ทุกข์ 3

 
suangw22
วันที่  24 ส.ค. 2564
หมายเลข  35793
อ่าน  510

ช่วยอธิบายให้กระจ่างหน่อยครับ?


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 24 ส.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทุกข์ ที่เป็นความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง มีหลากหลายนัย ครับ ทั้งที่เป็นทุกข์ ที่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และ ดับไปของสภาพธรรมในขณะนี้ ที่เป็นทุกขอริยสัจจะ และทุกข์ ที่เป็นโดยสมมติ คือ ทุกข์ ที่เป็น ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นทุกข์เช่นกัน

ทุกข์โดย นัย 3 อย่าง มีดังนี้

ทุกขทุกข์ คือ ทุกขเวทนาที่เป็นไปทางกายและจิต ชื่อว่า เพราะเป็นทุกข์ทั้งโดยสภาวะทั้งโดยชื่อ.

วิปริณามทุกข์ คือ สุขเวทนา เพราะเหตุเกิดขึ้นแห่งทุกข์ โดยการเปลี่ยนแปลง.

สังขารทุกข์ คือ อุเบกขาเวทนา และสังขารธรรมทั้งหลายที่เหลือเป็นไปในภูมิ ๓ เพราะถูกความเกิดและดับบีบคั้น ก็ความบีบคั้น (ด้วยความเกิดและดับ) ย่อมมีแม้แก่มรรคและผลทั้งหลายเหมือนกัน เพราะฉะนั้น พึงทราบว่าธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า สังขารทุกข์ ด้วยอรรถว่า นับเนื่องด้วยทุกขสัจจะ.


ขอเชิญอ่านคำบรรยาย ท่าน อ.สุจินต์ ดังนี้

ท่าน อ.สุจินต์ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่พ้นจากสังขารทุกข์ เพราะคำว่า “สังขาร” หมายความถึงธรรมะซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นปัจจัยปรุงแต่งซึ่งกันและกันปรากฏชั่วคราวที่เกิดแล้วดับ ทุกขณะที่เร็วมาก ครอบคลุมทุกอย่าง แต่ถ้าจะกล่าวถึงสิ่งที่สำคัญในชีวิตทุกวันคืออะไร ทุกคนตอบได้ว่า ความรู้สึก ไม่มีใครอยากรู้สึกเป็นทุกข์ หรือแม้แต่ความรู้สึกเฉยๆ ก็ไม่พอ สุขซิ หรือโสมนัสซิ นี่เป็นสิ่งที่ปรารถนา แต่ถ้าไม่ได้สุข โสมนัสก็อุเบกขา อทุกขมสุขก็ยังดี แต่พอถึงทุกข์จริงๆ ทั้งกาย ทั้งใจ มีใครอยากได้บ้าง ก็ไม่มี

เพราะฉะนั้น สภาพธรรมะอย่างหนึ่ง คือ ความรู้สึก ก็เป็นสิ่งสำคัญ จนกระทั่งตรัสแยกไว้เป็นขันธ์หนึ่งซึ่งเป็นที่ติดข้องอย่างยิ่ง คือติดข้องในความรู้สึก เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงสังขารธรรมซึ่งเป็นสังขารทุกข์ทั้งหมด แล้วกล่าวเฉพาะอย่าง คือกล่าวเฉพาะเวทนา ความรู้สึกว่า แม้ความรู้สึกที่ทุกคนรู้จักดีว่า เป็นทุกข์ ก็มีประเภทหนึ่ง คือ ทุกขทุกข ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ใครไม่รู้จักบ้าง ก็รู้จัก ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ไม่ต้องพูด ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเป็นทุกขทุกข ทั้งๆ ที่ก็เป็นสังขารทุกข์ แต่ก็แยกสังขารออกเป็นแต่ละหนึ่ง โดยเฉพาะความรู้สึก ให้เห็นได้ชัดเจนว่า เป็นทุกข์อย่างไร คือความรู้สึกที่เป็นทุกข์กายและทุกข์ใจ เป็นทุกขทุกข แน่นอน แต่ก็ยังมีความรู้สึกอื่น ซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกเป็นทุกข์ เช่น ความรู้สึกเป็นสุขและโสมนัส แต่ว่าไม่ลืมว่า ทั้งหมดเกิดขึ้นแล้วดับไป เพราะฉะนั้น แม้สุขก็ไม่เที่ยง เช่นเดียวกับทุกข์ก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างก็ไม่เที่ยง แต่สำหรับสุขเวทนาใช้คำว่า “วิปริณามทุกข์” เพราะว่าทุกอย่างเป็นสังขารทุกข์หมด เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทุกขทุกขก็อย่างหนึ่ง พอถึงความสุข เที่ยงหรือไม่เปล่า ไม่เที่ยงเหมือนกัน เป็นสังขารทุกข์แน่นอน แต่สิ่งที่ว่าเป็นสุข เป็นสุขจริงหรือ ชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยนใช่ไหม เป็นต้นว่า รับประทานอาหารอร่อยมาก สุขแล้ว ขนมหน่อยหนึ่งได้ไหม หรือมีแค่อาหารของคาว ก็รู้สึกเหมือนยังไม่อิ่ม หรือยังไม่สุขเต็มที่ ยังต้องมีสุขอื่นอีก

เพราะฉะนั้น ความสุขไม่สิ้นสุดเหมือนกัน คือการเกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วเปลี่ยนแปลงความสุขโสมนัสนั้นตลอดเวลา ถ้าใครมีของใหม่ จะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า ชอบ โสมนัส นานเท่าไรถึงจะเบื่อ ถึงจะทิ้ง ถึงจะทำอะไรก็ได้ ก็เห็นได้เลยว่า แม้ความรู้สึกที่เป็นสุขก็วิปริณาม เปลี่ยนแปลง แปรปรวนไปตามความไม่พอ เป็นทุกข์ไหมคะ ก็เป็นทุกข์ แต่มองไม่เห็น แต่ขวนขวายอยู่ตลอดเวลา ด้วยความไม่รู้สึกที่ไม่ได้ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ความขวนขวายที่จะเป็นสุข ไม่พอ แล้วก็ไม่หยุด เป็นทุกข์ไหม เพราะฉะนั้น เห็นการขวนขวายที่จะได้สุขของใคร ก็เห็นชัด แล้วก็ตัวเองก็มี มากหรือน้อย ก็เห็นได้ว่า ถ้าไม่มี หมดสิ้นด้วยการไม่เกิดอีกเลย จะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เพราะว่าเพราะเกิดต่างหากจึงมีสิ่งต่างๆ ซึ่งนำความทุกข์ต่างๆ มาให้ไม่สิ้นสุด ยังไม่ทันจะมีความสุขสักเท่าไร ก็ตายไปแล้ว ก็ไม่พอ เกิดมาใหม่ ก็เป็นอย่างนี้อีก ก็ไม่มีวันจบสิ้น

เพราะฉะนั้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าจะกล่าวถึงสังขารทุกข์ทุกอย่าง แต่ถ้าจะกล่าวแสดงถึงความรู้สึก ก็สามารถเห็นความทุกข์แม้ความรู้สึกได้ว่า ทุกขทุกขนั้นเห็นแน่ และวิปริณามทุกข์นั้น สุขเวทนา โสมนัสเวทนา ก็ต้องเป็นคนที่เห็นว่า ทำไมเราถึงได้ขวนขวายนักหนาทั้งวัน ทุกวันเพื่ออะไร เพื่อความสุขที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ สำหรับอุเบกขาเวทนารู้ยากมาก เพราะฉะนั้น ก็เป็นสังขารทุกข์ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป


ขอเชิญคลิกฟังคำบรรยาย ท่าน อ.สุจินต์ ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

ทุกข์ 3 อย่าง

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 24 ส.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่ว่าจะกล่าวถึงทุกข์ โดยนัยใด ก็ตาม ล้วนไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วดับไปเท่านั้นจริงๆ ที่ควรจะได้ฟัง ได้ศึกษาให้เข้าใจอย่างแท้จริง ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละหนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เท่านั้นจริงๆ เป็นสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ