๓. โคธชาดก เขารักก็รักมั่ง เขาชังก็ชังตอบ
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 599
๓. โคธชาดก
เขารักก็รักมั่ง เขาชังก็ชังตอบ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 599
๓. โคธชาดก
เขารักก็รักมั่ง เขาชังก็ชังตอบ
[๖๓๐] หม่อมฉันทราบว่า พระองค์ผู้ทรงดํารงรัฐจะไม่ทรงอาลัยใยดีต่อหม่อมฉัน ตั้งแต่ครั้งเมื่อพระองค์ทรงภูษาเปลือกไม้ เหน็บพระแสงขรรค์ ทรงผูกสอดเครื่องครบ ประ-ทับอยู่กลางป่า เหี้ยย่างได้หนีไปจากกิ่งไม้อัสสัตถะแล้ว.
[๖๓๑] พึงอ่อนน้อมต่อผู้ที่อ่อนน้อม พึงคบผู้ที่เขาพอใจจะคบด้วย พึงทํากิจแก่ผู้ที่ช่วยทํากิจ ไม่พึงทําความเจริญให้แก่ผู้ที่ใคร่ความเสื่อม อนึ่ง ไม่พึงคบหาสมาคมกับผู้ที่เขาไม่พอใจจะคบหาสมาคมด้วย.
[๖๓๒] พึงละทิ้งผู้ที่เขาละทิ้ง ไม่พึงทําความสิเนหาในผู้เลิกลากัน ไม่พึงสมาคมกับผู้มีจิตคิดออกห่าง นกรู้ว่าต้นไม้มีผลหมดแล้วย่อมบินไปสู่ต้นอื่นที่เต็มไปด้วยผล ฉันใดคนก็ฉันนั้น รู้ว่าเขาหมดความอาลัยแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 600
ก็ควรจะเลือกหาคนอื่นที่เขาสมัครรักใคร่เพราะว่าโลกกว้างใหญ่พอ.
[๖๓๓] ฉันเป็นกษัตริย์มุ่งความกตัญู จะทําตอบแทนแต่เธอตามสติกําลัง อนึ่ง ฉันจะมอบอํานาจให้แก่เธอทั้งหมด เธอต้องการสิ่งใดแก่คนใดฉันจะให้สิ่งนั้นแก่เธอ เพื่อคนนั้น.
จบ โคธชาดกที่ ๓
อรรถกถาโคธชาดกที่ ๓
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภกุฎมพีผู้หนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่า ตเทว เมตฺวํ ดังนี้.
เรื่องปัจจุบัน ได้ให้พิสดารแล้วในหนหลังนั่นแหละ แต่ในชาดกนี้ เมื่อสามีภรรยาทั้งสองนั้น ชําระสะสางหนี้สินเสร็จแล้วกลับมา ในระหว่างทาง พรานได้ให้เหี้ยย่างตัวหนึ่ง โดยพูดว่า ท่านทั้งสองจงกิน. บุรุษผู้เป็นสามีนั้นสั่งภรรยาไปหาน้ำดื่ม แล้วกินเหี้ยหมด ในเวลาภรรยานั้นกลับมาจึงกล่าวว่า นางผู้เจริญ เหี้ยหนีไปเสียแล้ว. ภรรยากล่าวว่า ดีละนาย เมื่อเหี้ยย่างมันหนีไป ดิฉันจะอาจทําอะไร. ภรรยานั้นดื่มน้ำในพระเชตวันแล้วนั่งรวมกันในสํานัก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 601
ของพระศาสดา ผู้อันพระศาสดาตรัสถามว่า อุบาสิกา สามีของท่านนี้ยังปรารถนาประโยชน์เกื้อกูล มีความรักดี อุปการะช่วยเหลือแก่ท่านดีอยู่หรือ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ยังมีความปรารถนาประโยชน์เกื้อกูล มีความรักแก่สามีนี้ดีอยู่ แต่สามีนี้ไม่มีความรักในข้าพระองค์เลย. พระศาสดาตรัสว่า ช่างเขาเถอะ อย่าคิดเลย สามีนี้ย่อมกระทําชื่ออย่างนี้ ก็เมื่อใด เขาระลึกคุณของท่านได้ เมื่อนั้น เขาจะให้ความเป็นใหญ่ทั้งหมด เฉพาะท่านเท่านั้น อันสามีภรรยาทั้งสองนั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
แม้เรื่องในอดีต ก็เป็นเช่นกับที่กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั้นเหมือนกัน. แต่ในชาดกนี้ เมื่อพระราชบุตรและชายานั้นเสด็จกลับในระหว่างทาง นายพรานทั้งหลายเห็นความอิดโรยของคนทั้งสองจึงได้ให้เหี้ยย่างตัวหนึ่ง บอกว่า ท่านทั้งสองคนจงกินเสียเถิด. พระราชธิดาเอาเถาวัลย์พันเหี้ยนั้นแล้วถือเดินทางไป. เธอทั้งสองนั้นพบสระน้ำแห่งหนึ่ง จึงแวะลงจากทาง นั่งที่โคนต้นอัสสัตถะ. พระราชบุตรตรัสว่า นางผู้เจริญ เธอจงไปนําน้ำจากสระมาด้วยใบบัว เราจักได้กินเนื้อกัน. พระราชธิดานั้นแขวนเหี้ยไว้ที่กิ่งไม้แล้วไปเพื่อนําน้ำมา ฝ่ายพระราชบุตรเสวยเหี้ยหมดแล้ว ทรงนั่งเบือนพระพักตร์จับปลายหางเหี้ยอยู่. พระราชบุตรนั้น ในเวลาพระราชธิดาถือน้ำดื่มเสด็จมา จึงตรัสว่า นางผู้เจริญ เหี้ยลงจากกิ่งไม้เข้าไปยังจอมปลวกเราวิ่งไล่จับปลายหางไว้ได้ ตัวมันขาดเข้าปล่องไป เหลือแต่ที่จับได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 602
เฉพาะในมือเท่านั้น. พระราชธิดาทูลว่า ช่างเถอะพระองค์ เมื่อเหี้ยย่างมันหนีไปได้ เราจักทําอะไรได้ มาเถิดพวกเราไปกันเถอะ. เธอทั้งสองนั้นดื่มน้ำแล้วไปถึงพระนครพาราณสี พระราชบุตรได้ราชสมบัติแล้วทรงตั้งพระราชธิดานั้นไว้ เพียงในตําแหน่งอัครมเหสี ส่วนสักการะและสัมมานะ ไม่มีแก่พระนาง. พระโพธิสัตว์ประสงค์จะให้พระราชากระทําสักการะแก่พระนาง จึงยืนอยู่ในสํานักของพระราชาแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ข้าพระองค์ไม่ได้อะไรๆ จากสํานักของพระองค์มิใช่หรือ ทําไมไม่ทรงเหลียวแลข้าพระองค์เลย. พระเทวีตรัสว่า ดูก่อนพ่อ เราเองก็ไม่ได้อะไรจากสํานักของพระราชาเราจักให้อะไรท่านเล่าจนบัดนี้ แม้พระราชาก็จัก ประทานอะไรแก่ฉันในเวลาเสด็จมาจากป่า ท้าวเธอเสวยเหี้ยย่างแต่พระองค์เดียว. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระองค์ผู้ประเสริฐจักไม่ทรงการทําเช่นนี้แน่ พระองค์โปรดอย่างได้ตรัสอย่างนี้เลย. ลําดับนั้นพระเทวีจึงตรัสกะพระโพธิสัตว์นั้นว่า ดูก่อนพ่อ เรื่องนั้นไม่ปรากฏแก่ท่าน ปรากฏเฉพาะแก่พระราชาและฉันเท่านั้น แล้วตรัสคาถาที่๑ ว่า :-
หม่อมฉันทราบว่า พระองค์ผู้ประเสริฐจะไม่ทรงใยดีต่อหม่อมฉัน แต่ครั้งเมื่อพระ-องค์ทรงภูษาเปลือกไม้ เหน็บพระแสงขรรค์ทรงผูกสอดเครื่องรบประทับอยู่ท่ามกลางป่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 603
เหี้ยย่างได้หนีไปจากกิ่งไม้อัสสัตถะแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตเทว ความว่า ในกาลนั้นนั่นแหละ หม่อมฉันทราบพระองค์ได้อย่างนี้ว่า พระราชานี้ไม่ประทานอะไรแก่หม่อมฉัน แต่คนอื่นๆ ย่อมไม่รู้สภาวะของพระองค์.บทว่า ขคฺคพนฺธสฺส ได้แก่ ผู้ทรงเหน็บพระขรรค์. บทว่า ติรี-ฏิโน ความว่า ในเวลาพระองค์ทรงฉลองพระภูษาเปลือกไม้เสด็จมาตามทาง. บทว่า ปกฺกา ความว่า เหี้ยย่างด้วยถ่านไฟหนีไปแล้ว.
พระเทวีตรัสโทษที่พระราชาทรงกระทําไว้ ให้ปรากฏในท่ามกลางบริษัท ด้วยประการอย่างนี้. พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า เพราะกระทําความไม่ผาสุกให้แก่ทั้งสองพระองค์ จําเดิมแต่เวลาไม่เป็นที่โปรดปรานของพระราชาผู้ประเสริฐพระองค์จะประทับอยู่ในที่นี้เพราะอะไร แล้วได้กล่าวคาถา ๒ คาถานี้ว่า :-
พึงอ่อนน้อมต่อผู้อ่อนน้อม พึงคบผู้ที่เขาพอใจจะคบด้วย พึงทํากิจแก่ผู้ที่ช่วยทํากิจ ไม่พึงทําความเจริญแก่ผู้ที่ใคร่ความเสื่อมอนึ่ง ไม่พึงคบกับผู้ที่ไม่พอใจจะคบด้วย.พึงละทิ้งผู้ที่เขาทิ้งเรา ไม่พึงทําความสิเนหาในผู้เลิกลากัน ไม่พึงสมาคมกับผู้มีจิตคิดออกห่าง นกรู้ว่าต้นไม้มีผลหมดแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 604
ย่อมบินไปสู่ต้นอื่นที่เต็มไปด้วยผล ฉันใดคนก็ฉันนั้น รู้ว่าเขาหมดความอาลัยแล้วก็ควรจะเลือกหาคนอื่นที่เขาสมัครรักใคร่เพราะว่าโลกกว้างใหญ่พอ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นเม นมนฺตสฺส ความว่า ผู้ใดนอบน้อมตนด้วยจิตใจอันอ่อนโยน พึงนอบน้อบตอบผู้นั้นเท่านั้น.บทว่า กิจฺจานุกุพฺพสฺส ผู้ช่วยทํากิจอันเกิดขึ้นแก่ตนเท่านั้น.บทว่า นานตฺถกามสฺส ได้แก่ ผู้ไม่ต้องการความเจริญ. บทว่าวนถํ น กยิรา ความว่า ไม่พึงกระทําความสิเนหาด้วยอํานาจความอยากในคนผู้ละทิ้งนั้น. บทว่า อเปตจิตฺเตน ได้แก่ ผู้มีจิตเหินห่างคือ ผู้มีจิตหน่ายแหนง. บทว่า น สมฺภเชยฺย ได้แก่ ไม่พึงสมาคม.บทว่า อฺํ สเมกฺเขยฺย ได้แก่ พึงเลือกดูคนอื่น. อธิบายว่านกรู้ว่าต้นไม้ไร้ผล ย่อมไปยังต้นอื่นซึ่งมีผลดก ฉันใด คนก็ฉันนั้นรู้ว่าชายเขาสิ้นความรักใคร่แล้ว พึงเข้าไปหาคนอื่นที่เขารักด้วยดี.
พระราชา เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวอยู่นั้นแล ระลึกถึงคุณความดีของพระเทวีนั้นได้ จึงตรัสว่า น้องนางผู้เจริญ พี่ไม่ได้กําหนดคุณความดีของเธอ สิ้นกาลมีประมาณเท่านี้. ฉันกําหนดได้เพราะถ้อยคําของบัณฑิตนี่เอง จะให้ราชสมบัตินี้เฉพาะแก่เธอผู้อดกลั้นความผิดของฉันได้ แล้วตรัสคาถาที่ ๔ ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 605
เรานั้นเป็นกษัตริย์มุ่งความกตัญู จะกระทําตอบแทนเธอตามอานุภาพ อนึ่ง เราจะมอบความเป็นใหญ่ทั้งหมดให้แก่เธอเธออยากได้สิ่งใดเพื่อคนใด เราจะให้สิ่งนั้นแก่เธอเพื่อคนนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โส แปลว่า เรานั้น. บทว่ายถานุภาวํ ได้แก่ ตามสติกําลัง. บทว่า ยสฺสิจฺฉสิ ความว่า เธออยากได้เพื่อจะให้แก่คนใด เราจะให้สิ่งที่เธออยากได้ตั้งต้นแก่ราชสมบัตินี้ไป เพื่อคนนั้น.
พระราชาครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ได้ประทานความเป็นใหญ่ทั้งปวงแก่พระเทวี. และทรงดําริว่า บัณฑิตนี้ทําให้เราระลึกถึงคุณความดีของพระเทวีนี้ จึงได้ประทานอิสริยยศใหญ่แม้แก่บัณฑิตด้วย.
พระศาสดา ครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะ ผัวเมียทั้งสองคนได้ดํารงอยู่ในโสดาปัตติผล. ผัวและเมียในครั้งนั้น ได้เป็นผัวและเมียนี่แหละในบัดนี้ ส่วนอํามาตย์ผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถาโคธชาดกที่ ๓