหนอจะตัดความสงสัยนี้ของเราได้ จึงเที่ยวใคร่ครวญหาบัณฑิตเห็นปานนั้น. อยู่มาวันหนึ่ง พรานนกนั้นจับนกกระทําได้เป็นอันมากบรรจุเต็มกระเช้า คิดว่าจักดื่มน้ำ จึงไปยังอาศรมของพระโพธิสัตว์ วางกรงนกต่อนั้นไว้ในสํานักของพระโพธิสัตว์ ดื่มน้ำแล้วนอนที่พื้นทรายหลับไป. นกกระทํารู้ว่านายพรานนั้นหลับ จึงคิดว่า เราจะถาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 509
ความสงสัยของเรากะดาบสนี้ เมื่อท่านรู้จักได้บอกเรา เมื่อจะถามดาบสนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ข้าพเจ้าเป็นอยู่สบายดีหนอ และได้บริโภคอาหารตามชอบใจ แต่ว่าข้าพเจ้าตั้งอยู่ในระหว่างอันตรายแท้ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ คติของข้าพเจ้าเป็นอย่างไรหนอ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุสุขํ วต ความว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าอาศัยนายพรานนกผู้นี้เป็นอยู่สบายดี. บทว่า ลภามิเจว ความว่า ข้าพเจ้าย่อมได้แม้เพื่อจะบริโภคของควรเคี้ยว ควรบริโภคตามความชอบใจ. บทว่า ปริปนฺเถว ติฏามิ ความว่าก็แต่ว่า ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ผู้พากันมาแล้วๆ ด้วยเสียงของข้าพเจ้า ย่อมฉิบหายไปเพราะอันตรายใด ข้าพเจ้าตั้งอยู่ในอันตรายนั้น. ด้วยบทว่า กา นุ ภนฺเต นี้ นกกระทําถามว่า ท่านผู้เจริญคติของข้าพเจ้าเป็นอย่างไรหนอ คือว่า ความสําเร็จผลอะไรจักมีแก่ข้าพเจ้า.
พระโพธิสัตว์เมื่อจะแก้ปัญหาของนกกระทานั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ดูก่อนปักษี ถ้าใจของท่านไม่น้อมไปเพื่อกรรมอันเป็นบาป บาปย่อมไม่แปด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 510
เปื้อนท่านผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่ขวนขวายกระทําบาปกรรม.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาปสฺส กมฺมุโน ความว่าถ้าใจของท่านไม่น้อมไปเพื่อประโยชน์แก่บาปกรรม คือไม่โน้มน้อมเงื่อมไปในการกระทําบาป. บทว่า อปาวฏสฺส ความว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น บาปย่อมไม่แปดเปื้อน คือไม่ติดท่านผู้ไม่ขวนขวาย คือไม่ถึงการขวนขวายเพื่อต้องการทําบาปกรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ทีเดียว.
นกกระทําได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
นกกระทาเป็นอันมากพากันมาด้วยคิดว่าญาติของเราจับอยู่ นายพรานนกได้กระทํากรรม คือปาณาติบาต เพราะอาศัยข้าพเจ้า ใจของข้าพเจ้ารังเกียจอยู่ในเรื่องนั้น.
คําที่เป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าข้าพเจ้าไม่ทําเสียง นกกระทานี้จะไม่มา แต่เมื่อข้าพเจ้ากระทําเสียง นกกระทําจํานวนมากนี้มา ด้วยคิดว่า ญาติของพวกเราจับอยู่ นายพรานจับนกกระทําตัวที่มานั้นฆ่าอยู่ ชื่อว่าย่อมถูกต้อง คือได้ประสบกรรมคือปาณาติบาตนี้ เพราะอาศัยข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ใจของข้าพเจ้าจึงรังเกียจคือถึงความรังเกียจอย่างนี้ว่า นายพรานกระทําบาป เพราะอาศัยเรา บาปนี้จะมีแก่เราไหมหนอ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 511
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
ถ้าใจของท่านไม่คิดประทุษร้ายไซร้กรรมที่นายพรานอาศัยท่านกระทําแล้วย่อมไม่ถูกต้องท่าน บาปกรรมย่อมไม่แปดเปื้อนท่านผู้บริสุทธิ์ ผู้มีความขวนขวายน้อย.
คําอันเป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า ถ้าใจของท่านไม่ประทุษร้ายเพราะอาการทําบาปกรรม คือ ไม่โน้มไม่โอน ไม่เงื้อมไปในการทําบาปกรรมนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น กรรมแม้ที่นายพรานอาศัยท่านกระทํา ย่อมไม่ถูกต้องคือไม่แปดเปื้อนท่าน เพราะบาปนั้นย่อมไม่แปดเปื้อน คือย่อมไม่ติดจิตของท่านผู้มีความขวนขวายน้อย คือไม่มีความห่วงใยในการทําบาป ผู้เจริญคือผู้บริสุทธิ์ เพราะท่านไม่มีความจงใจในปาณาติบาต.
พระมหาสัตว์ให้นกกระทําเข้าใจแล้ว ด้วยประการอย่างนี้ฝ่ายนกกระทานั้นก็ได้เป็นผู้หมดความรังเกียจสงสัย เพราะอาศัยกระมหาสัตว์นั้น. นายพรานตื่นนอนแล้วไหว้พระโพธิสัตว์ ถือเอากรงนกกระทาหลีกไป.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า นกกระทําในครั้งนั้น ได้เป็นพระราหุลในบัดนี้ส่วนพระดาบสในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาติตฺติรชาดกที่ ๙