๒. รถลัฏฐิชาดก ว่าด้วยใคร่ครวญก่อนแล้วทํา
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 593
๒. รถลัฏฐิชาดก
ว่าด้วยใคร่ครวญก่อนแล้วทํา
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 593
๒. รถลัฏฐิชาดก
ว่าด้วยใคร่ครวญก่อนแล้วทํา
[๖๒๖] ข้าแต่พระราช บุคคลทําร้ายตนเองกลับกล่าวหาว่าคนอื่นทําร้ายดังนี้ก็มี โกงเขาแล้ว กลับกล่าวหาว่าเขาโกงดังนี้ก็มี ไม่ควรเชื่อคําของโจทก์ฝ่ายเดียว.
[๖๒๗] เพราะฉะนั้น บุคคลผู้เป็นเชื้อชาติบัณฑิตควรฟังคําแม้ของฝ่ายจําเลย เมื่อฟังคําของโจทก์และจําเลยทั้งสองฝ่ายแล้ว พึงปฏิบัติตามธรรม.
[๖๒๘] คฤหัสถ์ผู้บริโภคกามคุณ เกียจคร้าน ไม่ดีบรรพชิตผู้ไม่สํารวม ไม่งาม พระเจ้าแผ่นดินไม่ทรงใคร่ครวญก่อนแล้วทําไป ไม่งามบัณฑิตมีความโกรธเป็นเจ้าเรือน ก็ไม่งาม.
[๖๒๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเจ้าแห่งทิศ พระมหา-กษัตริย์ทรงใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงปฏิบัติไม่ทรงใคร่ครวญเสียก่อน ไม่ควรปฏิบัติอิสริยยศ บริวารยศ และเกียรติคุณของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 594
พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงใคร่ครวญแล้วจึงทรงปฏิบัติย่อมมีแต่เจริญขึ้น.
จบ รถลัฏฐิชาดกที่ ๒
อรรถกถารถลัฏฐิชาดกที่ ๒
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภปุโรหิตของพระเจ้าโกศล จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่าอปิ หนฺตฺวา หโต พรูติ ดังนี้.
ได้ยินว่า ปุโรหิตนั้นไปบ้านส่วยของตนด้วยรถ ขับรถไปในทางแคบ พบหมู่เกวียนพวกหนึ่ง จึงกล่าวว่า พวกท่านจงหลีกเกวียนของพวกท่าน ดังนี้แล้วก็จะไป เมื่อเขายังไม่ทันจะหลีกเกวียนก็โกรธ จึงเอาด้ามปฏักประหารที่แอกรถของนายเกวียนในเกวียนเล่มแรก. ด้ามปฏักนั้นกระทบแอกรถก็กระดอนกลับมาพาดหน้าผากของปุโรหิตนั้นเข้า ทันทีนั้นที่หน้าผากก็มีปมปูดขึ้น. ปุโรหิตนั้นจึงกลับไปกราบทูลแก่พระราชาว่า ถูกพวกนายเกวียนตี พระราชาจึงทรงสั่งพวกตุลาการให้วินิจฉัย พวกตุลาการจึงให้เรียกพวกนายเกวียนมาแล้ววินิจฉัยอยู่ได้เห็นแต่โทษผิดของปุโรหิตนั้นเท่านั้น. อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลายได้ยินว่า ปุโรหิตของพระราชาเป็นความหาว่า พวกเกวียนตีตน แต่ตนเองกลับเป็นฝ่ายผิด. พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 595
พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่าด้วยเรื่องชื่อนี้พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ปุโรหิตนี้ก็กระทํากรรมเห็นปานนี้เหมือนกันแล้วทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอํามาตย์ผู้วินิจฉัยของพระเจ้าพาราณสีนั้นเอง. ข้อความทั้งหมดที่ว่า ครั้งนั้น ปุโรหิตของพระราชา ไปยังบ้านส่วยของตนด้วยรถดังนี้เป็นต้น เป็นเช่นกับข้อความอันมีแล้วในเบื้องต้นนั่นแหละ. แต่ในชาดกนี้ เมื่อปุโรหิตนั้นกราบทูลพระราชาแล้ว พระราชาประทับนั่ง ณ โรงวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง รับสั่งให้เรียกพวกนายเกวียนมา มิได้ทรงชําระการกระทําให้ชัดเจน ตรัสว่าพวกเจ้าตีปุโรหิตของเรา ทําให้หน้าผากโปขึ้น แล้วตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงปรับพวกเกวียนเหล่านั้นทั้งหมดคนละพัน. ลําดับนั้น พระโพธิสัตว์กราบทูลพระราชานั้นว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ยังมิได้ทรงชําระการกระทําให้ชัดแจ้งเลย ทรงให้ปรับพวกเกวียนเหล่านั้นทั้งหมดคนละพัน ด้วยว่าคนบางจําพวก แม้ประหารตนด้วยตนเองก็กล่าวหาว่า ถูกคนอื่นประหาร เพราะฉะนั้น การไม่วินิจฉัยแล้วสั่งการ ไม่ควร ธรรมดาพระราชาผู้ครองราชสมบัติใคร่ครวญแล้วสั่งการจึงจะควร แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 596
ข้าแต่พระราชา บุคคลทําร้ายตนเองกลับกล่าวหาว่า คนอื่นทําร้าย ดังนี้ก็มี โกงเขาแล้ว กลับกล่าวหาว่า เขาโกงดังนี้ก็มี ไม่ควรเชื่อคําของโจทก์ฝ่ายเดียว.
เพราะฉะนั้น บุคคลผู้เป็นเชื้อชาติบัณฑิต ควรฟังคําแม้ของฝ่ายจําเลยด้วย เมื่อฟังคําของโจทก์และจําเลย คู่ความทั้งสองฝ่ายแล้ว พึงปฏิบัติตามธรรม.
คฤหัสถ์ผู้ยังบริโภคกาม เกียจคร้านไม่ดีบรรพชิตผู้ไม่สํารวม ไม่ดี พระราชาไม่ทรงใคร่ครวญก่อนแล้วทําไป ไม่ดี บัณฑิตมีความโกรธเป็นเจ้าเรือน ก็ไม่ดี.
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเจ้าแห่งทิศ กษัตริย์ทรงใคร่ครวญก่อนแล้วจึงควรกระทํา ไม่ทรงใคร่ครวญก่อน ไม่ควรกระทํา อิสริยยศและเกียรติศัพท์ ย่อมเจริญแก่กษัตริย์ผู้ทรงใคร่ครวญแล้วกระทํา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 597
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่าอปิ หนฺตฺวาความว่า เออก็ คนบางพวกทําร้ายตนด้วยตนเอง ยังพูดคือกล่าวหาว่า ถูกคนอื่นทําร้าย.บทว่า เชตฺวา ชิโต ความว่า ก็หรือว่า คนเองโกงคนอื่นแล้วกล่าวหาว่าเราถูกโกง. บทว่า เอตทตฺถุ ความว่า ข้าแต่มหาราช บุคคลไม่ควรเชื่อคําของโจทก์ผู้ไปยังราชสกุลแล้วกล่าวหาก่อน ชื่อว่าผู้ฟ้องร้องก่อนโดยแท้ คือไม่พึงเชื่อคําของโจทก์โดยส่วนเดียว. บทว่าตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่ไม่ควรเชื่อคําของผู้ที่มาพูดก่อนโดยส่วนเดียว. บทว่า ยถา ธมฺโม ความว่า สภาวะ (หลักการ) วินิจฉัยตั้งไว้อย่างใด พึงกระทําอย่างนั้น. บทว่า อสฺโต ได้แก่ ผู้ไม่สํารวมกายเป็นต้น คือ เป็นผู้ทุศีล. บทว่า ตํ น สาธุ ความว่าความโกรธกล่าวคือความขุ่นเคืองอันมั่นคง โดยการยึดถือไว้ตลอดระยะกาลนานของบัณฑิต คือบุคคลผู้มีความรู้นั้น ไม่ดี. บทว่านานิสมฺม ได้แก่ ไม่ทรงใคร่ครวญแล้ว ไม่ควรกระทํา. บทว่าทิสมฺปติ ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้เป็นใหญ่แห่งทิศทั้งหลาย.บทว่า ยโส กิตฺติ จ ความว่า บริวาร คือความเป็นใหญ่ และเกียรติศัพท์ย่อมเจริญ.
พระราชาได้สดับคําของพระโพธิสัตว์แล้ว ทรงวินิจฉัยตัดสินโดยธรรม. เมื่อทรงวินิจฉัยโดยธรรม โทษผิดจึงมีแก่พราหมณ์เท่านั้นแล.