๘. อนนุโสจิยชาดก ทุกคนจะต้องตายควรเมตตากัน
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 568
๘. อนนุโสจิยชาดก
ทุกคนจะต้องตายควรเมตตากัน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 568
๘. อนนุโสจิยชาดก
ทุกคนจะต้องตายควรเมตตากัน
[๖๑๐] นางสัมมิลลหาสินีผู้เจริญ ได้ไปอยู่ในระหว่างพวกสัตว์ที่ตายไปแล้วเป็นจํานวนมากเมื่อนางไปอยู่กับสัตว์เหล่านั้น จักชื่อว่าได้เป็นอะไรกับเรา เพราะฉะนั้นเราจึงมิได้เศร้าโศกถึงนางสัมมิลลหาสินีที่รักนี้.
[๖๑๑] ถ้าบุคุคลจะพึงเศร้าโศก ถึงความตายอันจะไม่เกิดมีแก่สัตว์ ผู้เศร้าโศกนั้น ก็ควรจะเศร้าโศกถึงตนซึ่งจะต้องตกไปสู่อํานาจของมัจจุราชทุกเมื่อ.
[๖๑๒] อายุสังขารหาได้เป็นไปตามเฉพาะสัตว์ที่ยืน นั่ง นอน หรือเดินอยู่เท่านั้นก็หาไม่วัยย่อมเสื่อมไปทุกขณะที่ยังหลับตาและลืมตาอยู่.
[๖๑๓] เมื่อวัยเสื่อมไปอย่างนั้นหนอ ในตนซึ่งเป็นทางอันตรายนั้นหนอ ต้องมีความพลัดพรากจากกันโดยไม่ต้องสงสัยหมู่สัตว์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 569
ที่ยังเหลืออยู่ ควรมีเมตตาเอ็นดูกัน ส่วนที่ตายไปแล้ว ไม่ควรจะต้องเศร้าโศกถึง.
จบ อนนุโสจิยชาดกที่ ๘
อรรถกถาอนนุโสจิยชาดกที่ ๘
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภกุฎมพีคนหนึ่งผู้มีภรรยาตาย จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่า พหูนํ วิชฺชติ โภติ ดังนี้
ได้ยินว่า กฎมพีนั้น เมื่อภรรยาตายแล้วไม่อาบน้ำ ไม่รับประทานข้าว ไม่ประกอบการงาน. ถูกความโศกครอบงํา ไปป่าช้าเที่ยวปริเทวนาการอยู่อย่างเดียว. แต่อุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรคโพลงอยู่ในภายในของกุฎมพีนั้น เหมือนประทีปโพลงอยู่ในหม้อฉะนั้น. ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูโลก ได้ทอดพระเนตรเห็นกุฎมพีนั้น ทรงพระดําริว่าเว้นเราเสีย ใครๆ. อื่นผู้จะนําความโศกออกแล้วให้โสดาปัตติมรรค แก่กุฏมพีนี้ ย่อมไม่มี เราจักเป็นที่พึงอาศัยของกุฎมพีนั้น จึงเสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต ทรงพาปัจฉาสมณะไปยังประตูเรือนของกุฎมพีนั้น กุฎมพีได้สดับการเสด็จมา ทรงมีสักการะมีการลุกรับเป็นต้นอันกุฎมพีกระทําแล้ว ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาด แล้วตรัสถามกุฎมพีผู้มานั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งว่า อุบาสก ท่านคิดอะไรหรือ? เมื่อกุฎมพีนั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 570
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภรรยาของข้าพระองค์ตาย ข้าพระองค์เศร้าโศกถึงเขาจึงคิดอยู่. จึงตรัสว่าอุบาสก ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่มีการแตกเป็นธรรมดาย่อมแตกไป เมื่อมันแตกไปจึงไม่ควรคิด แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลายเมื่อภรรยาตายแล้วก็ยังไม่คิดว่า สิ่งที่มีการแตกเป็นธรรมดาได้แตกไปแล้ว อันกุฎมพีนั้นทูลอาราธนา จึงทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้. เรื่องในอดีตจักมีแจ้งในจุลลโพธิชาดก ในทสกนิบาตส่วนในที่นี้มีความสังเขปดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ เจริญวัยแล้ว1เล่าเรียนศิลปะทั้งปวงในเมืองตักกศิลา แล้วได้กลับไปยังสํานักของบิดามารดา. ในชาดกนี้ พระโพธิสัตว์ได้เป็นพรหมจารีแต่ยังเป็นกุมาร.ลําดับนั้น บิดามารดาของพระโพธิสัตว์นั้นบอกว่า เราจักจัดการแสวงหาภรรยาให้แก่เจ้า. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ลูกไม่มีความต้องการครองเรือน เมื่อท่านทั้งหลายล่วงไปแล้ว ลูกจักบวช ถูกบิดามารดานั้นรบเร้าอยู่บ่อยๆ จึงให้ช่างทํารูปทองคํารูปหนึ่ง แล้วพูดว่า ลูกได้กุมาริกาเห็นปานนี้ จึงจักรับครองเรือน. บิดามารดาของพระโพธิ-สัตว์นั้นจึงให้ยกรูปทองคํานั้นขึ้นบนยานอันมิดชิดแล้วส่งคนทั้งหลายพร้อมทั้งบริวารเป็นอันมากไปโดยสั่งว่า พวกท่านจงไป จงเที่ยวไปยังพื้นชมพูทวีป เห็นกุมาริกาผู้เป็นพราหมณ์ซึ่งงามเห็นปานนี้ในที่ใดท่านทั้งหลายจงให้รูปทองคํานี้ในที่นั้น แล้วนํานางพราหมณกุมาริกา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 571
นั้นมา. ก็ในกาลนั้น สัตว์ผู้มีบุญคนหนึ่งจุติจากพรหมโลก บังเกิดเป็นกุมาริกาในเรือนพราหมณ์ผู้มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ในนิคมคามแคว้นกาสีนั่นเอง บิดามารดาได้ขนานนามกุมาริกานั้นว่า สัมมิลลหาสินี. กุมาริกานั้น ในเวลามีอายุ ๑๖ ปี เป็นผู้มีรูปงามชวนชม เปรียบด้วยนางเทพอัปสร สมบูรณ์ทั่วสารพางก์กาย. ชื่อว่าความคิดด้วยอํานาจกิเลสไม่เคยเกิดขึ้นแก่นางเลย นางได้เป็นยาวพรหมจารีนีโดยแท้จริง. ชนทั้งหลายพารูปทองคํานั้นเที่ยวไปถึงบ้านนั้น. คนทั้งหลายในบ้านนั้น เห็นรูปทองคํานั้นแล้วพากันกล่าวว่า เพราะเหตุไรนางสัมมิลลหาสินี ธิดาของพราหมณ์ชื่อโน้น จึงมายืนอยู่ที่นี้. มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังดังนั้นจึงไปยังตระกูลพราหมณ์สู่ขอนางสัมมิลลหาสินีนั้น. นางจึงส่งข่าวแก่บิดามารดาว่า เมื่อท่านทั้งสองล่วงลับไปแล้วดิฉันจักบวช ดิฉันไม่ต้องการครองเรือน. บิดามารดานั้นจึงกล่าวว่ากุมาริกาเจ้าจะทําอะไรได้ แล้วรับเอารูปทองคําส่งนําไปด้วยบริวารเป็นอันมาก. เมื่อพระโพธิสัตว์และนางสัมมิลลหาสินี ทั้งสองคน ไม่ปรารถนาเลย บิดามารดาก็ทําการมงคล สมรสให้. คนทั้งสองนั้นอยู่ในห้องเดียวกัน แม้จะนอนอยู่บนที่นอนเดียวกัน ก็ไม่ได้แลดูกันและกันด้วยอํานาจกิเลส อยู่ในสถานที่เดียวกัน เหมือนภิกษุ๒ รูปและเหมือนพรหม ๒ องค์ อยู่ในที่เดียวกันฉะนั้น. จําเนียรกาลล่วงมา บิดามารดาของพระโพธิสัตว์ได้ทํากาลกิริยาตายลง พระโพธิสัตว์นั้นกระทําการฌาปนกิจสรีระของบิดามารดาแล้ว เรียกนางสัม-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 572
มิลลหาสินีมากล่าวว่า นางผู้เจริญ เธอจงถือเอาทรัพย์นี้ มีประมาณเท่านี้ คือ ทรัพย์ ๘๐ โกฏิอันเป็นของตระกูลพี่ และทรัพย์ ๘๐ โกฎิอันเป็นของตระกูลเธอ แล้วปกครองทรัพย์สมบัตินี้เถิด พี่จักบวช.นางสัมมิลลหาสินีกล่าวว่า ข้าแต่ลูกเจ้า เมื่อท่านบวชดิฉันก็จักบวชดิฉันไม่อาจทอดทิ้งท่านได้. คนทั้งสองนั้นจึงสละทรัพย์ทั้งหมดในทางทาน ละทิ้งสมบัติเหมือนก้อนเขฬะ เข้าไปยังหิมวันตประเทศทั้งสองคน บวชเป็นฤๅษี มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร อยู่ในหิมวันตประเทศนั้นช้านาน เพื่อต้องการจะเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว จึงลงจากหิมวันตประเทศ ถึงเมืองพาราณสีโดยลําดับ แล้วอยู่ในพระราชอุทยาน. เมื่อดาบสและดาบสินีทั้งสองนั้นอยู่ในพระราชอุทยานนั้นเมื่อปริพาชิกาผู้สุขุมาลชาติบริโภคภัตอันเจือปนปราศจากโอชะ ก็เกิดอาพาธลงโลหิต. นางเมื่อไม่ได้เภสัชอันเป็นสัปปายะก็ได้อ่อนกําลังลงในเวลาภิกขาจาร พระโพธิสัตว์ได้พยุงนางนําไปยังประตูพระนครแล้วให้นอนบนแผ่นกระดาน ณ ศาลาหลังหนึ่ง ส่วนตนเข้าไปภิกขาจาร. นาง เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นยังไม่กลับออกมาเลย ก็ได้ทํากาลกิริยาตายไป. มหาชนเห็นรูปสมบัติของปริพาชิกา พากันห้อมล้อมร้องไห้ร่ําไร. พระโพธิสัตว์เที่ยวภิกขาแล้วกลับมารู้ว่านางตายแล้วดําริว่า สิ่งที่มีอันจะแตกไปเป็นธรรมดา ย่อมแตกไป สังขารทั้งปวงไม่เที่ยงหนอ มีคติอย่างนี้เอง แล้วนั่งบนแผ่นกระดานที่นางนอนอยู่นั่นแหละ บริโภคโภชนะอันระคนกันแล้วบ้วนปาก. มหาชนที่ยืน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 573
ห้อมล้อมถามว่า ท่านผู้เจริญ ปริพาชิกานี้เป็นอะไรกับท่าน? พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เมื่อเวลาเป็นคฤหัสถ์ นางเป็นบาทบริจาริกาของเรา.มหาชนกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พวกเรายังอดทนไม่ได้ก่อน พากันร้องไห้ร่ําไร เพราะเหตุไร? ท่านจึงไม่ร้องไห้. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า นางปริพาชิกานี้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ย่อมเป็นอะไรๆ กับเรา บัดนี้ ไม่เป็นอะไรๆ กัน เพราะนางเป็นผู้สมัครสมานกับปรโลก ไปสู่อํานาจของคนอื่นแล้ว เราจะร้องไห้เพราะอะไร เมื่อจะแสดงธรรมแก่มหาชนจึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
นางสัมมิลลหาสินีผู้เจริญ ได้ไปอยู่ในระหว่างพวกสัตว์ที่ตายไปแล้วเป็นจํานวนมากเมื่อนางไปอยู่กับพวกสัตว์เหล่านั้น จักชื่อว่าเป็นอะไรกับเรา เพราะฉะนั้นเราจึงมิได้เศร้าโศกถึงนางสัมมัลลหาสินีผู้เป็นที่รักนี้.
ถ้าบุคคลจะเศร้าโศก ถึงสิ่งที่ไม่มีแก่สัตว์ผู้เศร้าโศกนั้น พึงเศร้าโศกถึงตนซึ่งตกอยู่ในอํานาจของมัจจุราชอยู่ทุกเวลา.
อายุสังขารใช่ว่าจะติดตามเฉพาะสัตว์ผู้ยืน นั่ง นอน หรือเดินอยู่เท่านั้นก็หาไม่แม้ในเวลาชั่วลืมตา (๑) หลับตาวัยก็เสื่อมไปแล้ว.
(๑) ในบาลีเป็น ทุททุภายชาดก. แปลตามบาลี พม่า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 574
ในตนซึ่งเป็นทางอันตรายนั้นหนอ ต้องมีความพลัดพรากจากกันโดยไม่ต้องสงสัยหมู่สัตว์ที่ยังอยู่ควรเอ็นดูกัน ส่วนที่ตายไปแล้วไม่ควรเศร้าโศกถึง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหูนํ วิชฺชติ ความว่า นางผู้เจริญนี้ทิ้งเราแล้ว บัดนี้ มีอยู่คือเกิดในระหว่างเหล่าสัตว์ที่ตายแล้วเหล่าอื่นเป็นอันมาก. บทว่า เตหิ เม กึ ภวิสฺสติ ความว่า เดี๋ยวนี้ นางเป็นไปกับพวกสัตว์ที่ตายแล้วนั้น จักเป็นอะไรกับเรา หรือว่านางจักเป็นอะไรแก่เรา ด้วยอํานาจความเกี่ยวพันเกินสัตว์เหล่านั้น คือ นางจักเป็นใคร จะเป็นภรรรยาหรือน้องสาว. บาลีว่า เตหิ เมกํ ดังนี้ก็มี. อธิบายบาลีนั้นว่า กเลวระหว่างกายของเราแม้นี้ จักเป็นอันเดียวกันกับสัตว์ที่ตายแล้วเหล่านั้น. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่นางสัมมิลลหาสินีนี้ตายแล้ว สมาคมกับคนตายแล้วจะเป็นอะไรแก่เรา เพราะฉะนั้น เราจึงไม่เศร้าโศกถึงนางสัมมิลลหาสินีนี้. บทว่ายํ ยํ ตสฺส ความว่า สิ่งใดๆ ย่อมไม่มีแก่สัตว์ผู้เศร้าโศกนั้น ได้แก่ความตายคือความดับ ถ้าจะเศร้าโศกถึงสิ่งนั้นๆ. บาลีว่า ยสฺส ดังนี้ก็มี. ความของบาลีนั้นว่า สิ่งใดๆ ย่อมมีแก่ผู้ใด ถ้าผู้นั้นจะเศร้าโศกถึงสิ่งนั้นๆ. บทว่า มจฺจุวสมฺปตฺตํ ความว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น บุคคลควรเศร้าโศกถึงเฉพาะตนผู้ถึงคือผู้จะไปสู่อํานาจของมัจจุราชเป็นนิจทีเดียว เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้นจะไม่มีเวลาเศร้าโศกเลย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 575
ในคาถาที่ ๓ มีวินิจฉัยต่อไปนี้. พึงนําบาลีที่เหลือมาเชื่อมเข้ากัน ความว่า อายุสังขารย่อมไปตามสัตว์ไรๆ ก็ได้มิใช่ผู้ยืน นั่ง นอน หรือเดินเท่านั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปตฺถคุํได้แก่ ผู้เที่ยวไปๆ มาๆ. อธิบายว่า สัตว์เหล่านี้ประมาทอยู่ในอิริยาบถทั้ง ๔ ส่วนอายุสังขารไม่ประมาทในอิริยาบถทั้งปวงทั้งกลางคืนและกลางวัน ย่อมกระทํากรรมคือถึงความในรูปของตนเท่านั้น. บทว่ายาวุปฺปตฺติ นิมิสฺสติ ความว่า ก็นี้เป็นโวหารเรียกกาลเวลานั้น.ท่านอธิบายว่า วัยของสัตว์เหล่านี้ ย่อมเสื่อมไป แม้ชั่วเวลาหลับตาและลืมตา คือในเวลามีประมาณเล็กน้อยอย่างนี้ คือ วัยที่เหลือในวัยทั้งสาม ย่อมเสื่อมคือไม่เจริญ. บทว่า ตตฺถตฺตนิ วตปฺปนฺเถ ได้แก่ในตนซึ่งเป็นทางอันตรายนั้นหนอ. ท่านอธิบายว่า เมื่อวัยนั้นหนอเสื่อมไปอย่างนี้ อัตภาพอันถึงการนับว่า นี้เป็นอัตตา ย่อมเป็นทางอันตราย คือถูกผูกด้วยบ่วงเข้าไปครึ่งหนึ่งไม่เต็มบริบูรณ์ เมื่อเป็นอย่างนั้น ตนที่เป็นทางอันตรายนี้นั้น จะต้องมีความพลัดพรากจากกันแห่งสัตว์ทั้งหลายที่บังเกิดในภพนั้นๆ โดยไม่ต้องสงสัย คือหมดความสงสัยสัตว์ที่เหลืออยู่ยังไม่ตาย คือสัตว์ที่เหลืออยู่นั้นยังเป็นอยู่ คือมีชีวิตอยู่ ควรเอ็นดูกัน คือควรเมตตากัน พึงเจริญเมตตาในสัตว์นั้นอย่างนี้ว่า ขอสัตว์นี้จงอย่ามีโรค จงอย่าเบียดเบียนกัน ส่วนสัตว์ที่จุติเคลื่อนไปแล้ว คือตายแล้วไม่ควรเศร้าโศกถึง คือไม่ควรตามเศร้าโศกถึง.
พระมหาสัตว์เมื่อแสดงอาการไม่เที่ยงด้วยคาถา ๔ คาถาอย่าง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 576
นี้ แสดงธรรมแล้ว. มหาชนพากันกระทําฌาปนกิจสรีระของนางปริพาชิกาแล้ว. พระโพธิสัตว์เข้าไปยังหิมวันตประเทศ ทําฌานและอภิญญาให้บังเกิด ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะแล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ กุฎมพีได้ดํารงอยู่ในโสดาปัตติผล. นางสัมมิลลหาสินีในครั้งนั้น ได้เป็นราหุลมารดาส่วนดาบสในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอนนุโสจิยชาดกที่ ๘