๗. สาลิยชาดก ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 826
๗. สาลิยชาดก
ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 826
๗. สาลิยชาดก
ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
[๗๘๓] ผู้ใดลวงให้เราจับงูเห่าว่า นี่ลูกนกสาลิกา ผู้นั้นตามพร่ําสอนสิ่งที่ลามก ถูกงูนั้นกัดตายแล้ว.
[๗๘๔] คนใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่ฆ่าเองและผู้ไม่ใช้คนอันให้ฆ่าตน คนนั้นถูกฆ่าแล้วนอนตายอยู่ เหมือนกับบุรุษผู้ถูกงูกัดตายแล้วฉะนั้น.
[๗๘๕] คนใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่เบียด-เบียนตน และไม่ฆ่าตน คนนั้นถูกฆ่าแล้วนอนตายอยู่เหมือนกับบุรุษถูกงูกัดตายแล้วฉะนั้น.
[๗๘๖] บุรุษผู้กําฝุ่นไว้ในมือ พึงซัดฝุ่นไปในที่ทวนลม ละอองฝุ่นนั้น ย่อมหวนกลับมากระทบบุรุษนั้นเอง เหมือนบุรุษถูกงูกัดตายแล้วฉะนั้น.
[๗๘๗] ผู้ใดประทุษร้ายผู้ไม่ประทุษร้ายตน เป็นคนบริสุทธิ์ ไม่มีความผิดเลย บาปย่อมกลับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 827
มาถึงคนพาลผู้นั้นเอง เหมือนกับละอองละ-เอียดที่บุคคลซัดไปทวนลมฉะนั้น.
จบ สาลิยชาดกที่ ๗
อรรถกถาสาลิยชาดกที่ ๗
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภคําว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตไม่อาจเพื่อแม้จะกระทําความสะดุ้งแก่พระพุทธองค์ได้ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่ายฺวายํ สาลิยจฺฉาโป ดังนี้.
จริงอยู่ ในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายมิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตนี้ก็ไม่อาจเป็นผู้แม้จะกระทําความสะดุ้งแก่เราได้ แล้วทรงนําเอาเรื่องในยินดีมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในตระกูลกุฎมพีในหมู่บ้าน ในคราวมีอายุยังน้อย เล่นอยู่ที่โคนตนไทรใกล้ประตูบ้านกับพวกเด็กที่เล่นฝุ่นกัน. ครั้งนั้นมีหมอทุรพลคนหนึ่ง ไม่ได้การงานอะไรในบ้านจึงออกไปถึงที่นั้น เห็นงูตัวหนึ่งนอนหลับโผล่หัวออกมาจากระหว่างค่าคบไม้ จึงคิดว่า เราไม่ได้อะไรในบ้าน เราจักลวงเด็กพวกนี้ให้งูกัดแล้วเยียวยารักษา คงจะได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งทีเดียว จึงได้กล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า ถ้าเธอจะพบลูกนกสาลิกา เธอจะจับเอาไหม. พระโพธิ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 828
สัตว์กล่าวว่า จ้ะ ฉันจะจับเอา. หมอกล่าวว่า จงดู นั่นลูกนกสาลิกามันนอนอยู่ระหว่างค่าคบไม้. พระโพธิสัตว์นั้นไม่รู้ว่านั้นเป็นงู จึงขึ้นไปยังต้นไม้ จับที่คอมัน พอรู้ว่าเป็นงูจึงไม่ให้มันหดเข้าไป จับไว้มั่นแล้วรีบเหวี่ยงไป. งูนั้นปลิวไปตกลงที่คอหมอ รัดคออยู่กัดเสียงดังกรุบๆ ทําให้หมอนั้นล้มลงตรงที่นั้นแล้วเลื้อยหนีไป. คนทั้งหลายพากันห้อมล้อม. พระมหาสัตว์เมื่อจะแสดงธรรมแก่บริษัทผู้ประชุมพร้อมกันอยู่ จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
ผู้ใดลวงให้เราจับงูเห่าว่า นี่ลูกนกสาลิกา ผู้นั้นตามพร่ําสอนสิ่งที่ลามก ถูกงูนั้นกัดตายแล้ว.
คนใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่ฆ่าเองและผู้ไม่ใช้ให้คนอื่นฆ่าตน คนนั้นถูกฆ่าแล้วนอนตายอยู่. เหมือนกับบุรุษผู้ถูกงูกัดตายแล้วฉะนั้น.
คนใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่เบียด-เบียนตน และไม่ฆ่าตน คนนั้นถูกฆ่าแล้วนอนตายอยู่ เหมือนกับบุรุษผู้ถูกงูกัดตายแล้วฉะนั้น.
บุรุษผู้กําฝุ่นไว้ในมือ พึงซัดฝุ่นไปใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 829
ที่ทวนลม ละอองฝุ่นนั้นย่อมหวนกลับมากระทบบุรุษนั้นเอง เหมือนบุรุษผู้ถูกงูกัดตายแล้วฉะนั้น.
ผู้ใดประทุษร้ายคนผู้ไม่ประทุษร้ายเป็นคนบริสุทธิ์ ไม่มีความผิดเลย บาปย่อมกลับมาถึงคนพาลนั้นเอง เหมือนกับละอองละ-เอียดที่บุคคลซัดไปทวนลมฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยฺวายํ ตัดเป็น โย อยํ. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า สปฺเปนยํ ความว่า ผู้นี้ใด ถูกงูนั้นกัดแล้ว. บทว่า ปาปานุสาสโก แปลว่า ผู้พร่ําสอนสิ่งที่ลามก. บทว่า อหนฺตรํ แปลว่า ผู้ไม่ฆ่าเอง. บทว่า อหนฺตารํแปลว่า ผู้ไม่ให้คนอื่นฆ่า. บทว่า เสติ ได้แก่ ย่อมนอนตาย. บทว่าอฆาเตนฺตํ แปลว่า ไม่ใช้ให้คนอื่นฆ่า. บทว่า สุทฺธสฺส ได้แก่ผู้ไม่มีความผิด. บทว่า โปสสฺส ได้แก่ สัตว์. แม้คํานี้ว่า อนงฺคณสฺส ท่านกล่าวหมายเอาความเป็นผู้ไม่มีความผิดเหมือนกัน. บทว่าปจฺเจติ ความว่า ย่อมกลับถึงเป็นสิ่งที่เห็นสมกับกรรม.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า หมอทุรพลในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต ส่วนเด็กที่เป็นบัณฑิต คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสาลิยชาดกที่ ๗