พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๘. จุลลธรรมปาลชาดก ความรักของแม่ที่มีต่อลูก

 
บ้านธัมมะ
วันที่  24 ส.ค. 2564
หมายเลข  35814
อ่าน  555

[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 765

๘. จุลลธรรมปาลชาดก

ความรักของแม่ที่มีต่อลูก


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 765

๘. จุลลธรรมปาลชาดก

ความรักของแม่ที่มีต่อลูก

[๗๓๗] หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทําความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติ-เทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรม-ปาลกุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดมือของหม่อมฉันเถิด.

[๗๓๘] หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทําความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติ-เทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรม.ปาลกุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดเท้าของหม่อมฉันเถิด.

[๗๓๙] หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทําความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติ-เทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรม.ปาลกุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดศีรษะของหม่อมฉันเถิด.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 766

[๗๔๐] ใครๆ ผู้เป็นมิตรและอํามาตย์ของพระ-ราชานี้ ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่นอน ผู้ที่จะทูลห้ามพระราชาว่า อย่าทรงปลงพระชนม์พระราชบุตรซึ่งเกิดแต่พระอุระเสียเลย ก็ไม่มี.

[๗๔๑] ใครๆ ผู้เป็นมิตรและพระญาติของพระ-ราชานี้ ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่นอน ผู้ที่ห้ามพระราชาว่า อย่าทรงปลงพระชนม์พระราช-บุตรที่เกิดจากพระองค์เสียเลย ก็ไม่มี.

[๗๔๒] แขนของธรรมปาลกุมารผู้เป็นทายาทแห่งแผ่นดิน อันลูบไล้ด้วยแก่นจันทน์แดงมาขาดไปเสีย ข้าแต่สมมติเทพ ชีวิตของหม่อมฉันก็คงจะดับไป.

จบ จุลลธรรมปาลชาดกที่ ๘

อรรถกถาจุลลธรรมปาลชาดกที่ ๘

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภการพยายามของพระเทวทัต เพื่อจะปลงพระชนม์พระองค์ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่า อหเมว ทูสิยา ภูนหตา ดังนี้.

ในชาดกอื่นๆ พระเทวทัตไม่ได้อาจเพื่อจะทําแม้มาตรว่าความ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 767

สะดุ้งแก่พระโพธิสัตว์. ส่วนในจุลลธรรมปาลชาดกนี้ พระเทวทัตให้.ตัดมือ เท้า และศีรษะและให้ทํากรรมกรณ์ชื่ออสิมาลกะ (๑) ในเวลาที่พระโพธิสัตว์มีอายุ ๗ เดือน. ในทัททรชาดก พระเทวทัตหักคอให้ตายแล้วปิ้งเนื้อบนเตากิน. ในขันติวาทีชาดก ให้เอาแช่หวายสองเส้นเฆี่ยนพันครั้ง ให้ตัดมือ เท้า หู และจมูก แล้วจับที่ชฎาดึงมาให้นอนหงาย กระทืบที่อกแล้วไป. พระโพธิสัตว์ถึงความสิ้นชีวิต ในวันนั้นเอง. ในจุลลนันทิกชาดกก็ดี ในมหากปิชาดกก็ดี ได้แต่ฆ่าให้ตายเท่านั้น. พระเทวทัตนี้ พยายามปลงพระชนม์อยู่ตลอดกาลนานด้วยประการอย่างนี้ ในครั้งพุทธกาล ได้พยายามอยู่เหมือนกัน อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตกระทําอุบายเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าเท่านั้น พระเทวทัตคิดว่า จักปลงพระชนม์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงประกอบนายขมังธนูกลิ้งศิลา และให้ปล่อยช้างนาฬาคิรี. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนาด้วยเรื่องอะไรในบัดนี้ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบว่า เรื่องชื่อนี้พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตก็พยายามฆ่าเราเหมือนกัน แต่ว่า ในบัดนี้พระเทวทัตไม่อาจทําแม้สักว่าความสะดุ้งตกใจ ในกาลก่อน ในเวลาที่เราเป็นธรรมปาลกุมาร พระเทวทัตทําเราผู้เป็นบุตรของตนให้ถึง


(๑) ในบาลีเป็น ทุททุภายชาดก. กรรมกรณ์ ชนิดโยนซากศพขึ้นบนอากาศแล้วรับด้วยปลายดาบ ในฎีกาว่า เอาดาบสับให้เนื้อละเอียด.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 768

ความสิ้นชีวิต แล้วให้ทํากรรมกรณ์ชื่อ อสิมาลกะ ครั้นตรัสแล้วทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้ามหาปตาปะ ครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระนางจันทาเทวีอัครมเหสีของพระเจ้ามหาปตาปราชนั้น พระญาติทั้งหลายขนานนามพระโพธิสัตว์นั้นว่า ธรรมปาละ. ในเวลาที่ธรรมปาลกุมารนั้นมีอายุได้ ๗ เดือน พระมารดาให้สรงสนานธรรมปาลกุมารนั่นนั้น โดยน้ำผสมด้วยของหอม แต่งพระองค์แล้วประทับนั่งให้เล่นอยู่. พระราชาเสด็จมายังสถานที่พระเทวีนั้นประทับอยู่. พระเทวีนั้นให้พระโอรสเล่นอยู่ เป็นผู้ทรงเปียมด้วยความสิเนหา แม้ได้เห็นพระราชาก็มิเสด็จลุกขึ้นรับ. พระราชานั้นทรงดําริว่า เดี๋ยวนี้ นางจันทานี้กระทํามานะถือตัวเพราะอาศัยบุตรก่อน ไม่สําคัญเราในเรื่องไรๆ ก็เมื่อบุตรเติบโตขึ้น นางจักไม่กระทําความสําคัญเราว่าเป็นมนุษย์ก็ได้เราจักฆ่าเสียในบัดนี้แหละ. ท้าวเธอจึงเสด็จกลับไปประทับนั่งบนราชอาสน์ แล้วรับสั่งให้เรียกเพชฌฆาตมา โดยพระโองการว่า เพชฌฆาตจงมาโดยพิธีธรรมเนียมของตน. เพชฌฆาตนั้นจึงนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด ทัดทรงดอกไม้แดง แบกขวาน ถือท่อนไม้สําหรับวางพาดมือและเท้า มีปุ่มเป็นที่รองรับมาถวายบังคมพระราชากราบทูลว่า เทวะข้าพระพุทธเจ้าจะกระทําอะไร ครั้นกราบทูลแล้ว ได้ยืนคอยรับพระบัญชาอยู่. พระราชารับสั่งว่า ท่านจงเข้าไปยังห้องอันมีสิริของพระเทวี แล้วนําธรรมปาลกุมารมา. ฝ่ายพระเทวีทรงทราบว่า

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 769

พระราชาทรงกริ้วแล้วเสด็จกลับไป จึงให้พระโพธิสัตว์นอนแนบพระอุระ ประทับนั่งทรงพระกรรแสงอยู่. นายเพชฌฆาตมาถึงเอามือตบพระปฤษฎางค์พระเทวีนั้นแล้ว ชิงพระกุมารไปจากพระหัตถ์ พามายังสํานักของพระราชาแล้วกราบทูลว่า เทวะ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทําอะไร. พระราชารับสั่งว่า ท่านจงให้นําเอาแผ่นกระดานมาแล้วให้เรียบลงข้างหน้า แล้วให้กุมารนั้นนอนบนแผ่นกระดานนี้. นายเพชฌฆาตนั้นได้กระทําตามรับสั่งอย่างนั้น. พระนางจันทาเทวีทรงปริเทวนาการร่ําไรมาข้างหลังพระโอรสนั่นแล. เพชฌฆาตกราบทูลอีกว่า เทวะ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทําอะไร. พระราชารับสั่งว่าจงตัดมือทั้งสองของธรรมปาลกุมาร. พระนางจันทาเทวีกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช บุตรของหม่อมฉันเพิ่งมีอายุได้ ๗ เดือน ยังอ่อนอยู่ ไม่รู้อะไร บุตรของหม่อมฉันนั้น ไม่มีโทษผิด ก็โทษผิดแม้จะยิ่งใหญ่ก็ควรจะมีในหม่อมฉัน เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จงรับสั่งให้ตัดมือทั้งสองของหม่อมฉันเถิด เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนี้ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-

หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทําความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติ-เทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรม-ปาลกุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดมือทั้งสองของหม่อมฉันเถิด.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 770

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูสิยา ได้แก่ ผู้ทําให้เสียหายอธิบายว่า เห็นพระองค์แล้วไม่ลุกขึ้นรับ ชื่อว่าผู้กระทําผิด. บาลีว่าทูสิกา ดังนี้ก็มีเนื้อความก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า ภูนหตาได้แก่ขจัดความเจริญ อธิบายว่า กําจัดความเจริญ. บทว่า รฺโ พึงประกอบกับบทว่า ทูสิยา. ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า หม่อมฉันทําความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ มิใช่กุมารนี้ เพราะฉะนั้น ขอพระองค์โปรดปลดปล่อยธรรมปาละ ผู้ยังอ่อนหาความผิดมิได้นี้เสียเถิด ก็ถ้าพระองค์ประสงค์จะตัดมือทั้งสอง ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงตัดมือทั้งสองของหม่อมฉัน ผู้กระทําผิด.

พระราชาทรงแลดูนายเพชฌฆาตๆ จึงกราบทูลว่าข้าแต่สมมติ-เทพ ข้าพระองค์จะการทําอย่างไร. พระราชาตรัสว่า ท่านอย่าชักช้าจงตัดมือทั้งสองเสีย. ขณะนั้น นายเพชฌฆาตถือขวานอันคมกล้าตัดมือทั้งสองของพระกุมารเหมือนตัดหน่อไม้อ่อนฉะนั้น. เมื่อนายเพชฌฆาตตัดมือทั้งสองอยู่ ธรรมปาลกุมารนั้น ไม่ร้องไห้ ไม่ร่ําไรกระทําขันติและเมตตาให้เป็นปุเรจาริก อดกลั้นอยู่. ส่วนพระนางจันทาเทวีถือเอาปลายมือที่ขาดใส่ไว้ในพก มีโลหิตไหลอาบพระองค์ทรงเที่ยวปริเทวนาการอยู่. นายเพชฌฆาตทูลถามอีกว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จะทําอะไร. พระราชาตรัสว่า จงตัดเท้าทั้งสองเสีย.พระนางจันทาเทวีได้สดับดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 771

หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทําความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรมปาลกุมารนั้นเสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดเท้าของหม่อมฉันเถิด.

อธิบายในคาถาที่ ๒ นั้น พึงทราบโดยนัยคาถาแรกนั่นแล.

ฝ่ายพระราชาทรงสั่งบังคับเพชฌฆาตอีก. นายเพชฌฆาตนั้นได้ตัดเท้าทั้งสองขาด. พระนางจันทาเทวีถือเอาปลายเท้าใส่ไว้ในพกมีโลหิตโซมกาย ทรงร่ําไห้กราบทูลว่าข้าแต่พระเจ้ามหาปตาปะผู้เป็นพระสวามี ทารกชื่อว่ามีมือและเท้าอันพระองค์ให้ตัดแล้ว อันมารดาจําต้องเลี้ยงดูมิใช่หรือ หม่อมฉันจักรับจ้างเลี้ยงบุตรของหม่อมฉัน ขอพระองค์จงประทานบุตรนั่นแก่หม่อมฉันเถิด. นายเพชฌฆาตกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์กระทําตามพระราชอาชญาแล้วกิจของข้าพระองค์เสร็จแล้วหรือ? พระราชาตรัสว่ายังไม่เสร็จก่อน.นายเพชฌฆาตกราบทูลว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์จะทําอะไร.พระราชาตรัสว่า จงตัดศีรษะธรรมปาลกุมารนี้. ลําดับนั้น พระนางจันทาเทวี จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-

หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทําความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติ-เทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรม-

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 772

ปาลกุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดศีรษะของหม่อมฉันเถิด.

ก็แหละครั้นตรัสแล้ว พระนางจึงน้อมศีรษะเข้าไป. เพชฌฆาตกราบทูลถามพระราชาอีกว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จะกระทําอะไร? พระราชาตรัสว่าจงตัดศีรษะของธรรมปาลกุมารนั้นเสีย. นายเพชฌฆาตนั้นครั้นตัดศีรษะแล้ว จึงกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพข้าพระองค์กระทําตามพระราชอาชญาแล้วหรือ. พระราชาตรัสว่า ยังไม่ได้กระทําก่อน. นายเพชฌฆาตกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์จะกระทําอะไรอีก? พระราชาตรัสว่า ท่านจงเอาปลายดาบรับร่างธรรมปาลกุมารนั้น กระทํากรรมกรณ์ชื่อ อสิ-มาลกะ. นายเพชฌฆาตนั้นจึงโยนร่างของธรรมปาลกุมารนั้นขึ้นไปในอากาศ แล้วเอาปลายดาบรับร่างของธรรมปาลกุมารนั้น กระทํากรรมกรณ์ชื่อ อสิมาลกะแล้วโปรยลงที่ท้องพระโรง. พระนางจันทาเทวีจึงใส่เนื้อของพระโพธิสัตว์ไว้ในพก ทรงร้องไห้คร่ําครวญได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-

ใครๆ ผู้เป็นมิตรและอํามาตย์ของพระ-ราชานั้น ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่นอน ผู้ที่จะทูลห้ามพระราชาว่า อย่าทรงปลงพระชนม์พระราชบุตรซึ่งเกิดแต่พระอุระเลย ก็ไม่มี.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 773

ใครๆ ผู้เป็นมิตร และพระญาติของพระราชานั้น ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่นอน ผู้ที่จะทูลห้ามพระราชาว่า อย่าทรงปลงพระชนม์พระราชบุตรซึ่งเกิดแต่พระอุระเลย ก็ไม่มี.

แขนของธรรมปาลกุมารผู้เป็นทายาทแห่งแผ่นดิน อันลูบไล้ด้วยแก่นจันทร์แดงมาขาดไปเสีย ข้าแต่สมมติเทพ ชีวิตของหม่อมฉันก็คงจะดับไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิตฺตามจฺจา จ วิชฺชเร ความว่าใครๆ ผู้เป็นมิตรสนิทของพระราชานี้หรืออํามาตย์ผู้ร่วมในกิจทั้งปวงหรือผู้ที่ชื่อว่ามีใจดี เพราะมีหทัยอ่อนโยน จะไม่มีแน่นอน. บทว่า เยน วทนฺติ ความว่า ชนเหล่าใดมาทันเวลา ไม่พูด คือห้ามพระราชานี้ว่า อย่าปลงพระชนม์พระปิโยรสของพระองค์ ชนเหล่านั้น เราเข้าใจว่าไม่มีเลย. บทว่า าตี ในคาถาที่ ๒ ได้แก่ญาติหลายคน.

ก็พระนางจันทาเทวี ครั้นกล่าวคาถา ๒ คาถานี้แล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-

พระพาหาทั้งสองของธรรมปาลกุมารผู้เป็นทายาทแห่งแผ่นดิน อันลูบไล้ด้วยแก่นจันทร์แดง มาขาดไป ข้าแต่สมมติเทพ ชีวิตของหม่อมฉันก็คงจะดับไป.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 774

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทายาทสฺส ปพฺยา ความว่าพระนางจันทาเทวีรําพันคํามีอาทิอย่างนี้ว่า มือของทายาทแห่งแผ่นดินมีมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต อันเป็นของพระบิดา ซึ่งไล้ทาด้วยแก่นจันทร์แดงขาดไป เท้าขาดศีรษะขาดทั้งถูกลงกรรมกรณ์ชื่ออสิมาลกะ บัดนี้ พระองค์ได้ตัดวงศ์ของพระองค์เอง ดังนี้ จึงตรัสอย่างนั้น.บทว่า ปาณา เม เทว รุชฺฌติ ความว่า ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อหม่อมฉันไม่อาจสามารถกลั้นความโศกนี้ได้ ชีวิตคงจะดับไป.

เมื่อพระนางทรงร่ําไห้อยู่อย่างนั้น พระหทัยก็แตกไป เหมือนไม้ไผ่ถูกไฟไหม้อยู่อย่างนั้นฉะนั้น พระนางได้ถึงความสิ้นพระชนม์ลง ณ ที่นั้นเอง. ฝ่ายพระราชาก็ไม่อาจดํารงอยู่บนบัลลังก์ได้ จึงตกลงไปที่ท้องพระโรง. พื้นที่อันเรียบสนิทแยกออกเป็นสองภาค. พระเจ้ามหาปตาปะนั้นพลัดตกจากพื้นเรียบแม้นั้นถึงพื้นดิน. แต่นั้น แผ่นดินทึบหนาถึงสองแสนสี่หมื่นโยชน์ ไม่อาจรองรับโทษผิดของพระราชานั้นได้ จึงได้แยกให้ช่อง. เปลวไฟตั้งขึ้นจากอเวจีมหานรก หอบเอาพระเจ้ามหาปตาปะไปโยนลงในอเวจีมหานรก ประดุจหุ้มด้วยผ้ากัมพลที่ตระกูลมอบให้ฉะนั้น. ส่วนพระนางจันทาเทวี และพระโพธิ-สัตว์ อํามาตย์ทั้งหลายได้ปลงพระศพให้แล้ว.

พระศาสดา ครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต พระนางจันทาเทวี ได้เป็นพระมหาปชาบดีโคตมี ส่วนธรรมปาลกุมารได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ อรรถกถาจุลลธรรมปาลชาดกที่ ๘